ลุงปงคำหายตัว

กระทู้คำถาม
สวัสดีครับ เรื่องที่ผมจะเล่าต่อจากนี้  เป็นเรื่องของลุงชื่อปงคำ เป็นคนในหมู่บ้านของผมเองครับ ปัจจุบันนี้ก็คงจะเจ็ดสิบกว่าเเล้ว หัวหงอก เวลาเดินหลังโก่งไปมาก แต่ตอนสมัยผมเป็นเด็ก ตอนนั้นแกอายุประมาณห้าสิบ  ชื่อปงคำ แกมักจะพูดกับผมและคนในหมู่บ้านว่า หมายถึงไอ้หนุ่มเสียงทอง หรือเเผ่นดินทอง แกเป็นคนอารมณ์ดี ชอบพูดชอบคุย บางทีก็ขับบทซอเกี้ยวพาสาวใหญ่กับพวกแม่บ้านให้เป็นที่ครื้นเครง ชนิดไม่มีเกรงใจผัว 

ผมจดจำแกได้ดีตอนครั้งที่ไปทำนา ในยุคนั้นจะช่วยกันลงเเขกเกี่ยวข้าวกัน ลุงปงคำแกจะเป็นตัวฮาตลอด จะเป็นตัวเปิดเรื่อง เวลาทำงานไป เคียวเกี่ยวต้นข้าวไป แกก็มักจะพูดเรื่องโน้นเรื่องนี้ ไม่ให้เหงาจนเกินไปนัก  การทำนาสมัยก่อน เขาไม่ทำแบบเครื่องจักรแบบสมัยนี้ คือเขาทำกันแบบใจเย็น ค่อยเป็นค่อยไป เคียวที่เกี่ยวข้าว เเล้วเขาจะใช้ตวัดตอซังข้าว ให้หักให้คอพับลง แล้วเอารวงข้าววางแมะไว้ ประมาณสองถึงสามกำได้ เเล้วเเต่ขนาดกำมือของแต่ละคน เพื่อให้รวงข้าวตากแดดได้อย่างทั่วถึง ประมาณสองสามวันรวงข้าวก็จะเเห้ง ชาวนาก็จะขนไปรวมกัน ไว้กลางทุ่งที่ใดที่หนึ่ง เพื่อเอามาทำผ่านกรรมวิธีนวดข้าว แต่ในปัจจุบันวิธีการนี้ไม่เห็นอีกเเล้ว

ผมเล่าบริบทของเรื่องยาวไปหน่อย ขอย้อนกลับมาที่ลุงปงคำอีกนะครับ ลุงปงคำแกถ้าสมัยนี้เปรียบได้กับ โชว์เดี่ยว ไมค์เดี่ยวอะไรประมาณนี้ แกชอบพูดชอบคุย  และเรื่องที่แกโปรดปรานที่สุด คือเรื่องแนวสองเเง่สองง่าม สัปดี้สัปดล เรื่องใต้สะดือก็ว่าแกชอบนัก แต่ด้วยที่แกเป็นคนกะล่อน ลูกล่อลูกชนนัก พูดอะไรไป ใครจะโกรธแกก็โกรธไม่ลง แต่หนึ่งในนั้นคือลุงจั๋นติ๊บ

ลุงจั่นติ๊บคนนี้ปกตินิสัยเป็นคนเงียบขรึม หน้านิ่ง ทำอะไรทำจริงจัง ผมอดจะเกรงแกไม่น้อย และก็มีนิสัยเป็นคนชอบเอาชนะด้วย คือมารู้เอาในตอนที่มาประกบกับลุงปงคำนั่นแหละ บทจะพูดตลกพูดให้ฮ่า ลุงจั่นติ๊บก็สามารถพูดได้เช่นกัน คือคู่นี้เขาวัยไล่เลี่ยกันเป็นเพื่อนกัน และชอบเอาชนะกันครับ ขนาดคนนิ่งๆ ก็ยังพยายามงัดมุกฮาเอามาชน ซึ่งเเน่นอนว่าพวกเราที่เกี่ยวข้าวกันอยู่พากันฮาตลอด

เจอกันงานไหนงานนั้น ไม่ว่าจะงานในหมู่บ้าน งานบุญงานบวชงานเเต่ง หรืองานศพ สองตนนี้ลองได้ปะหน้ากันเเล้ว จะต้องหาทางแข่งขันเอาชนะกัน      เรื่องที่ผมขำเอามากๆ คือเรื่องวัว ในเมื่อสองคนนี้เลี้ยงวัว จะชอบเอามาคุยข่มว่าวัวของตนเองงามกว่า

ลุงจั่นติ๊บคุยโวก่อน วัวของแกตัวสูงใหญ่ร่างงามมาก เสียเเต่มันป่วยบ่อยน้ำตาไหลทั้งวัน คนก็ถามเป็นเพราะอะไร แกก็บอกควันเครื่องบินเข้าตามัน แกต้องใช้บันไดต่อหลายชั้น ปีนขึ้นไปเอายาหยอดตาให้มัน ทำเอาฮากันลั่น แต่ครั้งนั้นคนชนะคือลุงปงคำ แกบอกขายวัวทิ้งเเล้ว เอาเงินมาซื้อกลองตีเล่นดีกว่า แล้วคุยโวกลองใบนี้ตีดัง ตีแต่ละทีเจดีย์ชเวดากองในพม่าพังครืน  ผู้ฟังร้องโอ้โห กลองมันท่าจะใหญ่มาก ลุงจั่นติ๊บก็มองแกมเย้ย ถามจะเอาหนังวัวที่ไหนมาทำกลอง ลุงปงคำบอก ก็เอาหนังวัวสูนะสิทำ 

สองลุงประชันมุกตลกกันบ่อย ระยะหลังลุงปงคำจะมีภาษีดีกว่าตรงที่ชอบเล่นมุกสัปดล ลูกเขาเมียใครแกพูดล้อเล่นใส่ จนบางครั้งเล่นเกินไปเป็นเรื่องไปถึงผู้ใหญ่บ้านก็มี  เรื่องเอาโทษปรับสินไหมไม่มี เพราะปากแกแบบนั้นเองไม่ได้มีเนื้อในจะทำจริงๆ  คนเอาเรื่องลุงปงคำ ไม่ใช่ใคร คือลุงจั่นติ๊บนั่นแหละ คราวนี้โกรธจริง เล่นมาพูดจะจีบเป็นชู้กับเมียเก สมัยสาวๆ เป็นคนสวยไม่น้อย ทำให้เป็นคนหวงเมีย 

เรื่องมันนานเเล้ว ผมไม่รู้สองเฒ่าจะเลิกบาดหมาง กลับมาพูดจากันอีกไหม จนผมออกไปหางานทำในเมือง ได้กลับมาเยี่ยมบ้านอีกทีมารู้ว่าลุงจั่นติ๊บเสียเเล้ว ส่วนลุงปงคำเองก็หวิดสิ้นชื่อ ได้นอนไอซียูหลายคืน  ช่วงนั้นข่าวเรื่องเหล้าเถื่อนมาเเรง คนทำใส่สารลงไปสารพัด คนกินถึงขั้นตายไปหลายคน ลุงจั่นติ๊บตายส่วนลุงปงคำพอฟื้นคืนมาได้ คุยโวใหญ่แกกระดูกเหล็กกว่าจั่นติ๊บมากนัก คราวนี้จะได้จีบเมียเพื่อนแล้วก็ร้องเพลงซอไปตามเรื่อง

ผมเองยังไม่รู้คู่นี้เขาคืนดีกันหรือยัง  ทำไมพูดจาแบบนั้นตอนที่ศพยังไม่ได้เอาไปเผา
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่