โควิด วันนี้ ผมไม่ได้มาพูดเรื่อง การกลับมา หรือ รอบไหนร้ายแรงกว่า หรือ เราจะเป็นยังไงช่วงนี้
แต่ผมอยากพูดถึง โควิด ในแง่ที่ว่า ตอนต้นปี มีหลายอย่างที่เราเริ่มทำกัน ต้องเรียกว่า เริ่ม มันคือ จุดเริ่ม ของการ ใส่หน้ากาก ล้างมือ และ ฉีดแอลกอฮอล์ให้กับ กระเป๋าตังค์ มือถือ เหรียญเงิน
อยากบอกว่า เอาแค่ล้างมือ ซึ่งคือเรื่องง่ายสุด นั่นคือ สิ่งที่ผมทำประจำก่อน โควิด เช่น ไปห้าง ก็ ลงจากรถ เปิดประตูห้าง แล้ว เลี้ยวเข้าห้องน้ำเลย คือ ล้างมือก่อน แล้ว ค่อยกลับมาจับเงิน แต่จับเงินแล้ว ไปซื้อข้าว ฟู้ดคอร์ท ผมก็จะขอน้ำซุปเขา แล้ว เอาช้อนส้อม ตะเกียบ จุ่ม ตักราดด้วย แล้วค่อยกิน ซึ่ง โอเค จาน ชาม ของเขาเราทำอะไรไม่ได้ แต่ก็ยังดี คือเรียกว่า ผมทำสุดแล้ว ในอำนาจแห่งการกระทำของเรา
ก่อนมี โควิด เวลาไปร้านข้าว ตามถนน เจอพวกมายืนซื้อ จามแบบไม่ปิดปาก คือ ยืนซื้อน่ะ จ่อตู้อาหารแน่นอน ทำไรไม่ได้ครับ ได้แต่เคืองๆ เพราะไม่ต้อง โควิด หรอก เอาแค่หวังธรรมดา ถ้าติด ผมต้องใช้เวลา 2 สัปดาห์ ถึงหายสนิท ต้องลางานมี 3 วัน ทรมาน กินยา อาการไข้ คือ เคืองน่ะ บอกตรงๆ เจอคนพวกนี้ หรือ บางทีโต๊ะข้างๆ จะจาม เขาก็หันมาจามใส่กลางร้านอาหาร คือเผื่อแผ่ได้ทั่วเถิงจิงๆ
พวกไม่ล้างมือ จับก้น เกาขา แล้วมาหยิบอาหารทำกินให้เราเลย คนขายอาหารพวกนี้ ก็มี บางคนก็ ขี้มูกไหล ซิก ๆ พวกนี้เตรียมตัวเจอเลย หลังวันอากาศเปลี่ยน ครึ้มฝนหน่อยๆ จะเจอ และ ผมก็เคยติดหวัดจากการไปกินร้านพวกนี้ ก็เหมือนเดิมคือ ลาป่วย กินยา นอน งานไม่เดิน ปัญหาสุม น่าเบื่อครับ
อย่างน้อย โควิด ตอนต้นปีในประเทศเรา ก็มีมาตรการ ใส่หน้ากาก เน้นล้างมือ มาสองอย่างละครับ ที่มันคือสิ่งที่ คนจำนวนมากเขาไม่ทำ คือ จามก็จามเลย ไม่หันหนี และที่สำคัญ มันดูธรรมดาในสังคมไทยๆของเราด้วย สำหรับร้านอาหารตึกแถว หรือ พวกไม่รู้จักเกรงใจชาวบ้าน รวมถึง โรงหนังก็เคยเจอ พวก ไปนั่งดูหนังขี้มูกไหล สูด ซึ้ดๆ แบบ นอนอยู่บ้านดีกว่าไหมครับ
คนเราเรื่อง พื้นฐานอนามัยเลยนะ ล้างมือก่อนทานอาหาร ไอจาม ปิดปาก ปิดจมูก มันอาจไม่ช่วยได้หมดแต่ก็ลดทอนการแพร่กระจาย ไม่มากก็น้อย ดีกว่า อ้าปาก พ่นเต็มสูบ ผมเคยดูสารคดี เขาบอกว่า จามที ไปได้หลายป้ายรถเมล์เลยสำหรับ เชื้อหวัด มันไปกับอากาศครับ รวมถึง ไอ วัณโรค ฯลฯ แต่คนเราไม่แคร์ ก็จำนวนนึงน่ะครับ
จน โควิดมา ใครไอ ใครจาม ไม่มีหน้ากาก จะโดนมองแบบรังเกียจ ค่อยลดพฤติกรรมเสี่ยงลงมา ( ผมมองว่า นี่คือ ผลข้างเคียงในแง่ บวก สำหรับสังคมไทยที่เราอยากให้มันเกิดขึ้น โดยไม่ต้องมี โควิด มาบังคับ แต่ก็คงจะไม่ได้ ก็ต้องบอกว่า นี่คือ จะขอบคุณ โควิด พอจะเรียกได้ ใน กรณีนี้ เท่านั้น คือ ทำให้คน ปกป้องตนเอง และคนอื่นมากขึ้นแบบ บังคับ ไม่งั้นติดโรคกัน )
และ ลดลงมาก ไม่ใช่เพราะเกรงใจใครหรอกนะ สำหรับพวกที่ไอจาม ไม่ปิดปากน่ะ ทำเพราะ กลัวตัวเองติดโรค เพราะผมว่าคนเราถ้า รู้จักเกรงใจ รู้จักอนามัย ล้างมือ ปกป้องไอจาม ควรต้องรู้จักเกรงใจคนอื่นบ้างโดยไม่ต้องให้โรคและสถานการณ์มาบังคับแบบนี้ บางทีผมก็ไอ บางทีผมก็จาม แต่ถ้าประชุมอยู่ หรือ ในร้านอาหาร หรือ ใกล้กลุ่มคนมากๆ ผมจะเดินไปห่างๆ เท่าที่ทำได้ แล้วค่อยจาม
เพื่อนบางคนเห็นผม เช็ดช้อน ล้างหลอด ก่อนโควิดมาเป็นสิบปี เพื่อนร่วมงานมองหน้าแล้ว หัวเราะๆ แบบทำนอง เหมือนผมบ้า ผมเฉยมากสำหรับ สายตา และรอยยิ้มเหล่านั้น เป็นไงครับ ตอนนี้ ปีที่ผ่านไป ต้องใส่หน้ากากกันเลย ผมเคยอ่านนะ มีคนมาบ่นว่า เขาใส่หน้ากาก แล้วคนที่ทำงานพูดว่า นายกลัวขนาดนั้นเลยเหรอ ( ที่ทำงานเขา มีเขาใส่หน้ากากนั่งทำงานคนเดียว เพื่อนร่วมงานเขาไม่ใส่กันเลย ) ทำให้เขารู้สึกเสีย เซลฟ์ ผมอ่านแล้วก็นึกในใจ อืมม์ ดีนะ ผมเป็นคนไม่ตามเสียงส่วนใหญ่เป็นหลัก ( มันดีในบางที บางทีมันก็ไม่ดี นะครับ เขาเรียก ในดีมีเสีย ในเสีย มีดี เลือกปฏิบัติตามวาระจะดีสุด ) แต่ผมเลือกปฏิบัติตามที่เห็นสมควร ไม่ใช่เสียงส่วนใหญ่ คือ ตอบแทนที่ร่างกายเรามีสมอง ให้มีความรู้ การศึกษา และความคิด ก็ใช้แค่นั้นแหล่ะ แม้ต้องเจอ กลุ่มคนเทไปอีกฝั่ง เราก็ยังต้องคิดก่อน ไม่ใช่ตามๆเขา เกรงใจเขา อายเขา แล้วก็ไปพังตามเขา ... เฮ้อ ว่าแล้วก็คิดจะเลิกซื้อล็อตเตอรี่ละ เพราะตามมาเยอะ แห่ะๆ
สุขภาพเรา อยู่ในมือเรา ความปลอดภัย ทรัพย์สิน ชีวิตทั้งหมด อาจไม่อยุ่ในมือเราทั้งหมด แต่ 80 - 90 % มันควรอยู่ในมือเรา อะไรที่คนส่วนใหญ่หัวเราะ ถ้าเราคิดว่า เฮ้ย ไม่ได้ ปล่อยไม่ได้ เราก็อย่าปล่อย คนเราจะอยู่ได้อย่างไร ถ้าไม่มั่นใจตัวเอง ไม่เชื่อการตัดสินใจตัวเอง แม้มันจะดีบ้าง ไม่ดีบ้าง แต่มันก็ดีกว่า เฮโล ตามเขา ให้คนอื่นคิด เราทำตาม แล้วพอวิบัติ ก็นั่นแหล่ะ เราคนเดียวรับผิดชอบผลที่ทำไป
สรุปก็ ล้างมือ ใส่หน้ากากเข้าหากันเหมือนเดิม อ้อ ส่วนเรื่องตุน ผมไม่ต้องแล้ว เพราะวุ้นเส้น เส้นหมี่ มาม่า ปลากระป๋อง เหลือเพียบไม่ได้กินเลย เพราะไม่ได้ชอบกิน เห็นบางแห่ง ซุปเปอร์คนแห่ไปบ้าง แต่ผมเชื่อว่า ไม่นานหรอก เดี๋ยวก็เต็มเชลท์เหมือนเดิม
บ่นจบแล้ว ไปละครับ
บ่นเล่น สั้นๆ
แต่ผมอยากพูดถึง โควิด ในแง่ที่ว่า ตอนต้นปี มีหลายอย่างที่เราเริ่มทำกัน ต้องเรียกว่า เริ่ม มันคือ จุดเริ่ม ของการ ใส่หน้ากาก ล้างมือ และ ฉีดแอลกอฮอล์ให้กับ กระเป๋าตังค์ มือถือ เหรียญเงิน
อยากบอกว่า เอาแค่ล้างมือ ซึ่งคือเรื่องง่ายสุด นั่นคือ สิ่งที่ผมทำประจำก่อน โควิด เช่น ไปห้าง ก็ ลงจากรถ เปิดประตูห้าง แล้ว เลี้ยวเข้าห้องน้ำเลย คือ ล้างมือก่อน แล้ว ค่อยกลับมาจับเงิน แต่จับเงินแล้ว ไปซื้อข้าว ฟู้ดคอร์ท ผมก็จะขอน้ำซุปเขา แล้ว เอาช้อนส้อม ตะเกียบ จุ่ม ตักราดด้วย แล้วค่อยกิน ซึ่ง โอเค จาน ชาม ของเขาเราทำอะไรไม่ได้ แต่ก็ยังดี คือเรียกว่า ผมทำสุดแล้ว ในอำนาจแห่งการกระทำของเรา
ก่อนมี โควิด เวลาไปร้านข้าว ตามถนน เจอพวกมายืนซื้อ จามแบบไม่ปิดปาก คือ ยืนซื้อน่ะ จ่อตู้อาหารแน่นอน ทำไรไม่ได้ครับ ได้แต่เคืองๆ เพราะไม่ต้อง โควิด หรอก เอาแค่หวังธรรมดา ถ้าติด ผมต้องใช้เวลา 2 สัปดาห์ ถึงหายสนิท ต้องลางานมี 3 วัน ทรมาน กินยา อาการไข้ คือ เคืองน่ะ บอกตรงๆ เจอคนพวกนี้ หรือ บางทีโต๊ะข้างๆ จะจาม เขาก็หันมาจามใส่กลางร้านอาหาร คือเผื่อแผ่ได้ทั่วเถิงจิงๆ
พวกไม่ล้างมือ จับก้น เกาขา แล้วมาหยิบอาหารทำกินให้เราเลย คนขายอาหารพวกนี้ ก็มี บางคนก็ ขี้มูกไหล ซิก ๆ พวกนี้เตรียมตัวเจอเลย หลังวันอากาศเปลี่ยน ครึ้มฝนหน่อยๆ จะเจอ และ ผมก็เคยติดหวัดจากการไปกินร้านพวกนี้ ก็เหมือนเดิมคือ ลาป่วย กินยา นอน งานไม่เดิน ปัญหาสุม น่าเบื่อครับ
อย่างน้อย โควิด ตอนต้นปีในประเทศเรา ก็มีมาตรการ ใส่หน้ากาก เน้นล้างมือ มาสองอย่างละครับ ที่มันคือสิ่งที่ คนจำนวนมากเขาไม่ทำ คือ จามก็จามเลย ไม่หันหนี และที่สำคัญ มันดูธรรมดาในสังคมไทยๆของเราด้วย สำหรับร้านอาหารตึกแถว หรือ พวกไม่รู้จักเกรงใจชาวบ้าน รวมถึง โรงหนังก็เคยเจอ พวก ไปนั่งดูหนังขี้มูกไหล สูด ซึ้ดๆ แบบ นอนอยู่บ้านดีกว่าไหมครับ
คนเราเรื่อง พื้นฐานอนามัยเลยนะ ล้างมือก่อนทานอาหาร ไอจาม ปิดปาก ปิดจมูก มันอาจไม่ช่วยได้หมดแต่ก็ลดทอนการแพร่กระจาย ไม่มากก็น้อย ดีกว่า อ้าปาก พ่นเต็มสูบ ผมเคยดูสารคดี เขาบอกว่า จามที ไปได้หลายป้ายรถเมล์เลยสำหรับ เชื้อหวัด มันไปกับอากาศครับ รวมถึง ไอ วัณโรค ฯลฯ แต่คนเราไม่แคร์ ก็จำนวนนึงน่ะครับ
จน โควิดมา ใครไอ ใครจาม ไม่มีหน้ากาก จะโดนมองแบบรังเกียจ ค่อยลดพฤติกรรมเสี่ยงลงมา ( ผมมองว่า นี่คือ ผลข้างเคียงในแง่ บวก สำหรับสังคมไทยที่เราอยากให้มันเกิดขึ้น โดยไม่ต้องมี โควิด มาบังคับ แต่ก็คงจะไม่ได้ ก็ต้องบอกว่า นี่คือ จะขอบคุณ โควิด พอจะเรียกได้ ใน กรณีนี้ เท่านั้น คือ ทำให้คน ปกป้องตนเอง และคนอื่นมากขึ้นแบบ บังคับ ไม่งั้นติดโรคกัน )
และ ลดลงมาก ไม่ใช่เพราะเกรงใจใครหรอกนะ สำหรับพวกที่ไอจาม ไม่ปิดปากน่ะ ทำเพราะ กลัวตัวเองติดโรค เพราะผมว่าคนเราถ้า รู้จักเกรงใจ รู้จักอนามัย ล้างมือ ปกป้องไอจาม ควรต้องรู้จักเกรงใจคนอื่นบ้างโดยไม่ต้องให้โรคและสถานการณ์มาบังคับแบบนี้ บางทีผมก็ไอ บางทีผมก็จาม แต่ถ้าประชุมอยู่ หรือ ในร้านอาหาร หรือ ใกล้กลุ่มคนมากๆ ผมจะเดินไปห่างๆ เท่าที่ทำได้ แล้วค่อยจาม
เพื่อนบางคนเห็นผม เช็ดช้อน ล้างหลอด ก่อนโควิดมาเป็นสิบปี เพื่อนร่วมงานมองหน้าแล้ว หัวเราะๆ แบบทำนอง เหมือนผมบ้า ผมเฉยมากสำหรับ สายตา และรอยยิ้มเหล่านั้น เป็นไงครับ ตอนนี้ ปีที่ผ่านไป ต้องใส่หน้ากากกันเลย ผมเคยอ่านนะ มีคนมาบ่นว่า เขาใส่หน้ากาก แล้วคนที่ทำงานพูดว่า นายกลัวขนาดนั้นเลยเหรอ ( ที่ทำงานเขา มีเขาใส่หน้ากากนั่งทำงานคนเดียว เพื่อนร่วมงานเขาไม่ใส่กันเลย ) ทำให้เขารู้สึกเสีย เซลฟ์ ผมอ่านแล้วก็นึกในใจ อืมม์ ดีนะ ผมเป็นคนไม่ตามเสียงส่วนใหญ่เป็นหลัก ( มันดีในบางที บางทีมันก็ไม่ดี นะครับ เขาเรียก ในดีมีเสีย ในเสีย มีดี เลือกปฏิบัติตามวาระจะดีสุด ) แต่ผมเลือกปฏิบัติตามที่เห็นสมควร ไม่ใช่เสียงส่วนใหญ่ คือ ตอบแทนที่ร่างกายเรามีสมอง ให้มีความรู้ การศึกษา และความคิด ก็ใช้แค่นั้นแหล่ะ แม้ต้องเจอ กลุ่มคนเทไปอีกฝั่ง เราก็ยังต้องคิดก่อน ไม่ใช่ตามๆเขา เกรงใจเขา อายเขา แล้วก็ไปพังตามเขา ... เฮ้อ ว่าแล้วก็คิดจะเลิกซื้อล็อตเตอรี่ละ เพราะตามมาเยอะ แห่ะๆ
สุขภาพเรา อยู่ในมือเรา ความปลอดภัย ทรัพย์สิน ชีวิตทั้งหมด อาจไม่อยุ่ในมือเราทั้งหมด แต่ 80 - 90 % มันควรอยู่ในมือเรา อะไรที่คนส่วนใหญ่หัวเราะ ถ้าเราคิดว่า เฮ้ย ไม่ได้ ปล่อยไม่ได้ เราก็อย่าปล่อย คนเราจะอยู่ได้อย่างไร ถ้าไม่มั่นใจตัวเอง ไม่เชื่อการตัดสินใจตัวเอง แม้มันจะดีบ้าง ไม่ดีบ้าง แต่มันก็ดีกว่า เฮโล ตามเขา ให้คนอื่นคิด เราทำตาม แล้วพอวิบัติ ก็นั่นแหล่ะ เราคนเดียวรับผิดชอบผลที่ทำไป
สรุปก็ ล้างมือ ใส่หน้ากากเข้าหากันเหมือนเดิม อ้อ ส่วนเรื่องตุน ผมไม่ต้องแล้ว เพราะวุ้นเส้น เส้นหมี่ มาม่า ปลากระป๋อง เหลือเพียบไม่ได้กินเลย เพราะไม่ได้ชอบกิน เห็นบางแห่ง ซุปเปอร์คนแห่ไปบ้าง แต่ผมเชื่อว่า ไม่นานหรอก เดี๋ยวก็เต็มเชลท์เหมือนเดิม
บ่นจบแล้ว ไปละครับ