เศรษฐกิจติดบ่วงไวรัส! ทุกสำนักตบเท้าหั่นจีดีพีปีฉลูโตต่ำ
https://www.prachachat.net/finance/news-592994
“โควิด” ระลอกใหม่ฉุดจีดีพีปีฉลูทรุดตั้งแต่ต้นปี สำนักวิจัยเศรษฐกิจพาเหรดปรับลดประมาณการ “กสิกรฯ” ชี้หากรัฐคุมการระบาดได้ใน 60 วัน อาจกระทบแค่ 0.5% แต่ถ้าลากยาวเศรษฐกิจยิ่งฟื้นตัวลำบาก ขณะที่ “กรุงศรีฯ” หั่นเศรษฐกิจปีนี้โตแค่ 2.5% ระบุกิจกรรมทางเศรษฐกิจลดลงฉุดจีดีพี 2% หวังมาตรการรัฐช่วยประคอง ฟาก “TMB Analytics” หั่นจีดีพีเหลือ 2.4% ชี้ “บริโภค-ส่งออก” ส่อโตต่ำกว่าเดิม ด้าน “KKP Research” มองเศรษฐกิจปีนี้โตได้แค่ 2% นักท่องเที่ยวไม่เกิน 2 ล้านคน
นางสาว
ณัฐพร ตรีรัตน์ศิริกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เปิดเผย “
ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ศูนย์วิจัยฯอยู่ระหว่างทบทวนประมาณการอัตราขยายตัวทางเศรษฐกิจ (จีดีพี) ปี 2564 ใหม่ จากเดิมคาดการณ์จะขยายตัว 2.6% เนื่องจากสถานการณ์แพร่ระบาดของโควิด-19 รอบใหม่ที่เกิดขึ้น
ทำให้ต้องทบทวนปัจจัยการเติบโตอีกครั้ง โดยจะออกมาภายในเดือน ก.พ.นี้ ซึ่งปัจจัยที่ศูนย์วิจัยฯติดตามมี 2-3 ประเด็น คือ 1.จำนวนผู้ติดเชื้อ แม้ว่าจำนวนผู้ติดเชื้อรายวันจะค่อนข้างสูง แต่หากสามารถควบคุมการระบาดได้ภายใน 60 วัน ผลกระทบต่อจีดีพีจะไม่สูงมาก แต่หากสถานการณ์ลากยาวจะยิ่งมีผลกระทบต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ
2. มาตรการกระตุ้นภาครัฐ ที่อาจจะต้องปรับเปลี่ยนโหมดจากเดิมที่เป็นโหมดฟื้นฟูด้วยการกระตุ้นการใช้จ่ายด้วยมาตรการคนละครึ่ง และเราเที่ยวด้วยกัน มาเป็นโหมดการเยียวยา ส่งเสริมให้คนมีรายได้ เพื่อประคองให้ผ่านวิกฤตครั้งนี้ไปให้ได้ และ 3.ภาคอุตสาหกรรม
เนื่องจากการระบาดรอบใหม่นี้เกิดขึ้นในส่วนของโรงงานอุตสาหกรรม จึงต้องติดตามสถานการณ์ปลายทางของการรับสินค้าอาหารแปรรูปจากไทยจะมีปัญหาหรือไม่จะกระทบความเชื่อมั่นต่อภาคการส่งออก และยังรวมถึงประเด็นแรงงานต่างด้าว หากมีการล็อกพื้นที่ห้ามเคลื่อนย้ายแรงงาน จะมีผลกระทบต่อตลาดแรงงานขาดแคลนอีกด้วย
“
เบื้องต้นเรามองว่าหากสามารถควบคุมการระบาดได้ภายใน 60 วัน และภาครัฐมีมาตรการเยียวยาออกมาเร็วที่สุด คาดว่าจะกระทบต่อจีดีพีเพียง 0.5% เท่านั้น” นางสาว
ณัฐพรกล่าว
นาย
สมประวิณ มันประเสริฐ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ และผู้บริหารสายงานวิจัยและหัวหน้าทีมวิจัยเศรษฐกิจ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา กล่าวว่า ธนาคารได้ปรับประมาณการจีดีพีปีนี้ลง โดยคาดจะขยายตัวเพียง 2.5% จากเดิม 3.3% ซึ่งมีปัจจัยกระทบมาจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 รอบใหม่เป็นสำคัญ เนื่องจากกรุงศรีฯมองว่าจำนวนผู้ติดเชื้อจะยังคงเพิ่มขึ้นต่อไป และจะถึงจุดสูงสุดของการแพร่ระบาดในต้นเดือน ก.พ.
หลังจากนั้นสถานการณ์จะทยอยดีขึ้นโดยกิจกรรมทางเศรษฐกิจจะเริ่มผ่อนคลายมากขึ้น จากปัจจุบันกิจกรรมทางเศรษฐกิจปรับลดลงตามมาตรการการจำกัดกิจกรรมทางเศรษฐกิจของภาครัฐ ซึ่งกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ลดลง คาดว่าจะกระทบจีดีพีทั้งปีราว 2%
แต่จะมีมาตรการภาครัฐที่คาดว่าเม็ดเงินฟื้นฟูเศรษฐกิจที่ยังเหลืออีก 4 แสนล้านบาท จะทยอยออกมาใช้ได้ราว 2 แสนล้านบาท จะช่วยประคองเศรษฐกิจไม่ให้หดตัวลงลึก ทำให้ภาพรวมจีดีพีจะลดลง 0.8% จากเดิม 3.3% เหลือ 2.5%
“
เราปรับคาดการณ์จีดีพีมาจากโควิด-19 รอบใหม่ที่เป็นตัวฉุดจีดีพี แต่หากดูผลฝั่งขาลบ ภาพรวมเราประเมินน่าจะหดตัวทั้งปี 2% แต่ฝั่งขาบวกก็มี โดยคีย์สำคัญเราให้บทบาทสำคัญจะมาจากการใช้จ่ายภาครัฐ และมาตรการภาครัฐที่คาดว่าจะเร่งเม็ดเงินออกสู่ระบบตั้งแต่ไตรมาสที่ 1 เป็นต้นไปวงเงิน 2 แสนล้านบาท รวมถึงมีตัวช่วยจากแนวโน้มเศรษฐกิจโลกที่เริ่มฟื้นตัว ทำให้การส่งออกดีขึ้น และการผลิตโลกไม่ได้หยุดผลิตแม้ว่าการบริโภคเอกชนจะลดลงจากข้อจำกัดการบริโภคในประเทศ”
นาย
นริศ สถาผลเดชา หัวหน้าศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจทีเอ็มบี (TMB Analytics) กล่าวกับ “
ประชาชาติธุรกิจ” ว่า TMB Analytics ได้ปรับลดประมาณการจีดีพีปีนี้ลง เหลือขยายตัวเพียง 2.4% จากเดิมคาดที่ 3.7% ซึ่งปัจจัยที่ส่งผลกระทบมาจากการระบาดระลอกใหม่ของโควิด-19 เป็นสำคัญ
โดยส่งผลกระทบทำให้การบริโภคภาคเอกชนขยายตัวเพียง 1.6% จากเดิมคาด 3.2% ขณะที่การส่งออกจะขยายตัวเพียง 2.3% จากเดิมคาดว่าจะขยายตัวได้ 4.3% ส่วนการลงทุนเอกชนน่าจะโตได้ 3.2% จากปีก่อนหดตัว -10.2% ด้านรายได้จากการท่องเที่ยวคาดว่าจะยังติดลบอยู่ที่ -55% แต่ลดลงจากปีก่อนที่ -79.7%
ด้าน “KKP Research” โดยเกียรตินาคินภัทร ก็ได้ปรับลดการคาดการณ์จีดีพีปีนี้ลง จาก 3.5% เป็น 2% จากการระบาดระลอกใหม่ของโควิด-19 ในประเทศที่นำไปสู่การปิดเมืองบางส่วนโดยประมาณการจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ ลดลงจาก 6.4 เหลือ 2 ล้านคน
ในกรณีเลวร้ายคาดว่าจะไม่สามารถเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติได้เลยทั้งปี และมีปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตามคือ
1) การลุกลามของการติดเชื้อภายในประเทศ
2) ข้อจำกัดด้านสาธารณสุขในการรองรับผู้ป่วย
และ 3) ประสิทธิผลและความครอบคลุมในการแจกจ่ายวัคซีน
'รสนา' ชี้เบื้องหลัง ระเบียบราชการ ต้นเหตุพลังงานโซล่าเซลล์ภาคประชาชนไม่เติบโต
https://www.matichon.co.th/news-monitor/news_2530059
‘รสนา’ ชี้เบื้องหลัง ระเบียบราชการ ต้นเหตุพลังงานโซล่าเซลล์ภาคประชาชนไม่เติบโต
เมื่อวันที่ 15 มกราคม น.ส.
รสนา โตสิตระกูล ว่าที่ผู้สมัครผู้ว่ากทม. โพสต์ข้อความทางเฟซบุ๊ก แสดงความเห็น ปัญหาด้านพลังงานของไทย ระบุว่า
รัฐบาลอย่ายืนบังแดด เพื่อกระจายอำนาจด้านพลังงานคืนสู่ประชาชน !!
เมื่อเดือนมกราคม 2558 สมัยที่ดิฉันยังเป็นสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) เคยมีข้อเสนอ Quick win ต่อรัฐบาลคสช.ให้สนับสนุนประชาชนติดตั้งโซลาร์เซลล์บนหลังคาบ้านเรือน โดยใช้ระบบหักลบกลบหน่วย ( Net Metering ) สมัยนั้นท่านนายกรัฐมนตรีอ้างว่ายังไม่สามารถเปิดให้ประชาชนติดตั้งโซล่าบนหลังคาอย่างเสรี และไม่สามารถใช้ระบบหักลบกลบหน่วยได้ทันที ต้องให้เวลาการไฟฟ้าปรับปรุงระบบก่อน
จากวันนั้นจนถึงวันนี้ เวลาผ่านมาแล้ว 6ปีเต็ม จากรัฐบาลคสช.มาเป็นรัฐบาลเลือกตั้งของนายกรัฐมนตรีคนเดิม แต่การเปิดให้ประชาชนติดโซล่าบนหลังคายังไม่มีความสะดวก และไม่จูงใจให้ประชาชนติดตั้ง ยิ่งข้อเสนอเรื่องให้ใช้ระบบหักลบกลบหน่วย ก็ยิ่งเป็นไปไม่ได้ที่รัฐบาลจะมีนโยบายในประเด็นนี้กระมัง !?
รัฐมนตรีกระทรวงพลังงานประกาศนโยบายโซล่าประชาชน ว่าจะรับซื้อไฟฟ้าที่ผลิตจากแสงอาทิตย์บนหลังคา ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2564 เป็นต้นไปโดยจะรับซื้อในจำนวน 50 เมกกะวัตต์ และได้ปรับเพิ่มราคารับซื้อที่หน่วยละ 2.20 บาท จากเดิมที่เคยกำหนดที่หน่วยละ 1.68 บาท โดยจะรับซื้อเป็นเวลา 10ปี ทั้งที่โซล่าบนหลังคามีอายุผลิตไฟฟ้าได้ 25 ปี
นโยบายโซล่าประชาชนนี้ไม่ได้จูงใจ และส่งเสริมให้ครัวเรือนอยากติดตั้ง เพราะมีภาระค่าใช้จ่ายหลายเรื่องที่ทำให้การลงทุนนี้ไม่คุ้มทุน
เริ่มตั้งแต่กระบวนการขออนุญาตซึ่งเป็นเรื่องของกระทรวงมหาดไทย ที่ได้ออกกฎกระทรวงฉบับที่ 65 ประกาศใช้เมื่อ 1ตุลาคม 2558 ระบุให้ยกเว้นการติดตั้งโซล่าเซลล์บนหลังคาอาคารที่พักอาศัย ที่มีพื้นที่ไม่เกิน160 ตารางเมตร และน้ำหนักไม่เกิน20 กิโลกรัม ไม่ถือเป็นการดัดแปลงอาคาร ซึ่งฟังดูเผินๆเหมือนเป็นการส่งเสริมให้เกิดการติดตั้งโซล่าบนหลังคาได้ง่าย แต่มีการพ่วงข้อความต่อท้ายว่า “โดยต้องมีการตรวจสอบความมั่นคงแข็งแรงที่กระทำและรับรองโดยวิศวกรโยธาว่าสามารถติดตั้งได้อย่างปลอดภัยและแจ้งเจ้าพนักงานท้องถิ่นก่อนดำเนินการ” ข้อความพ่วงทำให้การติดตั้งโซล่าบนหลังคากลายเป็นเรื่องยาก และมีค่าใช้จ่ายมากขึ้นโดยไม่จำเป็น
การติดตั้งโซล่าของบ้านเรือนส่วนใหญ่เพื่อลดค่าใช้จ่ายค่าไฟฟ้า น้อยรายที่คิดจะติดตั้งเพื่อขายไฟ บ้านเรือนส่วนใหญ่ติดตั้งในระดับ 1.5 -3 กิโลวัตต์ ซึ่งใช้พื้นที่เพียง 10 -20 ตารางเมตร เท่านั้น จึงไม่ควรต้องให้มีภาระจ้างวิศวกรวุฒิมารับรองตามกฎกระทรวงดังกล่าว
ที่ผ่านมาบ้านที่ติดตั้งโซล่าบนหลังคา เมื่อมีค่าไฟลดลง การไฟฟ้าจะมาเปลี่ยนมิเตอร์บ้านนั้นให้เป็นมิเตอร์ดิจิทัล เพื่อไม่ให้ตัวเลขมิเตอร์ย้อนกลับ (แต่จะรับแค่ไฟฟ้าที่ไหลไปให้การไฟฟ้าเท่านั้น) จึงน่าจะเป็นสาเหตุของการคิดระบบรับซื้อ 2.20บาท/หน่วย ส่วนไฟที่การไฟฟ้าขายให้บ้านเรือนคิดที่ราคา 4บาท/หน่วย ซึ่งการคิดเล็กคิดน้อยแบบนี้ ทำให้มีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นทั้ง2ฝ่าย ข้อเสนอการใช้ระบบ Net Metering คือการยอมให้ไฟฟ้าที่ประชาชนผลิตได้อยู่ในสายส่งโดยการไฟฟ้าไม่ต้องมาเปลี่ยนมิเตอร์กันตัวเลขหมุนกลับ ซึ่งรัฐบาลควรสนับสนุนประชาชนมากกว่าปิดกั้น ในหลายประเทศ รัฐบาลออกเงิน ให้ประชาชนติดตั้ง 40-50% ด้วยซ้ำไป แต่ประเทศไทยนอกจากรัฐบาลไม่สนับสนุนประชาชนอย่างจริงใจแล้ว ยังสร้างอุปสรรคจนไม่มีใครกล้าลงทุนติดตั้ง ต้องยอมซื้อไฟฟ้า ทั้งที่แดดเป็นของฟรีที่ธรรมชาติมอบให้ทุกคน
รัฐบาลไทยเอื้อแต่โรงไฟฟ้าเอกชน เช่นการรับซื้อไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าขยะ จากโรงไฟฟ้าความร้อนร่วมของเอกชน รัฐบาลยอมรับซื้อไฟฟ้าในราคา3-5บาทต่อหน่วย ทั้งที่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตซื้อแพง และขายไฟต่อให้การไฟฟ้านครหลวงและการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ในราคาหน่วยละประมาณ 3บาทเท่านั้น เท่ากับ กฟผ.ซื้อเอกชนแพง แต่ขายให้กฟน.และกฟภ.ในราคาถูกกว่า ซึ่งราคาส่วนต่างที่ซื้อแพงก็ถูกผลักมาโปะไว้ในค่า Ft ที่เป็นภาระของประชาชนทั้งประเทศต้องจ่ายแทน
ด้วยเหตุนี้ แม้มีไฟฟ้าสำรองเกินอยู่ 40% แต่ก็ยังมีข่าวการประกาศรับซื้อไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าเอกชนอยู่เสมอ เพราะอะไร จึงมีการอนุมัติเอกชนผลิตไฟฟ้าขายให้กฟผ.ทั้งที่มีไฟสำรองเกินความจำเป็นแล้ว และยังมีการรับซื้อในราคาแพงได้ โดยมีอายุรับซื้อถึง 25ปี ทำให้สังคมเกิดข้อสงสัยข่าวร่ำลือที่ว่า มีเงินค่าอนุมัติเมกกะวัตต์ละล้าน ใช่หรือไม่ และนโยบายผลิตไฟเกินความจำเป็นดังกล่าว เอื้อประโยชน์การผูกขาดให้แก่ใคร?!
จึงมีคำถามต่อมาว่า เพราะเหตุนี้หรือไม่ ที่ทำให้การรับซื้อไฟฟ้าจากการผลิตของประชาชนรายเล็ก รายน้อยในราคาที่เป็นธรรม ที่ช่วยเพิ่มรายได้จากการลดรายจ่ายของประชาชน และลดความเหลื่อมล้ำจึงเกิดขึ้นได้ยาก ใช่หรือไม่
ข้อเสนอต่อนโยบายโซล่าประชาชนของรัฐบาล
1) นายกรัฐมนตรีควรเจรจากับรัฐมนตรีมหาดไทยให้แก้ไขกฎกระทรวงฉบับที่65 ให้การตรวจสอบรับรองความมั่นคงแข็งแรงของอาคารโดยวิศวกรโยธาเมื่อมีการติดตั้งโซล่าบนหลังคาเกิน 180 ตารางเมตรขึ้นไป ส่วนที่ใช้พื้นที่น้อยกว่านั้นให้ติดตั้งได้เลยโดยไม่ต้องขออนุญาต
2) นายกรัฐมนตรีควรมีบัญชาให้ใช้นโยบายหักลบกลบหน่วยค่าไฟในระบบ Net Meteringได้แล้ว หลังจากขอเวลาพิจารณามา 6ปีแล้ว วิธีหักลบกลบหน่วยเป็นวิธีที่ง่าย ไม่ซับซ้อน และตรงไปตรงมาเช่นสมมติว่าครัวเรือนใดที่ผลิตไฟจากโซล่าได้เดือนละ 200 หน่วย ใช้ ไฟฟ้าเดือนนั้น 250 หน่วย ก็จ่ายให้การไฟฟ้า 50หน่วยในราคาหน่วยละ 4บาท ซึ่งวิธีนี้เป็นวิธีที่อารยประเทศต่างๆเขาใช้กันอยู่แล้ว เพื่อช่วยลดภาวะโลกร้อน ลดมลพิษที่เกิดจากการผลิตไฟฟ้าด้วยพลังฟอสซิล และเชื้อเพลิงสกปรก ในช่วงการระบาดของ
JJNY : ทุกสำนักตบเท้าหั่นจีดีพี/รสนาชี้ต้นเหตุโซล่าเซลล์ภาคปชช.ไม่โต/ไบเดนเปิดแผนกู้วิกฤต57ล.ล./แนะสมชายห่วงตัวเองก่อน
https://www.prachachat.net/finance/news-592994
“โควิด” ระลอกใหม่ฉุดจีดีพีปีฉลูทรุดตั้งแต่ต้นปี สำนักวิจัยเศรษฐกิจพาเหรดปรับลดประมาณการ “กสิกรฯ” ชี้หากรัฐคุมการระบาดได้ใน 60 วัน อาจกระทบแค่ 0.5% แต่ถ้าลากยาวเศรษฐกิจยิ่งฟื้นตัวลำบาก ขณะที่ “กรุงศรีฯ” หั่นเศรษฐกิจปีนี้โตแค่ 2.5% ระบุกิจกรรมทางเศรษฐกิจลดลงฉุดจีดีพี 2% หวังมาตรการรัฐช่วยประคอง ฟาก “TMB Analytics” หั่นจีดีพีเหลือ 2.4% ชี้ “บริโภค-ส่งออก” ส่อโตต่ำกว่าเดิม ด้าน “KKP Research” มองเศรษฐกิจปีนี้โตได้แค่ 2% นักท่องเที่ยวไม่เกิน 2 ล้านคน
นางสาวณัฐพร ตรีรัตน์ศิริกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ศูนย์วิจัยฯอยู่ระหว่างทบทวนประมาณการอัตราขยายตัวทางเศรษฐกิจ (จีดีพี) ปี 2564 ใหม่ จากเดิมคาดการณ์จะขยายตัว 2.6% เนื่องจากสถานการณ์แพร่ระบาดของโควิด-19 รอบใหม่ที่เกิดขึ้น
ทำให้ต้องทบทวนปัจจัยการเติบโตอีกครั้ง โดยจะออกมาภายในเดือน ก.พ.นี้ ซึ่งปัจจัยที่ศูนย์วิจัยฯติดตามมี 2-3 ประเด็น คือ 1.จำนวนผู้ติดเชื้อ แม้ว่าจำนวนผู้ติดเชื้อรายวันจะค่อนข้างสูง แต่หากสามารถควบคุมการระบาดได้ภายใน 60 วัน ผลกระทบต่อจีดีพีจะไม่สูงมาก แต่หากสถานการณ์ลากยาวจะยิ่งมีผลกระทบต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ
2. มาตรการกระตุ้นภาครัฐ ที่อาจจะต้องปรับเปลี่ยนโหมดจากเดิมที่เป็นโหมดฟื้นฟูด้วยการกระตุ้นการใช้จ่ายด้วยมาตรการคนละครึ่ง และเราเที่ยวด้วยกัน มาเป็นโหมดการเยียวยา ส่งเสริมให้คนมีรายได้ เพื่อประคองให้ผ่านวิกฤตครั้งนี้ไปให้ได้ และ 3.ภาคอุตสาหกรรม
เนื่องจากการระบาดรอบใหม่นี้เกิดขึ้นในส่วนของโรงงานอุตสาหกรรม จึงต้องติดตามสถานการณ์ปลายทางของการรับสินค้าอาหารแปรรูปจากไทยจะมีปัญหาหรือไม่จะกระทบความเชื่อมั่นต่อภาคการส่งออก และยังรวมถึงประเด็นแรงงานต่างด้าว หากมีการล็อกพื้นที่ห้ามเคลื่อนย้ายแรงงาน จะมีผลกระทบต่อตลาดแรงงานขาดแคลนอีกด้วย
“เบื้องต้นเรามองว่าหากสามารถควบคุมการระบาดได้ภายใน 60 วัน และภาครัฐมีมาตรการเยียวยาออกมาเร็วที่สุด คาดว่าจะกระทบต่อจีดีพีเพียง 0.5% เท่านั้น” นางสาวณัฐพรกล่าว
นายสมประวิณ มันประเสริฐ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ และผู้บริหารสายงานวิจัยและหัวหน้าทีมวิจัยเศรษฐกิจ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา กล่าวว่า ธนาคารได้ปรับประมาณการจีดีพีปีนี้ลง โดยคาดจะขยายตัวเพียง 2.5% จากเดิม 3.3% ซึ่งมีปัจจัยกระทบมาจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 รอบใหม่เป็นสำคัญ เนื่องจากกรุงศรีฯมองว่าจำนวนผู้ติดเชื้อจะยังคงเพิ่มขึ้นต่อไป และจะถึงจุดสูงสุดของการแพร่ระบาดในต้นเดือน ก.พ.
หลังจากนั้นสถานการณ์จะทยอยดีขึ้นโดยกิจกรรมทางเศรษฐกิจจะเริ่มผ่อนคลายมากขึ้น จากปัจจุบันกิจกรรมทางเศรษฐกิจปรับลดลงตามมาตรการการจำกัดกิจกรรมทางเศรษฐกิจของภาครัฐ ซึ่งกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ลดลง คาดว่าจะกระทบจีดีพีทั้งปีราว 2%
แต่จะมีมาตรการภาครัฐที่คาดว่าเม็ดเงินฟื้นฟูเศรษฐกิจที่ยังเหลืออีก 4 แสนล้านบาท จะทยอยออกมาใช้ได้ราว 2 แสนล้านบาท จะช่วยประคองเศรษฐกิจไม่ให้หดตัวลงลึก ทำให้ภาพรวมจีดีพีจะลดลง 0.8% จากเดิม 3.3% เหลือ 2.5%
“เราปรับคาดการณ์จีดีพีมาจากโควิด-19 รอบใหม่ที่เป็นตัวฉุดจีดีพี แต่หากดูผลฝั่งขาลบ ภาพรวมเราประเมินน่าจะหดตัวทั้งปี 2% แต่ฝั่งขาบวกก็มี โดยคีย์สำคัญเราให้บทบาทสำคัญจะมาจากการใช้จ่ายภาครัฐ และมาตรการภาครัฐที่คาดว่าจะเร่งเม็ดเงินออกสู่ระบบตั้งแต่ไตรมาสที่ 1 เป็นต้นไปวงเงิน 2 แสนล้านบาท รวมถึงมีตัวช่วยจากแนวโน้มเศรษฐกิจโลกที่เริ่มฟื้นตัว ทำให้การส่งออกดีขึ้น และการผลิตโลกไม่ได้หยุดผลิตแม้ว่าการบริโภคเอกชนจะลดลงจากข้อจำกัดการบริโภคในประเทศ”
นายนริศ สถาผลเดชา หัวหน้าศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจทีเอ็มบี (TMB Analytics) กล่าวกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า TMB Analytics ได้ปรับลดประมาณการจีดีพีปีนี้ลง เหลือขยายตัวเพียง 2.4% จากเดิมคาดที่ 3.7% ซึ่งปัจจัยที่ส่งผลกระทบมาจากการระบาดระลอกใหม่ของโควิด-19 เป็นสำคัญ
โดยส่งผลกระทบทำให้การบริโภคภาคเอกชนขยายตัวเพียง 1.6% จากเดิมคาด 3.2% ขณะที่การส่งออกจะขยายตัวเพียง 2.3% จากเดิมคาดว่าจะขยายตัวได้ 4.3% ส่วนการลงทุนเอกชนน่าจะโตได้ 3.2% จากปีก่อนหดตัว -10.2% ด้านรายได้จากการท่องเที่ยวคาดว่าจะยังติดลบอยู่ที่ -55% แต่ลดลงจากปีก่อนที่ -79.7%
ด้าน “KKP Research” โดยเกียรตินาคินภัทร ก็ได้ปรับลดการคาดการณ์จีดีพีปีนี้ลง จาก 3.5% เป็น 2% จากการระบาดระลอกใหม่ของโควิด-19 ในประเทศที่นำไปสู่การปิดเมืองบางส่วนโดยประมาณการจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ ลดลงจาก 6.4 เหลือ 2 ล้านคน
ในกรณีเลวร้ายคาดว่าจะไม่สามารถเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติได้เลยทั้งปี และมีปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตามคือ
1) การลุกลามของการติดเชื้อภายในประเทศ
2) ข้อจำกัดด้านสาธารณสุขในการรองรับผู้ป่วย
และ 3) ประสิทธิผลและความครอบคลุมในการแจกจ่ายวัคซีน
'รสนา' ชี้เบื้องหลัง ระเบียบราชการ ต้นเหตุพลังงานโซล่าเซลล์ภาคประชาชนไม่เติบโต
https://www.matichon.co.th/news-monitor/news_2530059
‘รสนา’ ชี้เบื้องหลัง ระเบียบราชการ ต้นเหตุพลังงานโซล่าเซลล์ภาคประชาชนไม่เติบโต
เมื่อวันที่ 15 มกราคม น.ส.รสนา โตสิตระกูล ว่าที่ผู้สมัครผู้ว่ากทม. โพสต์ข้อความทางเฟซบุ๊ก แสดงความเห็น ปัญหาด้านพลังงานของไทย ระบุว่า
รัฐบาลอย่ายืนบังแดด เพื่อกระจายอำนาจด้านพลังงานคืนสู่ประชาชน !!
เมื่อเดือนมกราคม 2558 สมัยที่ดิฉันยังเป็นสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) เคยมีข้อเสนอ Quick win ต่อรัฐบาลคสช.ให้สนับสนุนประชาชนติดตั้งโซลาร์เซลล์บนหลังคาบ้านเรือน โดยใช้ระบบหักลบกลบหน่วย ( Net Metering ) สมัยนั้นท่านนายกรัฐมนตรีอ้างว่ายังไม่สามารถเปิดให้ประชาชนติดตั้งโซล่าบนหลังคาอย่างเสรี และไม่สามารถใช้ระบบหักลบกลบหน่วยได้ทันที ต้องให้เวลาการไฟฟ้าปรับปรุงระบบก่อน
จากวันนั้นจนถึงวันนี้ เวลาผ่านมาแล้ว 6ปีเต็ม จากรัฐบาลคสช.มาเป็นรัฐบาลเลือกตั้งของนายกรัฐมนตรีคนเดิม แต่การเปิดให้ประชาชนติดโซล่าบนหลังคายังไม่มีความสะดวก และไม่จูงใจให้ประชาชนติดตั้ง ยิ่งข้อเสนอเรื่องให้ใช้ระบบหักลบกลบหน่วย ก็ยิ่งเป็นไปไม่ได้ที่รัฐบาลจะมีนโยบายในประเด็นนี้กระมัง !?
รัฐมนตรีกระทรวงพลังงานประกาศนโยบายโซล่าประชาชน ว่าจะรับซื้อไฟฟ้าที่ผลิตจากแสงอาทิตย์บนหลังคา ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2564 เป็นต้นไปโดยจะรับซื้อในจำนวน 50 เมกกะวัตต์ และได้ปรับเพิ่มราคารับซื้อที่หน่วยละ 2.20 บาท จากเดิมที่เคยกำหนดที่หน่วยละ 1.68 บาท โดยจะรับซื้อเป็นเวลา 10ปี ทั้งที่โซล่าบนหลังคามีอายุผลิตไฟฟ้าได้ 25 ปี
นโยบายโซล่าประชาชนนี้ไม่ได้จูงใจ และส่งเสริมให้ครัวเรือนอยากติดตั้ง เพราะมีภาระค่าใช้จ่ายหลายเรื่องที่ทำให้การลงทุนนี้ไม่คุ้มทุน
เริ่มตั้งแต่กระบวนการขออนุญาตซึ่งเป็นเรื่องของกระทรวงมหาดไทย ที่ได้ออกกฎกระทรวงฉบับที่ 65 ประกาศใช้เมื่อ 1ตุลาคม 2558 ระบุให้ยกเว้นการติดตั้งโซล่าเซลล์บนหลังคาอาคารที่พักอาศัย ที่มีพื้นที่ไม่เกิน160 ตารางเมตร และน้ำหนักไม่เกิน20 กิโลกรัม ไม่ถือเป็นการดัดแปลงอาคาร ซึ่งฟังดูเผินๆเหมือนเป็นการส่งเสริมให้เกิดการติดตั้งโซล่าบนหลังคาได้ง่าย แต่มีการพ่วงข้อความต่อท้ายว่า “โดยต้องมีการตรวจสอบความมั่นคงแข็งแรงที่กระทำและรับรองโดยวิศวกรโยธาว่าสามารถติดตั้งได้อย่างปลอดภัยและแจ้งเจ้าพนักงานท้องถิ่นก่อนดำเนินการ” ข้อความพ่วงทำให้การติดตั้งโซล่าบนหลังคากลายเป็นเรื่องยาก และมีค่าใช้จ่ายมากขึ้นโดยไม่จำเป็น
การติดตั้งโซล่าของบ้านเรือนส่วนใหญ่เพื่อลดค่าใช้จ่ายค่าไฟฟ้า น้อยรายที่คิดจะติดตั้งเพื่อขายไฟ บ้านเรือนส่วนใหญ่ติดตั้งในระดับ 1.5 -3 กิโลวัตต์ ซึ่งใช้พื้นที่เพียง 10 -20 ตารางเมตร เท่านั้น จึงไม่ควรต้องให้มีภาระจ้างวิศวกรวุฒิมารับรองตามกฎกระทรวงดังกล่าว
ที่ผ่านมาบ้านที่ติดตั้งโซล่าบนหลังคา เมื่อมีค่าไฟลดลง การไฟฟ้าจะมาเปลี่ยนมิเตอร์บ้านนั้นให้เป็นมิเตอร์ดิจิทัล เพื่อไม่ให้ตัวเลขมิเตอร์ย้อนกลับ (แต่จะรับแค่ไฟฟ้าที่ไหลไปให้การไฟฟ้าเท่านั้น) จึงน่าจะเป็นสาเหตุของการคิดระบบรับซื้อ 2.20บาท/หน่วย ส่วนไฟที่การไฟฟ้าขายให้บ้านเรือนคิดที่ราคา 4บาท/หน่วย ซึ่งการคิดเล็กคิดน้อยแบบนี้ ทำให้มีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นทั้ง2ฝ่าย ข้อเสนอการใช้ระบบ Net Metering คือการยอมให้ไฟฟ้าที่ประชาชนผลิตได้อยู่ในสายส่งโดยการไฟฟ้าไม่ต้องมาเปลี่ยนมิเตอร์กันตัวเลขหมุนกลับ ซึ่งรัฐบาลควรสนับสนุนประชาชนมากกว่าปิดกั้น ในหลายประเทศ รัฐบาลออกเงิน ให้ประชาชนติดตั้ง 40-50% ด้วยซ้ำไป แต่ประเทศไทยนอกจากรัฐบาลไม่สนับสนุนประชาชนอย่างจริงใจแล้ว ยังสร้างอุปสรรคจนไม่มีใครกล้าลงทุนติดตั้ง ต้องยอมซื้อไฟฟ้า ทั้งที่แดดเป็นของฟรีที่ธรรมชาติมอบให้ทุกคน
รัฐบาลไทยเอื้อแต่โรงไฟฟ้าเอกชน เช่นการรับซื้อไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าขยะ จากโรงไฟฟ้าความร้อนร่วมของเอกชน รัฐบาลยอมรับซื้อไฟฟ้าในราคา3-5บาทต่อหน่วย ทั้งที่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตซื้อแพง และขายไฟต่อให้การไฟฟ้านครหลวงและการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ในราคาหน่วยละประมาณ 3บาทเท่านั้น เท่ากับ กฟผ.ซื้อเอกชนแพง แต่ขายให้กฟน.และกฟภ.ในราคาถูกกว่า ซึ่งราคาส่วนต่างที่ซื้อแพงก็ถูกผลักมาโปะไว้ในค่า Ft ที่เป็นภาระของประชาชนทั้งประเทศต้องจ่ายแทน
ด้วยเหตุนี้ แม้มีไฟฟ้าสำรองเกินอยู่ 40% แต่ก็ยังมีข่าวการประกาศรับซื้อไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าเอกชนอยู่เสมอ เพราะอะไร จึงมีการอนุมัติเอกชนผลิตไฟฟ้าขายให้กฟผ.ทั้งที่มีไฟสำรองเกินความจำเป็นแล้ว และยังมีการรับซื้อในราคาแพงได้ โดยมีอายุรับซื้อถึง 25ปี ทำให้สังคมเกิดข้อสงสัยข่าวร่ำลือที่ว่า มีเงินค่าอนุมัติเมกกะวัตต์ละล้าน ใช่หรือไม่ และนโยบายผลิตไฟเกินความจำเป็นดังกล่าว เอื้อประโยชน์การผูกขาดให้แก่ใคร?!
จึงมีคำถามต่อมาว่า เพราะเหตุนี้หรือไม่ ที่ทำให้การรับซื้อไฟฟ้าจากการผลิตของประชาชนรายเล็ก รายน้อยในราคาที่เป็นธรรม ที่ช่วยเพิ่มรายได้จากการลดรายจ่ายของประชาชน และลดความเหลื่อมล้ำจึงเกิดขึ้นได้ยาก ใช่หรือไม่
ข้อเสนอต่อนโยบายโซล่าประชาชนของรัฐบาล
1) นายกรัฐมนตรีควรเจรจากับรัฐมนตรีมหาดไทยให้แก้ไขกฎกระทรวงฉบับที่65 ให้การตรวจสอบรับรองความมั่นคงแข็งแรงของอาคารโดยวิศวกรโยธาเมื่อมีการติดตั้งโซล่าบนหลังคาเกิน 180 ตารางเมตรขึ้นไป ส่วนที่ใช้พื้นที่น้อยกว่านั้นให้ติดตั้งได้เลยโดยไม่ต้องขออนุญาต
2) นายกรัฐมนตรีควรมีบัญชาให้ใช้นโยบายหักลบกลบหน่วยค่าไฟในระบบ Net Meteringได้แล้ว หลังจากขอเวลาพิจารณามา 6ปีแล้ว วิธีหักลบกลบหน่วยเป็นวิธีที่ง่าย ไม่ซับซ้อน และตรงไปตรงมาเช่นสมมติว่าครัวเรือนใดที่ผลิตไฟจากโซล่าได้เดือนละ 200 หน่วย ใช้ ไฟฟ้าเดือนนั้น 250 หน่วย ก็จ่ายให้การไฟฟ้า 50หน่วยในราคาหน่วยละ 4บาท ซึ่งวิธีนี้เป็นวิธีที่อารยประเทศต่างๆเขาใช้กันอยู่แล้ว เพื่อช่วยลดภาวะโลกร้อน ลดมลพิษที่เกิดจากการผลิตไฟฟ้าด้วยพลังฟอสซิล และเชื้อเพลิงสกปรก ในช่วงการระบาดของ