เรื่องสั้น : หนี

กระทู้สนทนา

ลมหนาวพัดพรูเข้ามากระทบชายวัยกลางคนที่นั่งอยู่ท่ามกลางความมืด กองไฟที่ใกล้จะมอดลงไปเพราะดุ้นฟืนไม้ไม่ได้ถูกใส่ลงไปเพิ่มเติมลงไป
อาจเป็นเพราะความเหนื่อยอ่อนและร่างกายที่อ่อนล้าจากการเดินทาง ทำให้เขาเผลอหลับไป 

จนมาเริ่มรู้สึกตัวจึงค่อยๆขยับผ้าที่เก่าจนแทบจะไม่เหลือความสะอาดที่คลุมกายอยู่ให้กระชับติดตัวมากขึ้น
ริ้วรอยเหี่ยวย่นบนใบหน้า ผิวกร้านแตกเหมือนว่าแทบจะไม่ได้สัมผัสกับครีมประทินผิวใดๆเลยมาเกือบตลอดทั้งชีวิต
ทำให้ดูมีอายุมากกว่าวัยที่เป็นจริงไปตามทะเบียนสำมะโนประชากรไปหลายสิบปี

สักพักร่างกายก็เริ่มขยับยกมือเป่าปากไล่ความหนาวไปที่ฝ่ามือ 
เอื้อมมือออกไปจับท่อนไม้จ่อเข้าไปที่กองไฟที่สุมไว้ที่ใกล้จะมอดลงเพราะใกล้จะหมดเชื้อ 

นั่งนิ่งอยู่นาน    เงียบงัน 

ในป่าลึกที่แทบจะไม่มีใครย่างกรายเข้ามา
พลันภาพในอดีตก็ผุดขึ้นในความทรงจำเนิ่นนานยืดยาว ต่อเนื่องราวกับสายน้ำไหลในวสันตฤดู

“พี่สิงห์ พี่สิงห์ อยู่บ้านไหมพี่” เสียงตะโกนอยู่ไกลๆแถวริมรั้ว ปลุกให้ชายหนุ่มสะดุ้งขึ้นในยามวิกาลอย่างแปลกใจ
หลังจากหายงัวเงียสักพัก  ตาเริ่มชินต่อแสงริบหรี่ของตะเกียงดวงน้อยๆที่ตั้งอยู่บนโต๊ะใกล้ที่นอนที่เขาหลับอยู่
ชันกายขยับออกไปมองลอดรูฝาที่มีร่องพอจะมองออกไปยังภายนอกได้ด้วยความสงสัยว่าเกิดอะไรในยามวิกาลคืนนี้

“พี่สิงห์ ผมเอง ไอ้จ้อย” เสียงตะโกนสำทับขึ้นมา ท่ามกลางความมืดแต่พอปรับสายตาได้จึงแลเห็นเพียงเงาตะคุ่มๆ
ของกลุ่มคนประมาณสองสามคนในมือถือไฟฉายขนาดถ่านตรากบสามก้อนติดมือกันอยู่ทุกคนสาดแสงเข้ามา
เมื่อรู้สึกตัวเต็มที่จึงพอจำเสียงที่ร้องตะโกนเรียกได้ว่าเป็นน้องในหมู่บ้านที่ปลูกเรือนอยู่ห่างออกไปประมาณท้ายหมู่บ้าน
“เออ ได้ยินแล้ว “ ตะโกนกลับไป “เอ็งมีอะไรว่ะไอ้จ้อย มากันดึกดื่นขนาดนี้”
“ไอ้เผือกสิพี่ มันโดนใครก็ไม่รู้มาลักไป ตามีจึงให้มาหาพี่ออกไปตามด้วยกัน ทางพ่อผู้ใหญ่กับคนอื่นๆแบ่งทางกันไปหมดแล้ว
 เหลือแต่ทางผมกับพี่ต้องลงไปทางใต้ คนไม่พอเลยต้องแยกกันไป” รีบเล่าอย่างละล่ำละลักด้วยกลัวไม่ทันเวลา

ไอ้เผือก ก็ต้องเป็นชื่อควายนะสิ เป็นตัวผู้อายุราวห้าปีกำลังหนุ่มสมวัย สีก็สมชื่อ เพราะดันผ่าเหล่าออกมาเป็นสีขาว
 ตามความเชื่อของคนเก่าแก่ยังสืบต่อมาว่าสัตว์ที่ผิดแผกจากฝูงอย่าไปฆ่าเพราะอาจจะทำให้เกิดวิบัติได้
 คนทั้งบางก็ให้ความเอ็นดูรักใคร่ แม้แต่ตามีเจ้าของมันเองก็ยังไม่กล้าไปลงงานหนักให้มันทำ 
 มันก็เลยเดินฉุนฉายไปทั่ว เด็กเล็กเด็กน้อยได้วิ่งขึ้นขี่มันอย่างสบายใจเพราะมันสนิทกับทุกคน
 คิดไปก็ใจหายขึ้นมาถ้าไม่เจอมันจะทำยังไงกัน 

ลุกขึ้นผลุนผลันรีบดับตะเกียงก่อนคว้าพร้าด้ามยาวที่ใช้ติดตัวกับไฟฉายที่ถ่านอ่อนแรงส่องทางพอได้แค่ไม่กี่ศอก
ดีกว่าไม่มีอะไรเลยนำทางในคืนเดือนมืดขนาดนี้ 

“ไปกัน”พูดพลางออกมาสมทบกับไอ้จ้อย เด็กเพิ่งขึ้นหนุ่มราวสิบแปดสิบเก้าได้ข่าวว่ามันออกจะเกเรไปหน่อยตามประสาวัยคะนอง 
แอบคิดในใจว่าพอเอาเข้าจริงๆ มันก็ไม่เลวนัก เวลาหมู่บ้านมีปัญหาอะไรก็ยังพอพึ่งพาได้ ดีกว่าไม่มีผู้ชายเสียเลยในยามนี้ 

ตัวเขาเองก็ผ่านร้อนหนาวมาเกือบสามสิบปีอีกไม่กีเดือนข้างหน้า ตั้งแต่พ่อกับแม่มาเสียไปเมื่อปีกลาย
เขาก็อาศัยทำนาอยู่ในที่ที่พ่อแม่ทิ้งไว้ให้
โชคยังดีหน่อยที่นาของเขาทำเลค่อนข้างดีกว่าของคนอื่นๆเพราะมีน้ำให้ปลูกข้าวได้เกือบทุกปียกเว้นปีที่แล้งจัดจริงๆ
กระจิตกระใจยังไม่หายโศกเศร้าจากความสูญเสียพ่อแม่จากอาการเจ็บป่วยแบบปัจจุบันทันด่วน
ที่จู่ๆก็ล้มป่วยลงในระยะเวลาสั้นๆแล้วก็จากไป  จนไม่มีเวลาแม้แต่คิดจะหาใครมาร่วมชีวิตด้วย ในยามนี้ 
แม้จะมีสาวๆในบ้านหลายคนแวะเวียนมาหาส่งสายตาทักทายทอดไมตรีให้เสมอๆ
คิดถึงชีวิตตัวเองเพลินๆ พลางฉุกคิดหยุดฝีเท้าเอ่ยถามด้วยความเอะใจนึกขึ้นมาได้
 
“จ้อย ใช่ทางนี้ไหม ทำไมไม่ไปตามทางเกวียน เอ็งเดินลัดเข้าป่าอย่างนี้ เขาจะพาไอ้เผือกหนีมาได้ยังไง”
พลั่ก !!!  ไม่ทันขาดคำเสียงคล้ายของแข็งกระทบต้นคอลงไปจนสติแทบหมดลงดวงตาพร่าเลือน
ดีที่เป็นจังหวะเอี้ยวตัวถาม ของแข็งคงจะเป็นท่อนไม้ในมือของคนที่เดินตามข้างหลังฟาดเข้ามาหวังจะให้โดนท้ายทอยซึ่งเป็นจุดตายของคนทั่วไป
แต่กระนั้น ที่สัญชาตญาณเคยผ่านการไปรับใช้ชาติมาเต็มสองปีในอดีต
 ทำให้แกว่งอาวุธคู่กายที่ติดมือออกไปอย่างอัตโนมัติ ไปยังทิศที่มีการใช้อาวุธจู่โจมเข้ามา 
เฟี้ยว ฉับ “โอ๊ย” เป็นสามเสียงที่เกือบจะดังเกือบพร้อมกัน รับรู้ได้ทันทีว่ามีแรงสะท้อนตึงมือขึ้นมา
ไม่วืดหวดลมแน่ ทั้งๆที่ไม่ได้มองเสียด้วยซ้ำ สำทับกับเสียงร้องปลายเสียงเชื่อขนมกินได้เลยว่า
การออกแรงครั้งนี้ไม่เสียเปล่า 

เอาว่ะ สบถกับตัวเองในใจแค่นเสียง
เงาด้านหลังมองแทบสังเกตุไม่เห็นกระจายออกอย่างรวดเร็วเข้ามาล้อมไว้ทั้ง 4ทิศ
ขณะที่เจ้าตัวยังพยายามทรงกายยืนด้วยความมึนงงสับสน ขู่ออกไปอย่างโมโห
 “อะไรของยิ้ม ไอ้จ้อย ทำไมทำกับกูแบบนี้” หยั่งเชิงพร้อมกำมีดพร้าในมือแน่น 
ตั้งท่าเตรียมรอดูปฏิกิริยาตอบโต้ของฝ่ายตรงข้าม เพิ่งสังเกตเลาๆว่า สามคนที่เหลือไม่คุ้นตาเลยว่าเป็นคนในหมู่บ้าน
ทั้งยังนึกโกรธตัวเองที่มัวแต่ห่วงไอ้เผือก จนลืมรู้สึกผิดปกติว่าไม่มีเสียงคุยกันของไอ้พวกนี้ มันคงเป็นคนต่างถิ่นที่ไอ้จ้อยพามาแน่ๆ
คงจะกลัวว่าเราจะจำได้ว่าไม่ใช่เสียงคนหมู่บ้านเดียวกัน 
ไอ้สิงห์เอ๊ย วันนี้เอ็งจะเป็นสิงห์หมดเชื้อ เสือหมดลายวันนี้หรือเปล่าหนอ?

ยังคิดไม่ทันจบก็มีเสียงแหวกอากาศบางอย่างผ่านเข้ามาจากด้านขวา
 “เอาสิวะ เข้ามาพร้อมกันเลย” พูดเชิงขู่เชิงปลุกใจตัวเอง
“วันนี้ไม่พวกก็กูต้องอยู่เป็นผีเฝ้าป่าบ้านนาดอนแน่” สิ้นคำพุ่งหลบฉากออกไปแต่กระนั้นก็ยังโดนปลายคมเฉียดเข้าที่แขนรู้สึกแปลบชาแต่เคยโดนจังๆกว่านี้ตอนที่ไปรบที่ชายแดน จึงมั่นใจโขว่าพวกนี้ฝีมือแค่นักเลงหัวไม้ไทบ้านธรรมดา
จะเทียบกับอดีตทหารที่เคยแลกชีวิตเพื่อประเทศชาติอย่างเขาได้อยู่หรือ
ถ้าไม่โดนกลุ้มรุมสี่ต่อหนึ่งละก้อ ป่านนี้ต้องมีคนหนึ่งต้องลงไปนอนคุยกับรากมะม่วงแน่แล้ว
ซึ่งมันคงไม่ใช่ผู้ชายที่ใช้ชื่อเหมือนสัตว์ป่าที่ทรงอำนาจที่สุดในเวลานี้อย่างเขาแน่นอน

ความคิดเร็วพอๆกับร่างกายเพราะแม้อายุต่างวัยกับกลุ่มชายเกือบสิบปี
แต่ทำทุกอย่างด้วยตัวเองมาตลอดไม่เคยให้พ่อแม่ได้ลำบากแทนเลย
ผิดกับเด็กหนุ่มกลุ่มนี้วันๆเอาแต่เที่ยวกินไม่สนใจทำมาหากินจนเป็นที่เอือมระอาของทุกคนที่พบเห็น 
นับที่โดนเขาฟันไปคนหนึ่งน่าจะเหลือเพียงสามที่ยังพอมีทีท่าจะต่อสู้ได้เต็มที่ 
วันนี้คนที่เคยปลิดชีวิตคนด้วยกันเมื่อเป็นทหารหลายปีก่อนไม่คิดว่าจะต้องมาทำมันอีกครั้งในผืนดินบ้านเกิด 
และต้องมาทำกับคนบ้านเดียวกันอย่างน้อยคนหนึ่งและที่เหลือคงเป็นลูกหลานคนในละแวกหมู่บ้านใกล้ๆกันอย่างแน่นอน
แต่จะให้เขาทำอย่างไรในเมื่อถ้าไม่ตัดสินใจไป วันนี้ก็คงเป็นวันสุดท้ายในชีวิตของเขาแทน

จังหวะต่อเนื่องขณะที่ความคิดติดอยู่ในใจดันร่างเสรือกเข้าไปใกล้คนแรกที่โจมตีเข้ามายังให้เกิดบาดแผลแรกที่แขนไม่รุนแรงนัก
พร้อมกับยกแขนที่มือมีไฟฉายกันมือของฝ่ายตรงข้ามที่เตรียมต่อยเข้ามา
ส่วนมือข้างทีเหลือกำมีดแน่นแทงออกไปตามเงาในทันที ซ๊วบ อั่ก
จริงๆมีดพร้ามันก็ไม่ได้มีความแหลมตรงปลายประโยชน์มันเพียงใช้ฟันเป็นงานหลัก 
แต่เมื่อแรงสวนของฝ่ายตรงข้าที่โถมเข้ามาบวกกับการพุ่งออกไป 
ไหนจะเป็นแรงของชายที่กรำงานมาตั้งแต่ยังเล็ก เดินถือคันไถตามควายไปช่วยพ่อทำนาตั้งแต่อายุยังไม่ถึงสิบขวบดีในฐานะลูกชายโทนคนเดียว
 ร่างกายได้หล่อหลอมจนมีแรงเหนือกว่าเด็กหนุ่มกระเตาะรุ่นหลังๆแม้วัยจะห่างกันเกือบรอบก็ไม่เป็นปัญหา 
เหลือสมบูรณ์อีกสองเพราะร่วงไปนอนนิ่งอีกหนึ่งหลังเสียงเมื่อสักครู่นี้แล้ว

 คิดในใจ ที่เหลือมันใช่ไอ้เปี๊ยกต้นเรื่องไหม หรือมันโดนไปตั้งแต่ทีแรกก็ฟังไม่ถนัดเพราะเป็นเสียงร้องด้วยความเจ็บปวด 
สองร่างที่เหลือทำท่าละล้าละลังเพราะเห็นว่าทำท่าจะได้ทีเพราะพวกมากหนึ่ง และอาศัยทีเผลอหนึ่ง 
แต่สถานการณ์ตอนนี้กลับตาลปัตรไม่เป็นอย่างที่คิด สุดท้ายต้นเรื่องก็เอ่ยขึ้นมาเมื่อเหตุการณ์เปลี่ยนไป 
“พี่สิงห์ พอเถอะพี่ ผมยอมแล้ว” ฉายไฟออกไปแม้ไม่สว่างนักส่องไปพอจะมองเห็นเงาที่เหลือสองคนที่มาด้วยยืนนิ่ง
 ส่วนอีกคนยืนกุมมือตัวสั่น คงโดนพร้าของเขาตั้งแต่ทีแรกตกใจจนยืนนิ่งทำอะไรไม่ถูก 
คนที่เพิ่งโดนแทงไปก็ยังนอนนิ่งไม่รู้ตกใจจนสลบหรือว่าทนไม่ไหวตายไปแล้วจริงๆ

“เอ็งทำแบบนี้ทำไม” เสียงตะคอกกลับเหมือนอยากตะโกนให้ได้ยินไปทั้งบาง
“คือ คือว่า” เสียงสั่นระรัวแฝงความหวาดกลัวละล่ำละลั่กพูด 
“พี่แผนที่มีนาติดกับพี่ เขาอยากได้นาพี่ เคยจะมาขอซื้อกับพ่อแม่พี่แต่แกไม่ขายให้ พอดีพ่อแม่พี่ไม่อยู่แล้วแกก็เลยมาหาพวกผมให้มาติดต่อให้ แกบอกให้มาจัดการเลยจะได้ไม่ยุ่งยาก เงินค่านาก็เอาไปแบ่งกันเลยถือว่าเป็นค่าจ้าง”
“เอ็งถึงกับกล้าจะฆ่าคนเลยเหรอว่ะ พวกเอ็งเคยทำมาก่อนไหม”โพล่งออกไป อย่างเดือดดาล

ฉุกคิดในใจขึ้นมา หรือว่า ที่พ่อแม่ป่วยอย่างไม่มีสาเหตุเป็นเพราะเรื่องนี้ด้วยถึงกับนิ่งแล้วเค้นถามเสียงสั่น
“แล้วเรื่องที่พ่อแม่ข้าป่วยก็ไม่ใช่โรคทั่วไปใช่ไหม เอ็งรู้ใช่ไหม ?” 
“จ๊ะพี่ “ เสียงสั่นตอบมาทันทีแสดงความหวาดกลัวเมื่อเห็นอาการของอดีตนักรบร่างกายสั่นเทิ้มด้วยโทสะแทบจะระเบิดออกมา
“มันเป็นยังไง” ขบกรามขึ้นจนเป็นสันนูนออกมาจนเห็นชัด แทบจะบดให้ฟันในปากทั้งหมดกร่อนเป็นผุยผงเพื่อระบายโทสะ
 หากเป็นอย่างที่คิดไว้จริงๆ วันนี้ชื่อของคนเป็นในโลกนี้ หากมีชื่อไอ้แผนอยู่ก็ต้องไม่มีคนชื่อไอ้สิงห์ได้อยู่ร่วมโลกกันอีกต่อไป

“คือยังงี้พี่สิงห์ พี่แผนเขาอยากได้นาของพี่มากๆ พ่อแม่พี่ก็ไม่ขายซักทีบอกจะเก็บไว้ให้พี่ แกเลยแอบเอายาเบื่อไปใส่ในตุ่มที่พี่ใช้ สงสัยพี่จะแข็งแรงเลยไม่เป็นอะไร”เล่าต่อเนื่องด้วยความกลัวสารภาพจนหมดเปลือกออกมา

ไม่ทันสิ้นคำที่ได้ฟัง น้ำตารื้นขึ้นเกือบเต็มดวงตา น้ำที่ใส่ตุ่มให้พ่อแม่ใช้กินเขายอมไปตักจากที่สะอาดวันละตั้งหลายกิโล
หมั่นเติมให้ไม่เคยให้พร่องลงไปเลยหวังจะให้พ่อแม่ได้รับความสุขเท่าที่จะทำได้จากลูกชายคนเดียวที่เคยไม่ได้ดูแลเพราะต้องไปรับใช้ชาติเกือบสองปี
ส่วนตัวกลับไปใช้น้ำใกล้บ้านดื่มกินด้วยความกตัญญู กลับเป็นผลดีแก่ตัวยังผลร้ายแกพ่อแม่เพียงเพราะเพื่อนบ้านที่คิดหวังฮุบเอาผืนนาไปเป็นของมันโดยไม่คิดถึงบาปบุญใดๆ

คืนที่มืดมิดคืนนั้นกลับได้นำความมืดดำที่ลึกสุดเข้ามาปกคลุมแก่หัวใจของชายหนุ่มคนนี้อีกครั้ง
ทำให้เขากลับมาเป็นผู้ที่ไม่อาจยับยั้งความแค้นที่ถูกกระทำต่อบุพการีอันเป็นเสมือนสิ่งเดียวที่ยึดโยงเขาไว้กับโลกใบนี้

ไม่ทันที่จะตั้งตัว ร่างของเขาก็เข้าประชิดสองหนุ่มน้อยที่ยืนตัวสั่นเสียงวัตถุแหวกอากาศออกไปอย่างรวดเร็วบ้าคลั่ง
ภาพที่เห็นแม้จะเลือนรางพร่ามัวก็ยังดีกว่าได้เห็นชัดๆว่ามันน่าสยดสยองเพียงใด
ร่างทั้งสองทรุดลง
 ทิ้งร่างร้องโอดโอยราวกับจะเป็นเสียงกรีดร้องของปิศาจแห่งรัตติกาลให้มากลืนกินวิญญาณของพวกเขาให้หายไปยังความมืดชั่วนิรันดร์
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่