JJNY : ภาคธ.ฝุ่นยังตลบ หนี้เสียพุ่งรายได้ลด/ติดโควิดพุ่ง 279 ตาย 2/แฟชั่น-นาฬิกาหรูดิ้นปรับตัว/สมพงษ์เชื่อในวิกฤตมีโอกาส

ภาคธนาคารฝุ่นยังตลบ หนี้เสียพุ่ง รายได้ลด
https://www.thansettakij.com/content/money_market/462355
 

 
ธนาคารพาณิชย์ น่าจะเป็นอีกกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าภาคท่องเที่ยว เพราะเป็นผลเกี่ยวเนื่องจากคุณภาพหนี้ที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 อีกทอดหนึ่ง
 
เริ่มจากต้นปี 2563 กลุ่มธนาคารพาณิชย์ต้องเตรียมรับมือกับกติกาและมาตรฐานบัญชีใหม่ TFRS9 ที่จะมีผลต่อการดำเนินธุรกิจธุรกิจธนาคารในปี 2563 แต่ล่วงมาเพียงเดือนเศษ ทุกธนาคารต้องแตะเบรกทันที หลังมีการระบาดของโควิดในเดือนกุมภาพันธ์ 2563  จากนั้นภาพจำเชิงลบก็ถาโถมเข้าใส่ จนแทบจะไม่ต้องใช้แผนธุรกิจที่เตรียมไว้จากปีก่อน เพราะทุกคนต้องเดินหน้าเชิงรุกในการดูแลลูกค้าเพื่อไม่ให้ตกชั้น จนธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) ต้องออกเกณฑ์ผ่อนปรนมาตรการจัดชั้นคุณภาพหนี้ควบคู่กับมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ทั้งพักชำระหนี้ ยืดเวลาและปรับลดอัตราดอกเบี้ย เพื่อเอื้อให้ธนาคารในระบบสามารถปรับโครงสร้างหนี้ เพื่อที่จะประคองลูกหนี้ในภาวะดังกล่าว 
 
เวลาไล่เลี่ยกันธนาคารไทยพาณิชย์ได้คำสั่งจากธปท.ให้จัดทำนโยบายทดสอบภาวะวิกฤตหรือ stress test โดยจัดทำนโยบายบริหารจัดการระดับเงินกองทุน สำหรับระยะเวลา 3 ปี(63-65) เพื่อเป็นการทดสอบความแข็งแกร่งและความเพียงพอของเงินกองทุนที่จะรองรับความเสี่ยงในภาวะวิกฤตที่อาจจะเกิดขึ้น หรืออีกนัยเพื่อสร้างความเชื่อมั่นว่า ระบบสถาบันการเงินของไทยมีเงินกองทุนและสภาพคล่องอย่างเพียงพอ
 
พร้อมๆ กับที่ธปท.ออกหนังสือเวียนห้ามธนาคารพาณิชย์จ่ายเงินปันผลระหว่างกาล จากผลดำเนินงานปี 2563 และห้ามซื้อหุ้นคืน เพื่อเก็บสภาพคล่องไว้รองรับกับเหตุที่คาดไม่ถึง ซึ่งคำสั่งดังกล่าวทำให้หุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ถูกลดความน่าสนใจลง โดยสะท้อนจากดัชนีกลุ่มธนาคารพาณิชย์ตั้งแต่ต้นปีจนถึง 25 ธันวาคม 2563 ลดลงถึง 21.60% เมื่อเทียบกับดัชนีหุ้นไทย ที่ลดลงเพียง 5.92% เท่านั้น 
 
แม้ล่าสุดธปท.จะไฟเขียวให้ธนาคารพาณิชย์สามารถจ่ายปันผลประจำปี 2563 ได้เนื่องจากสถานการณ์ยังมีความไม่แน่นอนสูง จึงต้องมีมาตรการเชิงป้องกัน เพื่อเสริมสร้างเงินกองทุนไว้ จึงให้จ่ายเงินปันผลได้ แต่ต้องไม่เกินอัตราเดียวกับปี 2562 และไม่เกิน 50% ของกำไรสุทธิปี 2563 ต้องไม่เกินอัตราเดียวกับปี 62 และไม่เกิน 50% ของกำไรสุทธิปี 2563 หลังผล stress test แข็งแกร่ง รองรับภาวะวิกฤติได้
 
ขณะที่ภาพรวมสินเชื่อและเงินฝากระบบธนาคารพาณิชย์นั้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่า ตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบัน เงินฝากเติบโต 10% โดยมียอดเงินฝากเพิ่ม 1.3 ล้านล้านบาท ส่งผลให้มียอดคงค้างที่ 14.5 ล้านล้านบาท สวนทางสินเชื่อที่ขยายตัว 4% โดยมียอดสินเชื่อเพิ่มเพียง 5 แสนล้านบาท ส่งผลให้มียอดคงค้างทั้งสิ้น 13.2 ล้านล้านบาท ขณะที่อัตราส่วนสินเชื่อต่อเงินฝาก(L/D)ไม่รวมตั๋วแลกเงินอยู่ที่ 96.12% จากช่วงเดียวกันปีก่อนอยู่ที่ 96.5% 
 
ส่วนคุณภาพสินเชื่อยังคงได้รับผลจากมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้และการผ่อนปรนเกณฑ์การจัดชั้นลูกหนี้ โดยไตรมาส 3 ที่ผ่านมา ธปท.ระบุว่า ยอดคงค้างสินเชื่อด้อยคุณภาพ(NPL หรือ stage3: กลุ่มหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้) อยู่ที่ 5.14 แสนล้านบาท คิดเป็น 3.14% ต่อสินเชื่อรวม เพิ่มขึ้นเล็กน้อยเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนที่ 3.09% ขณะที่สัดส่วนสินเชื่อที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญของความเสี่ยงด้านเครดิตต่อสินเชื่อรวม(stage 2: กลุ่มที่มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ) อยู่ที่ 7.03% ลดลงจากไตรมาสก่อนที่ 7.49% 
 
อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาผลคืบหน้ามาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ที่ดำเนินการตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาและครบกำหนดเมื่อวันที่ 22 ตุลาคมที่ผ่านมาพบว่า ภาพรวมลูกหนี้ลดลง 1.2 แสนล้านบาทเหลือ 6.6 ล้านล้านบาทจากเดือนกรกฎาคมอยู่ที่ 7.2 ล้านล้านบาท แบ่งเป็นลูกหนี้ของธนาคารพาณิชย์ 55% และสถาบันการเงินเฉพาะกิจ 45% ในส่วนของธนาคารพาณิชย์เป็นลูกหนี้ธุรกิจ 63% รายย่อย 37% และประเมินลูกหนี้ธุรกิจกลับมาผ่อนชำระได้ 66% ที่เหลือ 32% ต้องปรับโครงสร้างหนี้และเหลือ 2%เป็นลูกหนี้กลุ่มเปราะบางที่ยังติดต่อไม่ได้ ส่วนรายย่อย 70% กลับมาชำระได้ตามเงื่อนไขอีก 29%ต้องปรับโครงสร้างหนี้ และมีเพียง 1% เท่านั้นที่เป็นกลุ่มเปราะบางที่ยังติดตามไม่ได้ 
 
ขณะเดียวกันระบบธนาคารพาณิชย์มีเงินกองทุนรวม 2.96 ล้านล้านบาท คิดเป็นอัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง(BIS ratio)ที่ 19.8% เงินสำรองอยู่ในระดับสูงที่ 7.83 แสนล้านบาท โดยอัตราส่วนเงินสำรองที่มีต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพ(NPL coverage ratio) อยู่ที่ 149.7% และอัตราส่วนสินทรัพย์สภาพคล่องเพื่อรองรับกระแสเงินสดที่อาจไหลออกในภาวะวิกฤต(LCR) อยู่ที่ 184.9% จากเกณฑ์ขั้นตํ่ากำหนดไว้เพียง 100%
 
ผลพวงจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่ยังมีความเสี่ยงด้านตํ่าและความไม่แน่นอนสูงแถมเกิดการระบาดโควิด-19 รอบใหม่ ซึ่งจะมาซํ้าเติมการฟื้นตัวของ ลูกหนี้ ยังเป็นปัจจัยกดดันภาคธนาคารพาณิชย์ที่ต้องเฝ้าระวังไม่ให้คุณภาพลูกหนี้เสื่อมค่าลงเร็ว ไม่เช่นนั้นอาจจะกระทบกับเงินทุนที่เตรียมไว้ และท้ายที่สุดก็จะกระทบต่ออัตราเงินปันผลที่ผู้ถือหุ้นต่างคาดหวังที่จะได้รับ แม้จะน้อยกว่าปี 2562 ก็ตาม 
 

 
ด่วน! ไทยติดโควิดวันนี้พุ่งสูงสุด 279 ราย ตายอีก 2 ราย 
https://www.matichon.co.th/heading-news/news_2509109
  
ด่วน! ไทยติดโควิดวันนี้พุ่ง 279 ราย ตายอีก 2 ราย นิวไฮท์ของปท.
 
วันที่ 1 มกราคม ที่ทำเนียบรัฐบาล นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19)(ศบค.) รายงานสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในประเทศไทย ว่า
 
ในวันนี้พบผู้ติดเชื้อรายใหม่ 279 ราย เป็นการติดเชื้อในประเทศ 273 ราย ติดเชื้อในกลุ่มแรงงานต่างด้าวจากการคัดกรองเชิงรุก 16 ราย และผู้เดินทางมาจากต่างประเทศและเข้าสถานกักกันโรค(Quarantine) 6 ราย รวมสะสม 7,163 ราย แบ่งเป็นการติดเชื้อในประเทศ 5,142 ราย กลุ่มแรงงานต่างด้าว 1,408 ราย รักษาหายแล้ว 4,273 ราย ยังอยู่ในโรงพยาบาล(รพ.) 2,827 ราย มีผู้เสียชีวิตเพิ่ม 2 ราย สะสมที่ 63 ราย
 
วันนี้เราจะเห็นกราฟที่เพิ่มสูงกว่าวันก่อนที่รายงานไป 250 ราย โดยไทม์ไลน์การระบาดเริ่มจากวันที่ 17 ธันวาคม 2563 หลังจากนั้นเมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2563 พบการระบาดในจ.ระยองเชื่อมโยงกับจ.ชลบุรี รวมถึงกรุงเทพมหานคร(กทม.) ทำให้ตัวเลขรวมสะสมต่อวันพุ่งขึ้น โดยวันนี้คือนิวไฮท์ 279 ราย” นพ.ทวีศิลป์ กล่าว
 
สำหรับจังหวัดที่มีการระบาดของโควิด-19 ล่าสุดเพิ่มอีก 2 จังหวัด คือ ลำพูนและสระแก้ว รวมเป็น 53 จังหวัด จากเมื่อวันที่ 31 ธันวาคม 2564 ยอดอยู่ที่ 51 จังหวัด
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่