'ทักษิณ' อวยพรปีใหม่ ถึงคนไทยทุกคน แนะ อย่าไปจมกับประวัติศาสตร์เก่าๆ
https://www.khaosod.co.th/breaking-news/news_5647769
“ทักษิณ” แนะ ไทยต้องรู้ทันต่างประเทศ พบปัญหาเชิงโครงสร้างหนี้สาธารณะสูงขึ้น ต้องยกเครื่องเศรษฐกิจใหม่ขออย่าอยู่กับเรื่องเก่าๆ อวยพรปีใหม่ทุกคนแข็งแรง
วันนี้ (1 ม.ค.) นาย
ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า วันนี้เรามีปัญหาเชิงโครงสร้างเนื่องจากว่าหนี้สาธารณะหนี้ครัวเรือนสูงขึ้น การกระจายรายได้ยังไม่ดีพอช่องว่างระหว่างคนจนกับคนรวยมีสูง โอกาสสำหรับคนระดับล่างไม่ดีพอ ดังนั้นต้องสร้างโอกาสให้กับคนเหล่านี้อย่างคนระดับล่างที่ประกอบอาชีพเกษตร เราต้องให้โอกาสด้านการเกษตรดูแลเรื่องอุตสาหกรรมรายย่อยและกลาง ดูด้านการศึกษาในระยะยาว เพราะการศึกษาของเรามันล้าหลัง โลกมีการเปลี่ยนไปเยอะ
ดังนั้นเราจำเป็นจะต้องเตรียมระบบการศึกษารองรับเพื่อผลิตแรงงานรองรับอุตสาหกรรมที่เปลี่ยนไป ซึ่งโครงสร้างทางเศรษฐกิจเราต้องยกเครื่องใหม่หมด เพราะเป็นโครงสร้างระบบโบราณ ระบบก่อนอานาลอคด้วยซ้ำ ฉะนั้นเราต้องรีบปรับโครงสร้างโดยด่วนตั้งแต่ระบบการศึกษา การผลิตแรงงาน
นาย
ทักษิณ กล่าวอีกว่า เราต้องรู้เท่าทันต่างประเทศ วันนี้ปลาใหญ่กินปลาเล็ก ปลาเร็วกินปลาช้ามันเป็นระบบทุนนิยมธรรมดาที่หนีไม่พ้น จะชอบหรือไม่ชอบก็ต้องเรียนรู้การอยู่ร่วมกับมัน วันนี้ต่างประเทศยื่นแขนขาผ่านคำว่าแพลตฟอร์มมาหากินจนถึงบ้านเราล้วงทั้งกระเป๋าทั้งข้อมูลเรา
วันนี้ถ้าเรารู้ไม่เท่าทันก็จะโดนกิน หรือปลาใหญ่ในกรุงก็จะกินปลาเล็กในต่างจังหวัดซึ่งก็เป็นเรื่องธรรมดาของทุนนิยม แต่เราจะทำอย่างไรที่จะให้เรื่องธรรมดาเหล่านี้มันไม่เอาเปรียบคนด้านล่างจนเกินไปนั่นก็คือการสร้างความแข็งแรง
เมื่อถามว่าการปฏิรูปข้าราชการ นาย
ทักษิณ กล่าวว่า ทุกวันนี้ต้องใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วย ดังนั้นจะปฏิรูปข้าราชการต้องใช้คนให้น้อยลงใช้ระบบเทคโนโลยีเข้ามาช่วยให้มากขึ้นก็จะทำให้ระบบของการทุจริตลดน้อยลง และการปรับปรุงระบบบริหารก็จะง่ายขึ้น เพราะเราสามารถตรวจสอบผ่านระบบคอมพิวเตอร์ได้
เราต้องสร้างแพลตฟอร์มของเราขึ้นมาโดยให้คนรุ่นใหม่ทำถ้าแข็งแรงแล้วก็มีการเจรจาต่อรอง บางทีเราอ่อนแอเกินจนกว่าที่จะเจรจา ซึ่งเราก็จะเห็นทุกอย่างเป็นขนมหวานแต่ที่จริงแล้วมันเป็นยาพิษ ดังนั้นเราต้องสร้างของเราเองให้แข็งแรงนั่นคือ การส่งเสริมการทำแพลตฟอร์มของคนรุ่นใหม่ โดยต้องเข้าใจว่าวันนี้เราไม่สามารถทำการค้าแบบอนาล็อกได้เหมือนเดิมแล้ว
นาย
ทักษิณ กล่าวอีกว่า วันนี้ประเทศไทยเราต้องรู้เท่าทันทุนนิยม และเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไป และต้องเอาระบบการศึกษา การบริหารจัดการแบบล่วงหน้า ตัวอย่างเช่น ประเทศจีนที่มีความใหญ่ของประเทศ เขารู้ว่าแพลตฟอร์มของสหรัฐอเมริกากำลังจะเข้ามา เขาปิดบล็อกไว้เลยแล้วทำแพลตฟอร์มของตัวเองเขามีความแข็งแรงพอจนเป็นประเทศอันดับ 2 ในเศรษฐกิจ และอีก 8 ปี ข้างหน้าจะแซงสหรัฐอเมริกา เป็นอันดับ 1 ของโลก
ดังนั้นเราต้องรู้เท่าทันเทคโนโลยี ระบบทุนนิยมที่เปลี่ยนไปแล้วทำระบบการศึกษารองรับ และสร้างโอกาสให้ประชาชนอย่าไปคิดแบบเก่า อย่าไปอยู่กับประวัติศาสตร์หรือเรื่องเก่าๆที่เคยสำเร็จ เพราะความสำเร็จในอดีตไม่จำเป็นต้องส่งผลสำเร็จในอนาคต จะต้องมีการปรับตัวตลอดเวลาสัตว์โลกต้องมีการปรับตัว
ทั้งนี้นาย
ทักษิณ ยังกล่าวถึงการพัฒนาคนไทยต้องเดินไปด้วยกันได้ว่า โลกยุคใหม่ยุคที่มีโซเชียลเน็ตเวิร์คที่แข็งแรง ประชาชนเรียนรู้ได้หลายแหล่ง ฉะนั้นทุกอย่างต้องเป็นความจริง ต้องรู้จริงอย่าโกหก อย่าเอาเรื่องรู้ไม่จริงมาพูด เพราะทุกอย่างมีบันทึกไว้หมด การรู้และพูดจริงเป็นสิ่งที่ประชาชนต้องการ เขาพร้อมเดินตามสิ่งที่เป็นอนาคตของพวกเขา เราจึงต้องทำให้เห็นว่าสิ่งที่เราทำนั้นเป็นประโยชน์ต่อพวกเขา
นาย
ทักษิณ กล่าวว่า แน่นอนการเมืองเป็นปัจจัยสำคัญในการที่จะทำให้คนเดินไปด้วยกันหรือสามารถขับเคลื่อนประเทศไปด้วยกันได้ เพราะการบริหารประเทศนั้นจะต้องถูกนำโดยฝ่ายการเมือง ดังนั้นฝ่ายการเมืองต้องมีคุณภาพ และถ้าการเมืองดี คุณภาพของคนก็จะเข้ามาได้มากขึ้น แต่ถ้าการเมืองไม่ดี คนที่มีคุณภาพก็จะถอยลงไปเพราะไม่อยากเข้ามา ดังนั้นการเมืองจะต้องแข็งแรง มีความเป็นธรรม และเป็นประชาธิปไตยจริงๆ เพราะถ้าการเมืองไม่เป็นธรรมคนดีก็ไม่กล้าเข้ามา
เมื่อถามว่า เรายังมีความหวังว่าจะมีคนที่เก่งและดีเข้ามาบริหารประเทศหรือไม่ นายทักษิณ กล่าวว่า ต้องอยู่ที่ว่ารัฐธรรมนูญเป็นอย่างไร และรัฐธรรมนูญนั้นจะอยู่คงทนหรือไม่ เพราะรัฐธรรมนูญเราเปลี่ยนบ่อยกว่ากฎหมายธรรมดาด้วยซ้ำ ถ้าเราได้รัฐธรรมนูญที่ดีและแข็งแรง ไม่มีการฉีกรัฐธรรมนูญเรื่อยๆ ตนคิดว่าการเมืองก็จะแข็งแรง
“ตนคิดว่ารัฐธรรมนูญฉบับปี 2540 เป็นรัฐธรรมนูญฉบับประชาชนจริงๆ ถ้ายึดเอารัฐธรรมนูญปี40 เป็นหลักแล้วปรับเอาจะง่ายและเร็วขึ้น แต่ก็เป็นธรรมชาติของมนุษย์ที่เมื่อได้เปรียบอยู่แล้วก็ไม่อยากให้ความได้เปรียบนั้นหายไป ก็อยากรักษาความได้เปรียบนั้นไว้ต่อ รัฐธรรมนูญก็เลยกลายเป็นเครื่องมือต่อรองทางการเมือง
แต่ถ้าคิดว่าเรากำลังร่วมกันทำรัฐธรรมนูญฉบับนี้เพื่อประเทศของเราในระยะยาว เพื่ออนาคตของลูกหลาน เด็กวันนี้สามารถเข้าดูระบบการศึกษาที่ตัวเองกำลังเรียนอยู่ ดูระบบการสร้างงานในอนาคตที่ตัวเองเป็นอยู่ แต่ในวันนี้มองไม่เห็นอนาคต ตรงนี้จึงเป็นเรื่องสำคัญ
ถ้าเด็กมองเห็นอนาคตได้ก็จะมีคนมาคอยผลักดันให้ประเทศก้าวหน้าต่อไปได้ แต่ถ้ามีความขัดแย้งกันอยู่เรื่อยๆ เด็กก็มองไม่เห็นอนาคต วันนี้เราไม่สามารถปกปิดเด็กได้ว่าอย่ารู้เรื่องต่างๆ วันนี้เขาสามารถรู้ได้หมดจากการค้นคว้า ผู้ใหญ่จึงต้องอยู่บนโลกของความเป็นจริง อยู่กับโลกที่อนาคตจะเปลี่ยนไป ต้องเข้าใจว่าอนาคตจะไปตรงไหน อย่าไปอยู่บนโลกแห่งอดีตมากนัก แม้อดีตจะเป็นสิ่งที่เราควรเรียนรู้ แต่ไม่ใช่เป็นสิ่งที่เราคาดหมาย ดังนั้นเรียนรู้ได้แต่อย่าหลงใหล นาย
ทักษิณ กล่าว
ช่วงท้าย นาย
ทักษิณ กล่าวอวยพรปีใหม่ว่า ปีใหม่นี้เป็นปีที่หนักหน่อย เพราะโลกทั้งโลกระบมกับโรคระบาดนี้ ถึงแม้จะมีวัคซีนแต่คน 100เปอร์เซ็นต์ก็ไม่สามารถฉีดวัคซีนได้หมด บางประเทศก็ยังไม่สามารถให้วัคซีนฟรีกับประชาชนได้ ดังนั้นโรคมันทำให้โลกเปลี่ยนแปลงไปเยอะ ก็อยากบอกกับทุกคนว่าอย่าประมาท
อยากให้ทุกคนอยู่ให้แข็งแรง ปลอดภัย ต้องหมั่นออกกำลัง กินอาหารที่ถูกสุขลักษณะ อย่าการ์ดตก และรีบทำมาหากิน พยายามเรียนรู้ใหม่จากแหล่งความรู้ต่างๆ เพื่อให้ตัวเองปรับตัวทำมาหากินได้ ความอดทนและความพยายามเท่านั้นที่จะทำให้ท่านประสบความสำเร็จในโลกใหม่
"ขอให้คนไทยทุกคนที่ผมรักและคิดถึงพบสิ่งดีๆ และพบสิ่งที่เป็นปัจจัยที่จะทำให้ตัวเองทำมาหากินได้ในโลกยุคใหม่ และอยู่รอดไปกับมันให้ได้ ขอให้ทุกคนแข็งแรง ปลอดภัย และเอาชนะทางเศรษฐกิจได้ทุกคน”
“ทักษิณ” โชว์กึ๋น แก้ โควิด ชี้ป้องกันดีกว่าควบคุม แนะต้องให้ศก.เปิด คนหาเช้ากินค่ำไม่ลำบาก
https://www.khaosod.co.th/politics/news_5647659
“ทักษิณ” โชว์กึ๋น แก้ โควิด ชี้ป้องกันดีกว่าควบคุม ยกดูไบ ตายหลายร้อย แต่ยังเปิดประเทศ ให้เศรษฐกิจเดินได้ เผยถ้าปิด คนหาเช้ากินค่ำลำบาก แนะต้องให้ความรู้ ไม่ให้ตกใจกลัว
วันที่ 1 ม.ค.64 นาย
ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายรัฐมนตรี กล่าวถึงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 รอบสองในประเทศไทยว่า อย่าไปตกใจมาก จริงๆแล้วมันอยู่ที่ทัศนคติการทำงานว่าอยากจะเป็นในลักษณะให้ควบคุมหรือป้องกัน ซึ่งต้องเข้าใจการควบคุมเชื้อโรคสั่งไม่ได้ เพราะเชื้อโรคไปได้ทุกที่ทุกเวลา แต่คนที่เชื้อโรคจะติดนั้นถ้าให้ความรู้กับเขาดีดีเขาจะไม่ตกใจ แต่จะเข้าใจและป้องกันตัวเองได้ ตอนนี้ที่ทั้งโลกตกใจเพราะรอบแรกที่ระบาดนั้นไวรัสมันมีหลายตัว แต่คงเหมือนไข้หวัดใหญ่เมื่อก่อนที่คล้ายๆไวรัสตัวนี้ เราไม่มีความรู้เราก็เลยกลัวไปหมดจนมีวัคซีนเกิดขึ้นวิธีการรักษาง่ายขึ้นคนก็ไม่กลัว ฉะนั้นแล้วมันเป็นเรื่องที่เราชินกับมันแล้วร่างกายเรามีภูมิคุ้มกันก็เลยหยุดกลัว
ส่วนไวรัสโควิด-19 ที่เกิดขึ้นใหม่ ซึ่งมนุษย์ยังไม่มีภูมิคุ้มกัน และเกิดได้ในหลายรูปแบบ ตอนนี้ร่างกายเรายังสู้ไม่ได้ ซึ่งผู้ที่จะเสียชีวิตจากโควิดนั้นมีอัตราต่ำมาก โดยอัตราการติดเชื้อทั้งโลก 81 ล้านคน ซึ่งเป็นจำนวนที่เยอะมากแต่คิดเป็นเปอร์เซ็นต์ประชากรไม่ถึง 2% ที่ติดเชื้อ และที่ติดเชื้อแล้วเสียชีวิตนั้นจริงๆแล้วส่วนใหญ่เป็นเกี่ยวกับวัณโรค หรือพวกเปราะบาง เช่น ผู้ที่มีอายุเกิน 70 ปี มีโรคประจำตัว เช่น โรคอ้วน เบาหวาน หัวใจ ความดันสูง
นาย
ทักษิณ กล่าวว่า ถ้าเราให้อำนาจในการคิดการตัดสินใจกับประชาชนโดยการให้ความรู้การป้องกันจะดีกว่าการควบคุม เช่น ที่ดูไบมีการเสียชีวิตจากโควิด 600 กว่าคน ก็ถือว่าไม่มาก แต่เขาเปิดประเทศเลย เพราะทำมาหากินเรื่องท่องเที่ยว แล้วเปิดประเทศโดยวิธีป้องกันคือใครเข้าประเทศก็ตรวจCPRหาเชื้อเลย นั่นจึงเป็นระบบป้องกันมากกว่าระบบควบคุม ซึ่งการควบคุมมันมีราคาแพงต้องใช้เจ้าหน้าที่ทำให้การควบคุมแพงกว่าการป้องกัน ซึ่งวิธีการป้องกันยังถือเป็นการเปิดเศรษฐกิจด้วย แต่วิธีการควบคุมเป็นการปิดเศรษฐกิจทั้งหมด
นาย
ทักษิณ กล่าวอีกว่า อยากเห็นประเทศไทยใช้ระบบป้องกันให้ความรู้กับประชาชนอย่างชัดเจน อย่าตกใจกลัว แล้วป้องกันการ์ดอย่าตกเท่านั้นเอง ผู้ที่เป็นกลุ่มเปราะบางก็ให้อยู่บ้านก็จะเป็นการป้องกัน อีกทั้งเศรษฐกิจก็เปิดประชาชนก็ไม่เครียดสามารถออกไปทำมาหากินได้ วันนี้ต้องหาความพอดีระหว่างความเป็นอยู่กับการป้องกันโรค ซึ่งจะเป็นวิธีไหนก็แล้วแต่รัฐบาลจะคิด บางทีรัฐบาลทำไปอาจจะมีเหตุผลของเขา ซึ่งตนก็ไม่อาจรู้ได้ถ้าดูจากภายนอกอยากเห็นเศรษฐกิจดีกว่านี้
ฉะนั้นต้องให้เศรษฐกิจเปิด ตลาดมันเดินไปได้ไม่เช่นนั้นคนหาเช้ากินค่ำจะอยู่กันลำบาก ดังนั้นต้องมีความสมดุลระหว่างเศรษฐกิจกับการป้องกัน ไม่ใช่การควบคุมนั่นมันจะเอาไม่อยู่ เพราะเชื้อโรคมันไม่เชื่องแล้วเราก็ต้องมาใช้กำลังคนใช้เงินจำนวนมาก
หลังโควิดนี้เราจะเห็นพฤติกรรมของมนุษย์เปลี่ยนแปลงไป เปลี่ยนอย่างที่แรกคือ เวิร์คฟอร์มโฮมใช้คนงานน้อยลง เพราะราคาถูก สองเรียนหนังสือที่บ้าน เช่นที่อเมริกาทุกวันนี้เขาไม่ได้ถามหาใบปริญญาเวลาไปสมัครงาน แต่จะถามหาประสบการณ์ ฉะนั้นต่อไปใบปริญญาจะสำคัญน้อยลง ที่เราๆแข่งกันเอาใบปริญญามาปิดฝาห้องเยอะๆ แต่ถามว่าได้อะไรไหมก็คงได้เป็นปริญญา หรือบางคนได้ความรู้ บางคนได้ตำราหนังสือ แต่มีบางคนได้ปริญญาได้ทาเลนมาซึ่งมันมีน้อย ดังนั้นเขาส่งเสริมให้ทำจริงและเรียนรู้จากประสบการณ์ดีดี และวิธีการเรียนก็จะเปลี่ยนไป อย่างที่สามช้อปฟอร์มโฮมนั้นก็จะมากขึ้น ต่อไปศูนย์การค้าใหญ่ๆก็จะเป็นที่เดินเล่น แต่ซื้อของออนไลน์แทน และช่วงต่อไปนั้นจะทำมาหากินยากขึ้นจะมีหลายประเทศเขาสร้างระบบป้องกันตัวเองแล้วเห็นแก่ตัวมากขึ้น
JJNY : ทักษิณอวยพรปีใหม่/ทักษิณโชว์กึ๋นแก้โควิด/คาดปี64ว่างงานอีก2.9ล./คณะราษฎรจี้ปล่อยตัวมวลชน/หญิงหน่อยสวัสดีปีใหม่
https://www.khaosod.co.th/breaking-news/news_5647769
วันนี้ (1 ม.ค.) นาย ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า วันนี้เรามีปัญหาเชิงโครงสร้างเนื่องจากว่าหนี้สาธารณะหนี้ครัวเรือนสูงขึ้น การกระจายรายได้ยังไม่ดีพอช่องว่างระหว่างคนจนกับคนรวยมีสูง โอกาสสำหรับคนระดับล่างไม่ดีพอ ดังนั้นต้องสร้างโอกาสให้กับคนเหล่านี้อย่างคนระดับล่างที่ประกอบอาชีพเกษตร เราต้องให้โอกาสด้านการเกษตรดูแลเรื่องอุตสาหกรรมรายย่อยและกลาง ดูด้านการศึกษาในระยะยาว เพราะการศึกษาของเรามันล้าหลัง โลกมีการเปลี่ยนไปเยอะ
ดังนั้นเราจำเป็นจะต้องเตรียมระบบการศึกษารองรับเพื่อผลิตแรงงานรองรับอุตสาหกรรมที่เปลี่ยนไป ซึ่งโครงสร้างทางเศรษฐกิจเราต้องยกเครื่องใหม่หมด เพราะเป็นโครงสร้างระบบโบราณ ระบบก่อนอานาลอคด้วยซ้ำ ฉะนั้นเราต้องรีบปรับโครงสร้างโดยด่วนตั้งแต่ระบบการศึกษา การผลิตแรงงาน
นายทักษิณ กล่าวอีกว่า เราต้องรู้เท่าทันต่างประเทศ วันนี้ปลาใหญ่กินปลาเล็ก ปลาเร็วกินปลาช้ามันเป็นระบบทุนนิยมธรรมดาที่หนีไม่พ้น จะชอบหรือไม่ชอบก็ต้องเรียนรู้การอยู่ร่วมกับมัน วันนี้ต่างประเทศยื่นแขนขาผ่านคำว่าแพลตฟอร์มมาหากินจนถึงบ้านเราล้วงทั้งกระเป๋าทั้งข้อมูลเรา
วันนี้ถ้าเรารู้ไม่เท่าทันก็จะโดนกิน หรือปลาใหญ่ในกรุงก็จะกินปลาเล็กในต่างจังหวัดซึ่งก็เป็นเรื่องธรรมดาของทุนนิยม แต่เราจะทำอย่างไรที่จะให้เรื่องธรรมดาเหล่านี้มันไม่เอาเปรียบคนด้านล่างจนเกินไปนั่นก็คือการสร้างความแข็งแรง
เมื่อถามว่าการปฏิรูปข้าราชการ นายทักษิณ กล่าวว่า ทุกวันนี้ต้องใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วย ดังนั้นจะปฏิรูปข้าราชการต้องใช้คนให้น้อยลงใช้ระบบเทคโนโลยีเข้ามาช่วยให้มากขึ้นก็จะทำให้ระบบของการทุจริตลดน้อยลง และการปรับปรุงระบบบริหารก็จะง่ายขึ้น เพราะเราสามารถตรวจสอบผ่านระบบคอมพิวเตอร์ได้
เราต้องสร้างแพลตฟอร์มของเราขึ้นมาโดยให้คนรุ่นใหม่ทำถ้าแข็งแรงแล้วก็มีการเจรจาต่อรอง บางทีเราอ่อนแอเกินจนกว่าที่จะเจรจา ซึ่งเราก็จะเห็นทุกอย่างเป็นขนมหวานแต่ที่จริงแล้วมันเป็นยาพิษ ดังนั้นเราต้องสร้างของเราเองให้แข็งแรงนั่นคือ การส่งเสริมการทำแพลตฟอร์มของคนรุ่นใหม่ โดยต้องเข้าใจว่าวันนี้เราไม่สามารถทำการค้าแบบอนาล็อกได้เหมือนเดิมแล้ว
นายทักษิณ กล่าวอีกว่า วันนี้ประเทศไทยเราต้องรู้เท่าทันทุนนิยม และเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไป และต้องเอาระบบการศึกษา การบริหารจัดการแบบล่วงหน้า ตัวอย่างเช่น ประเทศจีนที่มีความใหญ่ของประเทศ เขารู้ว่าแพลตฟอร์มของสหรัฐอเมริกากำลังจะเข้ามา เขาปิดบล็อกไว้เลยแล้วทำแพลตฟอร์มของตัวเองเขามีความแข็งแรงพอจนเป็นประเทศอันดับ 2 ในเศรษฐกิจ และอีก 8 ปี ข้างหน้าจะแซงสหรัฐอเมริกา เป็นอันดับ 1 ของโลก
ดังนั้นเราต้องรู้เท่าทันเทคโนโลยี ระบบทุนนิยมที่เปลี่ยนไปแล้วทำระบบการศึกษารองรับ และสร้างโอกาสให้ประชาชนอย่าไปคิดแบบเก่า อย่าไปอยู่กับประวัติศาสตร์หรือเรื่องเก่าๆที่เคยสำเร็จ เพราะความสำเร็จในอดีตไม่จำเป็นต้องส่งผลสำเร็จในอนาคต จะต้องมีการปรับตัวตลอดเวลาสัตว์โลกต้องมีการปรับตัว
ทั้งนี้นายทักษิณ ยังกล่าวถึงการพัฒนาคนไทยต้องเดินไปด้วยกันได้ว่า โลกยุคใหม่ยุคที่มีโซเชียลเน็ตเวิร์คที่แข็งแรง ประชาชนเรียนรู้ได้หลายแหล่ง ฉะนั้นทุกอย่างต้องเป็นความจริง ต้องรู้จริงอย่าโกหก อย่าเอาเรื่องรู้ไม่จริงมาพูด เพราะทุกอย่างมีบันทึกไว้หมด การรู้และพูดจริงเป็นสิ่งที่ประชาชนต้องการ เขาพร้อมเดินตามสิ่งที่เป็นอนาคตของพวกเขา เราจึงต้องทำให้เห็นว่าสิ่งที่เราทำนั้นเป็นประโยชน์ต่อพวกเขา
นายทักษิณ กล่าวว่า แน่นอนการเมืองเป็นปัจจัยสำคัญในการที่จะทำให้คนเดินไปด้วยกันหรือสามารถขับเคลื่อนประเทศไปด้วยกันได้ เพราะการบริหารประเทศนั้นจะต้องถูกนำโดยฝ่ายการเมือง ดังนั้นฝ่ายการเมืองต้องมีคุณภาพ และถ้าการเมืองดี คุณภาพของคนก็จะเข้ามาได้มากขึ้น แต่ถ้าการเมืองไม่ดี คนที่มีคุณภาพก็จะถอยลงไปเพราะไม่อยากเข้ามา ดังนั้นการเมืองจะต้องแข็งแรง มีความเป็นธรรม และเป็นประชาธิปไตยจริงๆ เพราะถ้าการเมืองไม่เป็นธรรมคนดีก็ไม่กล้าเข้ามา
เมื่อถามว่า เรายังมีความหวังว่าจะมีคนที่เก่งและดีเข้ามาบริหารประเทศหรือไม่ นายทักษิณ กล่าวว่า ต้องอยู่ที่ว่ารัฐธรรมนูญเป็นอย่างไร และรัฐธรรมนูญนั้นจะอยู่คงทนหรือไม่ เพราะรัฐธรรมนูญเราเปลี่ยนบ่อยกว่ากฎหมายธรรมดาด้วยซ้ำ ถ้าเราได้รัฐธรรมนูญที่ดีและแข็งแรง ไม่มีการฉีกรัฐธรรมนูญเรื่อยๆ ตนคิดว่าการเมืองก็จะแข็งแรง
“ตนคิดว่ารัฐธรรมนูญฉบับปี 2540 เป็นรัฐธรรมนูญฉบับประชาชนจริงๆ ถ้ายึดเอารัฐธรรมนูญปี40 เป็นหลักแล้วปรับเอาจะง่ายและเร็วขึ้น แต่ก็เป็นธรรมชาติของมนุษย์ที่เมื่อได้เปรียบอยู่แล้วก็ไม่อยากให้ความได้เปรียบนั้นหายไป ก็อยากรักษาความได้เปรียบนั้นไว้ต่อ รัฐธรรมนูญก็เลยกลายเป็นเครื่องมือต่อรองทางการเมือง
แต่ถ้าคิดว่าเรากำลังร่วมกันทำรัฐธรรมนูญฉบับนี้เพื่อประเทศของเราในระยะยาว เพื่ออนาคตของลูกหลาน เด็กวันนี้สามารถเข้าดูระบบการศึกษาที่ตัวเองกำลังเรียนอยู่ ดูระบบการสร้างงานในอนาคตที่ตัวเองเป็นอยู่ แต่ในวันนี้มองไม่เห็นอนาคต ตรงนี้จึงเป็นเรื่องสำคัญ
ถ้าเด็กมองเห็นอนาคตได้ก็จะมีคนมาคอยผลักดันให้ประเทศก้าวหน้าต่อไปได้ แต่ถ้ามีความขัดแย้งกันอยู่เรื่อยๆ เด็กก็มองไม่เห็นอนาคต วันนี้เราไม่สามารถปกปิดเด็กได้ว่าอย่ารู้เรื่องต่างๆ วันนี้เขาสามารถรู้ได้หมดจากการค้นคว้า ผู้ใหญ่จึงต้องอยู่บนโลกของความเป็นจริง อยู่กับโลกที่อนาคตจะเปลี่ยนไป ต้องเข้าใจว่าอนาคตจะไปตรงไหน อย่าไปอยู่บนโลกแห่งอดีตมากนัก แม้อดีตจะเป็นสิ่งที่เราควรเรียนรู้ แต่ไม่ใช่เป็นสิ่งที่เราคาดหมาย ดังนั้นเรียนรู้ได้แต่อย่าหลงใหล นายทักษิณ กล่าว
ช่วงท้าย นายทักษิณ กล่าวอวยพรปีใหม่ว่า ปีใหม่นี้เป็นปีที่หนักหน่อย เพราะโลกทั้งโลกระบมกับโรคระบาดนี้ ถึงแม้จะมีวัคซีนแต่คน 100เปอร์เซ็นต์ก็ไม่สามารถฉีดวัคซีนได้หมด บางประเทศก็ยังไม่สามารถให้วัคซีนฟรีกับประชาชนได้ ดังนั้นโรคมันทำให้โลกเปลี่ยนแปลงไปเยอะ ก็อยากบอกกับทุกคนว่าอย่าประมาท
อยากให้ทุกคนอยู่ให้แข็งแรง ปลอดภัย ต้องหมั่นออกกำลัง กินอาหารที่ถูกสุขลักษณะ อย่าการ์ดตก และรีบทำมาหากิน พยายามเรียนรู้ใหม่จากแหล่งความรู้ต่างๆ เพื่อให้ตัวเองปรับตัวทำมาหากินได้ ความอดทนและความพยายามเท่านั้นที่จะทำให้ท่านประสบความสำเร็จในโลกใหม่
"ขอให้คนไทยทุกคนที่ผมรักและคิดถึงพบสิ่งดีๆ และพบสิ่งที่เป็นปัจจัยที่จะทำให้ตัวเองทำมาหากินได้ในโลกยุคใหม่ และอยู่รอดไปกับมันให้ได้ ขอให้ทุกคนแข็งแรง ปลอดภัย และเอาชนะทางเศรษฐกิจได้ทุกคน”
“ทักษิณ” โชว์กึ๋น แก้ โควิด ชี้ป้องกันดีกว่าควบคุม แนะต้องให้ศก.เปิด คนหาเช้ากินค่ำไม่ลำบาก
https://www.khaosod.co.th/politics/news_5647659
“ทักษิณ” โชว์กึ๋น แก้ โควิด ชี้ป้องกันดีกว่าควบคุม ยกดูไบ ตายหลายร้อย แต่ยังเปิดประเทศ ให้เศรษฐกิจเดินได้ เผยถ้าปิด คนหาเช้ากินค่ำลำบาก แนะต้องให้ความรู้ ไม่ให้ตกใจกลัว
วันที่ 1 ม.ค.64 นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายรัฐมนตรี กล่าวถึงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 รอบสองในประเทศไทยว่า อย่าไปตกใจมาก จริงๆแล้วมันอยู่ที่ทัศนคติการทำงานว่าอยากจะเป็นในลักษณะให้ควบคุมหรือป้องกัน ซึ่งต้องเข้าใจการควบคุมเชื้อโรคสั่งไม่ได้ เพราะเชื้อโรคไปได้ทุกที่ทุกเวลา แต่คนที่เชื้อโรคจะติดนั้นถ้าให้ความรู้กับเขาดีดีเขาจะไม่ตกใจ แต่จะเข้าใจและป้องกันตัวเองได้ ตอนนี้ที่ทั้งโลกตกใจเพราะรอบแรกที่ระบาดนั้นไวรัสมันมีหลายตัว แต่คงเหมือนไข้หวัดใหญ่เมื่อก่อนที่คล้ายๆไวรัสตัวนี้ เราไม่มีความรู้เราก็เลยกลัวไปหมดจนมีวัคซีนเกิดขึ้นวิธีการรักษาง่ายขึ้นคนก็ไม่กลัว ฉะนั้นแล้วมันเป็นเรื่องที่เราชินกับมันแล้วร่างกายเรามีภูมิคุ้มกันก็เลยหยุดกลัว
ส่วนไวรัสโควิด-19 ที่เกิดขึ้นใหม่ ซึ่งมนุษย์ยังไม่มีภูมิคุ้มกัน และเกิดได้ในหลายรูปแบบ ตอนนี้ร่างกายเรายังสู้ไม่ได้ ซึ่งผู้ที่จะเสียชีวิตจากโควิดนั้นมีอัตราต่ำมาก โดยอัตราการติดเชื้อทั้งโลก 81 ล้านคน ซึ่งเป็นจำนวนที่เยอะมากแต่คิดเป็นเปอร์เซ็นต์ประชากรไม่ถึง 2% ที่ติดเชื้อ และที่ติดเชื้อแล้วเสียชีวิตนั้นจริงๆแล้วส่วนใหญ่เป็นเกี่ยวกับวัณโรค หรือพวกเปราะบาง เช่น ผู้ที่มีอายุเกิน 70 ปี มีโรคประจำตัว เช่น โรคอ้วน เบาหวาน หัวใจ ความดันสูง
นายทักษิณ กล่าวว่า ถ้าเราให้อำนาจในการคิดการตัดสินใจกับประชาชนโดยการให้ความรู้การป้องกันจะดีกว่าการควบคุม เช่น ที่ดูไบมีการเสียชีวิตจากโควิด 600 กว่าคน ก็ถือว่าไม่มาก แต่เขาเปิดประเทศเลย เพราะทำมาหากินเรื่องท่องเที่ยว แล้วเปิดประเทศโดยวิธีป้องกันคือใครเข้าประเทศก็ตรวจCPRหาเชื้อเลย นั่นจึงเป็นระบบป้องกันมากกว่าระบบควบคุม ซึ่งการควบคุมมันมีราคาแพงต้องใช้เจ้าหน้าที่ทำให้การควบคุมแพงกว่าการป้องกัน ซึ่งวิธีการป้องกันยังถือเป็นการเปิดเศรษฐกิจด้วย แต่วิธีการควบคุมเป็นการปิดเศรษฐกิจทั้งหมด
นายทักษิณ กล่าวอีกว่า อยากเห็นประเทศไทยใช้ระบบป้องกันให้ความรู้กับประชาชนอย่างชัดเจน อย่าตกใจกลัว แล้วป้องกันการ์ดอย่าตกเท่านั้นเอง ผู้ที่เป็นกลุ่มเปราะบางก็ให้อยู่บ้านก็จะเป็นการป้องกัน อีกทั้งเศรษฐกิจก็เปิดประชาชนก็ไม่เครียดสามารถออกไปทำมาหากินได้ วันนี้ต้องหาความพอดีระหว่างความเป็นอยู่กับการป้องกันโรค ซึ่งจะเป็นวิธีไหนก็แล้วแต่รัฐบาลจะคิด บางทีรัฐบาลทำไปอาจจะมีเหตุผลของเขา ซึ่งตนก็ไม่อาจรู้ได้ถ้าดูจากภายนอกอยากเห็นเศรษฐกิจดีกว่านี้
ฉะนั้นต้องให้เศรษฐกิจเปิด ตลาดมันเดินไปได้ไม่เช่นนั้นคนหาเช้ากินค่ำจะอยู่กันลำบาก ดังนั้นต้องมีความสมดุลระหว่างเศรษฐกิจกับการป้องกัน ไม่ใช่การควบคุมนั่นมันจะเอาไม่อยู่ เพราะเชื้อโรคมันไม่เชื่องแล้วเราก็ต้องมาใช้กำลังคนใช้เงินจำนวนมาก
หลังโควิดนี้เราจะเห็นพฤติกรรมของมนุษย์เปลี่ยนแปลงไป เปลี่ยนอย่างที่แรกคือ เวิร์คฟอร์มโฮมใช้คนงานน้อยลง เพราะราคาถูก สองเรียนหนังสือที่บ้าน เช่นที่อเมริกาทุกวันนี้เขาไม่ได้ถามหาใบปริญญาเวลาไปสมัครงาน แต่จะถามหาประสบการณ์ ฉะนั้นต่อไปใบปริญญาจะสำคัญน้อยลง ที่เราๆแข่งกันเอาใบปริญญามาปิดฝาห้องเยอะๆ แต่ถามว่าได้อะไรไหมก็คงได้เป็นปริญญา หรือบางคนได้ความรู้ บางคนได้ตำราหนังสือ แต่มีบางคนได้ปริญญาได้ทาเลนมาซึ่งมันมีน้อย ดังนั้นเขาส่งเสริมให้ทำจริงและเรียนรู้จากประสบการณ์ดีดี และวิธีการเรียนก็จะเปลี่ยนไป อย่างที่สามช้อปฟอร์มโฮมนั้นก็จะมากขึ้น ต่อไปศูนย์การค้าใหญ่ๆก็จะเป็นที่เดินเล่น แต่ซื้อของออนไลน์แทน และช่วงต่อไปนั้นจะทำมาหากินยากขึ้นจะมีหลายประเทศเขาสร้างระบบป้องกันตัวเองแล้วเห็นแก่ตัวมากขึ้น