พิษโควิด-ศก. ทำยอดคนเดินทางวูบ พบขอคืนค่าตั๋วกว่า 4.6 ล้านบาท
https://www.matichon.co.th/economy/news_2505776
บขส.ชี้พิษโควิด-ศก. ทำยอดคนเดินทางวูบ พบขอคืนค่าตั๋วกว่า 4.6 ล้านบาท
นาย
มาโนช สายชูโต รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ฝ่ายธุรกิจเดินรถ รักษาการแทนกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ขนส่ง จำกัด (บขส.) เปิดเผยว่า ในส่วนการคาดการณ์จำนวนผู้โดยสารในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2564 ตั้งแต่วันที่ 29 ธันวาคม 2563 ถึง 4 มกราคม 2564 คาดว่าจะมีผู้โดยสารเดินทาง ประมาณ 80,000-100,000 คน/วัน ซึ่งน้อยลงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีจำนวนประมาณ 1.2 แสนคน/วัน โดยภาคที่มีการเดินทางมากที่สุด ได้แก่ ภาคอีสาน สำหรับจำนวนผู้โดยสารที่ลดลงเป็นผลมาจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 และปัญหาเศรษฐกิจ
สำหรับวันที่ 29 ธันวาคม 2563 ทางบขส.ได้คาดการณ์จำนวนผู้โดยสารจากสถานีขนส่งหมอชิต ขาเข้า จำนวน 2 หมื่นคน กว่า 1,900 เที่ยว ขาออก 2.5 หมื่นคน กว่า 1,117 เที่ยว ประมาณการผู้โดยสาร 7-8 หมื่นคน คาดเคลียผู้โดยสารได้ทั้งหมด 23.00 น. ทั้งนี้ คาดการณ์ว่า ในวันที่ 30 ธันวาคม 2563 จะมีผู้โดยสารสูงสุดประมาณ 1 แสนคน ประมาณ 5 พันเที่ยว แต่ยังมีจำนวนน้อยกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีจำนวนคนเดินทาง 1.6 แสนคน
นาย
มาโนช กล่าวว่า การแพร่ระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่ ส่งผลให้มีประชาชนทยอยคืนตั๋วและขอเงินค่าโดยสารคืน ตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2563 จนถึงปัจจุบัน แบ่งเป็น ภาคใต้ พบการคืนตั๋ว เป็นจำนวนเงิน 1.3 ล้านบาท ภาคอีสาน 1.9 ล้านบาท และภาคเหนือ 1.4 ล้านบาท หรือรวมความเสียหายทั้งหมดเป็นจำนวนเงินกว่า 4.6 ล้านบาท ลดลงจากรายเป้าหมายรายได้เดือนธันวาคม 2563 ที่คาดไว้ จำนวน 189 ล้านบาท หรือประมาณ 2.5% ทั้งนี้ แม้ว่าจะมีประชาชนทยอยคืนตั๋วเดินทาง แต่ บขส.ยังได้มีการเตรียมรถเสริมเพื่อป้องกันการตกค้างของผู้โดยสารไว้ประมาณ 1,500 คันต่อวัน
สำหรับ มาตรการป้องกันโควิด-19 บขส.ได้ดำเนินการมาตั้งแต่เดือนช่วงที่เกิดการแพร่ระบาดในช่วงต้นปี 2563 และยังปฏิบัติอย่างเข้มข้นเสมอมา พร้อมทั้งมีการยกระดับมาตรการเฝ้าระวังและป้องกันการแพร่ระบาดฯ ขั้นสูงสุด ตามนโยบายกระทรวงคมนาคม และกรมการขนส่งทางบก โดยเน้นย้ำให้พนักงานจำหน่ายตั๋วโดยสาร ตรวจสอบหลักฐานบัตรประจำตัวประชาชนของผู้โดยสารทุกที่นั่ง และกำชับให้ผู้โดยสารลงทะเบียนเข้าใช้แอพพลิเคชัน ไทยชนะ หรือแพลตฟอร์มไทยชนะ หรือกรอกแบบฟอร์มที่กรมการขนส่งทางบกกำหนด เพื่อบันทึกประวัติการเดินทางของผู้โดยสารทุกคนในทุกเส้นทาง รวมทั้งผู้โดยสารและพนักงานประจำรถ ต้องสวมใส่หน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้าตลอดการเดินทาง
นอกจากนี้ บขส.ได้จัดเตรียมแอลกอฮอล์เจลล้างมือให้บริการแก่ผู้โดยสาร รวมทั้งเพิ่มความถี่ในการทำความสะอาดและฆ่าเชื้อโรค โดยใช้แอลกอฮอล์และน้ำยาฆ่าเชื้อโรคเช็ดทำความสะอาดพื้นอาคาร เก้าอี้พักคอยผู้โดยสาร เคาน์เตอร์จำหน่ายตั๋ว บริเวณห้องโถงผู้โดยสาร ห้องสุขา รถเข็น และอุปกรณ์อำนวยความสะดวก ต่างๆ โดยเฉพาะจุดที่มีการสัมผัสบ่อยครั้ง เช่น เคาน์เตอร์บริการ ราวจับบันได ปุ่มกดลิฟท์ เป็นต้น
2564 ปีหน้าฟ้าใหม่ แต่วิกฤตเศรษฐกิจยังไฉไลเหมือนเดิม
https://voicetv.co.th/read/jV1uLcbOU
เวียดนาม-มาเลเซีย-อินโดนีเซีย จีดีพีจะกลับมาโตในปีหน้า สิงคโปร์-ไทย-ฟิลิปปินส์ไม่โชคดีเช่นนั้น นอกจากนี้ อดีตปลัด กท.ตปท.สิงคโปร์ ยังออกมาเตือนให้อาเซียนพร้อมรับมือความเสี่ยง-ความเลวร้ายในปี 2564
จากรายงานการวิเคราะห์สภาพเศรษฐกิจและการฟื้นตัวรายประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือ ไอเอ็มเอฟ อาจจำแนกผู้เล่นในอาเซียนได้ 2 แบบ คือ 1.เหล่าผู้ฟื้นตัวในปี 2564 และ 2.บรรดาผู้โชคร้ายที่แสงสว่างปลายอุโมงค์ยังอยู่อีกไกล
เมื่อพิจารณา 6 ประเทศหลักในอาเซียน (เวียดนาม, อินโดนีเซีย, มาเลเซีย, สิงคโปร์, ฟิลิปปินส์ และไทย) กลุ่มที่หนึ่งประกอบไปด้วย เวียดนาม, อินโดนีเซีย และมาเลเซีย ซึ่งตามการพิจารณาอัตราการเติบโตอย่างแท้จริง (real GDP) ของไอเอ็มเอฟ โดยเอาข้อมูลจากปี 2562 เป็นหลักและตั้งค่าดัชนีฐานที่ 100 ทั้ง 3 ประเทศสามารถทำคะแนนเกินค่าฐานที่ตั้งไว้ได้ทั้งหมดในปี 2564
หมายความว่า จีดีพีของประเทศเพื่อนบ้านทั้ง 3 แห่ง สามารถกลับมาเติบโตได้เหนือระดับก่อนวิกฤตโควิด-19 แล้วในปีหน้า
3 ผู้ฟื้นตัวแห่งอาเซียน
ไอเอ็มเอฟชี้ว่า เวียดนามสามารถทำคะแนนในดัชนีการเติบโตของเศรษฐกิจสูงถึง 108.4 จุด อีกทั้งเอสแอนด์พีโกลเบิลยังประเมินว่าในปี 2564 เศรษฐกิจเวียดนามจะเติบโตจริงประมาณ 10.9% ซึ่งเป็นระดับที่สูงที่สุดเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก เท่านั้นยังไม่พอ เวียดนามยังเป็นประเทศเดียวจากทั้งหมด 6 ประเทศ ที่มีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจเป็นบวกตลอดทั้งปี 2563
ยูตะ ซูกาดะ จากสถาบันวิจัยญี่ปุ่น ชี้ว่า หนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ทำให้เวียดนามได้เปรียบประเทศอื่นเป็นเพราะบริษัทระดับโลกจำนวนมากเลือกย้ายฐานการผลิตไปตั้งโรงงานในเวียดนาม ส่งให้ภาคการส่งออกไปรับอานิสงส์อย่างมาก ทั้งนี้ หากสงครามการค้าระหว่างรัฐบาลสหรัฐฯ และจีนยังดำเนินต่อเนื่อง ยูตะชี้ว่า บริษัทอีกมากจะพาเหรดมาตั้งโรงงานที่เวียดนามเพิ่มขึ้น
สำหรับอินโดนีเซียที่ไอเอมเอฟประเมินว่ามีดัชนีการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ 104.5 จุด ในปี 2564 กลับได้รับผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจนี้จากกฎหมาย Omnibus Law ซึ่งเป็นชนวนให้กลุ่มนักศึกษา สมาชิกสหภาพแรงงาน และประชาชนจำนวนไม่น้อยออกมารวมตัวประท้วงจากความอยุติธรรมที่พวกเขาต้องเผชิญ
แม้กฎหมายจะบอกว่าเป็นไปเพื่อดึงดูดการลงทุนทั้งยังจะสร้างตำแหน่งงานอีกกว่า 3 ล้านตำแหน่ง แต่ผู้ประท้วงชี้ว่ากฎหมายดังกล่าวลิดรอนสิทธิแรงงานโดยเฉพาะผู้หญิงทั่วประเทศ
ด้านมาเลเซีย มีดัชนีการเติบโตอยู่ที่ 101.3 จุด โดยมีปัจจัยส่งเสริมสำคัญจากภาคการส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ที่นักวิเคราะห์ประเมินว่าสถานการณ์จะกลับมาเสถียรมากขึ้นหากภาวะเศรษฐกิจโลกเข้ากลับเป็นปกติ
ยังไปไม่ถึงดวงจันทร์
ขณะที่ 3 ประเทศข้างต้นสามารถทำคะแนนทะลุเกณฑ์ 100 จุดไปได้ สิงคโปร์, ฟิลิปปินส์ และไทย กลับยังไปไม่ถึงจุดดังกล่าว และอาจต้องรอราวๆ 2 ปี กว่าเศรษฐกิจประเทศจะกลับมาแข็งแรงเหมือนก่อนเกิดวิกฤตโรคระบาดได้
ภาคการท่องเที่ยวของสยามเมืองยิ้มยังสร้างปัญหาอย่างต่อเนื่อง เมื่ออุตสาหกรรมนี้กินสัดส่วนกว่า 20% ของการจีดีพีทั้งประเทศ เท่านั้นยังไม่พอ ภาคการส่งอองขอกไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับสินค้ายานยนต์ยังถูกประเมินว่าจะได้รับผลกระทบต่อเนื่อง จากกำลังซื้อของผู้บริโภคที่ลดต่ำลง
รถยนต์
ขณะฟิลิปปินส์มีปัญหาสำคัญในด้านการใช้จ่ายของประชาชนที่หดตัวอย่างหนัก และสิงคโปร์กับปัญหาที่ไม่ต่างจากไทยมากนักในด้านการท่องเที่ยว
เสมอภาคด้าน 'ไบเดน'
แม้แต่ละประเทศจะมีรูปแบบปัญหาและการเติบโตที่แตกต่างกันไป แต่ทั้งประเทศในอาเซียนล้วนจับมือร่วมกันรับแรงปะทะจากนโยบายเศรษฐกิจของ '
โจ ไบเดน' ประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนที่ 46 ผู้จะเข้าดำรงตำแหน่งอย่างเป็นทางการในวันที่ 20 ม.ค. 2564
หลายฝ่ายมองว่า นโยบายเศรษฐกิจของไบเดนยังเป็นการปกป้องการเสียเปรียบของสหรัฐฯ เป็นหลัก ทั้งยังมีท่าทีไม่แน่นอนกับการเข้าร่วมเจรจาความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิกหรือ CPTPP (Comprehensive and Progressive Trans-pacific Partnership) ที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ตัดสินใจเดินออกมา
เท่านั้นยังไม่พอ เทื่อกลางเดือน ธ.ค.ที่ผ่านมา กระทรวงการคลังของสหรัฐฯ ยังขึ้นบัญชี '
เงินดง' ของเวียดนามอยู่ในโผปั่นค่าเงินเพื่อหวังผลประโยชรน์ทางการค้าและเพื่อสร้างความได้เปรียบเหนือสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ขณะที่มี '
เงินบาท' ของไทย ในกลุ่มจับตา (Monitoring List)
รับมือความเลวร้าย (ที่สุด)
ในงานเขียนแสดงความเห็นของ '
บิลาฮาริ คัวซิกัน' อดีตปลัดกระทรวงต่างประเทศของสิงคโปร์ ผู้ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตใหญ่ในปัจจุบัน สะท้อนว่า "
ใครก็ตาม ที่หวังว่าปี 2564 จะดีกว่าเดิมอาจต้องผิดหวัง" เนื่องจากแนวโน้มการพัฒนาภายในอาเซียนและภายนอกที่ต้องสัมพันธ์กับสหรัฐฯ-จีน จะยังไม่ดีขึ้นอย่างผิดหูผิดตา
แม้อาเซียนจะได้รับคำชมเรื่องมาตรการจัดการโควิด-19 ว่าทำได้ดีกว่าอีกหลายภูมิภาค ทว่าการ '
ทำได้ดีกว่า' ไม่ได้หมายความว่า '
ทำได้ดี' และหลายประเทศในภูมิภาค อาทิ อินโดนีเซีย, มาเลเซีย และฟิลิปปินส์ สะท้อนให้เห็นความล้มเหลวในการจัดการของรัฐบาล
นอกจากนี้ อดีตปลัดกระทรวงต่างประเทศของสิงคโปร์ยังย้ำว่า 'วัคซีนต้านโควิด-19' ที่เริ่มจากจ่ายให้กับบางประเทศและจะเดินทางมาถึงอาเซียนในไม่ช้าก็ไม่ใช่ '
ยาครอบจักรวาล' ที่จะช่วยแก้ปัญหาการบริหารจัดการที่ย่ำแย่ของหลายรัฐบาลได้
แม้ประเทศเศรษฐกิจพัฒนาแล้วและมีความพร้อมด้านเทคโนโลยีอย่างสิงคโปร์อาจได้เปรียบจากการใช้ภาวะวิกฤตนี้เป็นตัวเร่งพัฒนาวิจัยและนวัตกรรมของประเทศ แต่ประเทศอย่างสิงคโปร์ก็นับเป็นส่วนน้อยของภูมิภาค และประเทศอื่นๆ ในอาเซียนยังคงต้องพึ่งพาเศรษฐกิจพี่ใหญ่อย่างจีนต่อไป
ซ้ำร้าย ทั้งหมดเป็น '
แค่ความเป็นไปได้' ไม่ใช่เรื่องแน่นอน และน้ำหนักโดยหลักยังคงขึ้นกับการบริการจัดการและปกครองประเทศของรัฐบาล หรือกล่าวโดยง่ายว่า ปัจจัยทางการเมืองของแต่ละประเทศในภูมิภาคมีความสำคัญและเป็นเงื่อนไขหลักว่าประเทศนั้นจะรอดหรือร่วง
บิลาฮาริ ชี้ว่า เมื่อมองโดยภาพรวมแล้วนั้น อิโดนีเซีย, มาเลเซีย และไทยเผชิญความไม่แน่นอนอย่างมากกับปัญหาการเมืองในประเทศ ด้วยเหตุนี้การเตรียมรับมือกับความเซอร์ไพรส์จึงเป็นเรื่องไม่เซอร์ไพรส์เท่าไหร่ ขณะที่ในปี 2564 เอกอัคราราชทูตใหญ่มองว่าเวียดนามและลาวน่าจะอยู่ในภาวะไม่เดิมเกมเสี่ยง
สำหรับเมียนมาและฟิลิปปินส์ เอกอัครราชทูตใหญ่ย้ำว่าเป็นประเทศที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอนตั้งแต่แรกอยู่แล้ว โดยเฉพาะประเทศหลังที่กำลังจะจัดการเลือกตั้งประธานาธิบดีใหญ่ในปี 2565
ท้ายสุด เอกอัคราราชทูตใหญ่แห่งสิงคโปร์ปิดท้ายว่า บรรดารัฐบาลของประเทศในอาเซียนจำเป็นต้องสร้างสมดุลระหว่างการเข้ามาแทรกแซงและหาผลประโยชน์ของมหาอำนาจทั้งจีนและสหรัฐฯ ให้ดี
พร้อมทิ้งท้ายว่า คงมีแต่ประเทศที่ฉ้อฉลอย่างกู่ไม่กลับหรือไร้เดียงสาขั้นสุดที่จะเชื่อคำพูดปั้นแต่งของรัฐบาลจีนถึงความพยายามเข้ามาสร้างสังคมร่วมกันในภูมิภาคอย่างจริงจัง และทุกฝ่ายทราบดีว่าการคงอยู่ของสหรัฐฯ ในภูมิภาคนี้จะช่วยสร้างสมดุลและเงื่อนไขต่อรองกับจีนได้
อ้างอิง;
Nikkei,
IMF
JJNY : 4in1 ยอดคนเดินทางวูบคืนตั๋วกว่า4.6ล./2564 วิกฤตศก.ยังไฉไล/ขอคืนไม่ได้ขอทานรุดทำเนียบ/เผย46จว.พบผู้ติดโควิด
https://www.matichon.co.th/economy/news_2505776
บขส.ชี้พิษโควิด-ศก. ทำยอดคนเดินทางวูบ พบขอคืนค่าตั๋วกว่า 4.6 ล้านบาท
นายมาโนช สายชูโต รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ฝ่ายธุรกิจเดินรถ รักษาการแทนกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ขนส่ง จำกัด (บขส.) เปิดเผยว่า ในส่วนการคาดการณ์จำนวนผู้โดยสารในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2564 ตั้งแต่วันที่ 29 ธันวาคม 2563 ถึง 4 มกราคม 2564 คาดว่าจะมีผู้โดยสารเดินทาง ประมาณ 80,000-100,000 คน/วัน ซึ่งน้อยลงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีจำนวนประมาณ 1.2 แสนคน/วัน โดยภาคที่มีการเดินทางมากที่สุด ได้แก่ ภาคอีสาน สำหรับจำนวนผู้โดยสารที่ลดลงเป็นผลมาจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 และปัญหาเศรษฐกิจ
สำหรับวันที่ 29 ธันวาคม 2563 ทางบขส.ได้คาดการณ์จำนวนผู้โดยสารจากสถานีขนส่งหมอชิต ขาเข้า จำนวน 2 หมื่นคน กว่า 1,900 เที่ยว ขาออก 2.5 หมื่นคน กว่า 1,117 เที่ยว ประมาณการผู้โดยสาร 7-8 หมื่นคน คาดเคลียผู้โดยสารได้ทั้งหมด 23.00 น. ทั้งนี้ คาดการณ์ว่า ในวันที่ 30 ธันวาคม 2563 จะมีผู้โดยสารสูงสุดประมาณ 1 แสนคน ประมาณ 5 พันเที่ยว แต่ยังมีจำนวนน้อยกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีจำนวนคนเดินทาง 1.6 แสนคน
นายมาโนช กล่าวว่า การแพร่ระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่ ส่งผลให้มีประชาชนทยอยคืนตั๋วและขอเงินค่าโดยสารคืน ตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2563 จนถึงปัจจุบัน แบ่งเป็น ภาคใต้ พบการคืนตั๋ว เป็นจำนวนเงิน 1.3 ล้านบาท ภาคอีสาน 1.9 ล้านบาท และภาคเหนือ 1.4 ล้านบาท หรือรวมความเสียหายทั้งหมดเป็นจำนวนเงินกว่า 4.6 ล้านบาท ลดลงจากรายเป้าหมายรายได้เดือนธันวาคม 2563 ที่คาดไว้ จำนวน 189 ล้านบาท หรือประมาณ 2.5% ทั้งนี้ แม้ว่าจะมีประชาชนทยอยคืนตั๋วเดินทาง แต่ บขส.ยังได้มีการเตรียมรถเสริมเพื่อป้องกันการตกค้างของผู้โดยสารไว้ประมาณ 1,500 คันต่อวัน
สำหรับ มาตรการป้องกันโควิด-19 บขส.ได้ดำเนินการมาตั้งแต่เดือนช่วงที่เกิดการแพร่ระบาดในช่วงต้นปี 2563 และยังปฏิบัติอย่างเข้มข้นเสมอมา พร้อมทั้งมีการยกระดับมาตรการเฝ้าระวังและป้องกันการแพร่ระบาดฯ ขั้นสูงสุด ตามนโยบายกระทรวงคมนาคม และกรมการขนส่งทางบก โดยเน้นย้ำให้พนักงานจำหน่ายตั๋วโดยสาร ตรวจสอบหลักฐานบัตรประจำตัวประชาชนของผู้โดยสารทุกที่นั่ง และกำชับให้ผู้โดยสารลงทะเบียนเข้าใช้แอพพลิเคชัน ไทยชนะ หรือแพลตฟอร์มไทยชนะ หรือกรอกแบบฟอร์มที่กรมการขนส่งทางบกกำหนด เพื่อบันทึกประวัติการเดินทางของผู้โดยสารทุกคนในทุกเส้นทาง รวมทั้งผู้โดยสารและพนักงานประจำรถ ต้องสวมใส่หน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้าตลอดการเดินทาง
นอกจากนี้ บขส.ได้จัดเตรียมแอลกอฮอล์เจลล้างมือให้บริการแก่ผู้โดยสาร รวมทั้งเพิ่มความถี่ในการทำความสะอาดและฆ่าเชื้อโรค โดยใช้แอลกอฮอล์และน้ำยาฆ่าเชื้อโรคเช็ดทำความสะอาดพื้นอาคาร เก้าอี้พักคอยผู้โดยสาร เคาน์เตอร์จำหน่ายตั๋ว บริเวณห้องโถงผู้โดยสาร ห้องสุขา รถเข็น และอุปกรณ์อำนวยความสะดวก ต่างๆ โดยเฉพาะจุดที่มีการสัมผัสบ่อยครั้ง เช่น เคาน์เตอร์บริการ ราวจับบันได ปุ่มกดลิฟท์ เป็นต้น
2564 ปีหน้าฟ้าใหม่ แต่วิกฤตเศรษฐกิจยังไฉไลเหมือนเดิม
https://voicetv.co.th/read/jV1uLcbOU
เวียดนาม-มาเลเซีย-อินโดนีเซีย จีดีพีจะกลับมาโตในปีหน้า สิงคโปร์-ไทย-ฟิลิปปินส์ไม่โชคดีเช่นนั้น นอกจากนี้ อดีตปลัด กท.ตปท.สิงคโปร์ ยังออกมาเตือนให้อาเซียนพร้อมรับมือความเสี่ยง-ความเลวร้ายในปี 2564
จากรายงานการวิเคราะห์สภาพเศรษฐกิจและการฟื้นตัวรายประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือ ไอเอ็มเอฟ อาจจำแนกผู้เล่นในอาเซียนได้ 2 แบบ คือ 1.เหล่าผู้ฟื้นตัวในปี 2564 และ 2.บรรดาผู้โชคร้ายที่แสงสว่างปลายอุโมงค์ยังอยู่อีกไกล
เมื่อพิจารณา 6 ประเทศหลักในอาเซียน (เวียดนาม, อินโดนีเซีย, มาเลเซีย, สิงคโปร์, ฟิลิปปินส์ และไทย) กลุ่มที่หนึ่งประกอบไปด้วย เวียดนาม, อินโดนีเซีย และมาเลเซีย ซึ่งตามการพิจารณาอัตราการเติบโตอย่างแท้จริง (real GDP) ของไอเอ็มเอฟ โดยเอาข้อมูลจากปี 2562 เป็นหลักและตั้งค่าดัชนีฐานที่ 100 ทั้ง 3 ประเทศสามารถทำคะแนนเกินค่าฐานที่ตั้งไว้ได้ทั้งหมดในปี 2564
หมายความว่า จีดีพีของประเทศเพื่อนบ้านทั้ง 3 แห่ง สามารถกลับมาเติบโตได้เหนือระดับก่อนวิกฤตโควิด-19 แล้วในปีหน้า
3 ผู้ฟื้นตัวแห่งอาเซียน
ไอเอ็มเอฟชี้ว่า เวียดนามสามารถทำคะแนนในดัชนีการเติบโตของเศรษฐกิจสูงถึง 108.4 จุด อีกทั้งเอสแอนด์พีโกลเบิลยังประเมินว่าในปี 2564 เศรษฐกิจเวียดนามจะเติบโตจริงประมาณ 10.9% ซึ่งเป็นระดับที่สูงที่สุดเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก เท่านั้นยังไม่พอ เวียดนามยังเป็นประเทศเดียวจากทั้งหมด 6 ประเทศ ที่มีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจเป็นบวกตลอดทั้งปี 2563
ยูตะ ซูกาดะ จากสถาบันวิจัยญี่ปุ่น ชี้ว่า หนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ทำให้เวียดนามได้เปรียบประเทศอื่นเป็นเพราะบริษัทระดับโลกจำนวนมากเลือกย้ายฐานการผลิตไปตั้งโรงงานในเวียดนาม ส่งให้ภาคการส่งออกไปรับอานิสงส์อย่างมาก ทั้งนี้ หากสงครามการค้าระหว่างรัฐบาลสหรัฐฯ และจีนยังดำเนินต่อเนื่อง ยูตะชี้ว่า บริษัทอีกมากจะพาเหรดมาตั้งโรงงานที่เวียดนามเพิ่มขึ้น
สำหรับอินโดนีเซียที่ไอเอมเอฟประเมินว่ามีดัชนีการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ 104.5 จุด ในปี 2564 กลับได้รับผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจนี้จากกฎหมาย Omnibus Law ซึ่งเป็นชนวนให้กลุ่มนักศึกษา สมาชิกสหภาพแรงงาน และประชาชนจำนวนไม่น้อยออกมารวมตัวประท้วงจากความอยุติธรรมที่พวกเขาต้องเผชิญ
แม้กฎหมายจะบอกว่าเป็นไปเพื่อดึงดูดการลงทุนทั้งยังจะสร้างตำแหน่งงานอีกกว่า 3 ล้านตำแหน่ง แต่ผู้ประท้วงชี้ว่ากฎหมายดังกล่าวลิดรอนสิทธิแรงงานโดยเฉพาะผู้หญิงทั่วประเทศ
ด้านมาเลเซีย มีดัชนีการเติบโตอยู่ที่ 101.3 จุด โดยมีปัจจัยส่งเสริมสำคัญจากภาคการส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ที่นักวิเคราะห์ประเมินว่าสถานการณ์จะกลับมาเสถียรมากขึ้นหากภาวะเศรษฐกิจโลกเข้ากลับเป็นปกติ
ยังไปไม่ถึงดวงจันทร์
ขณะที่ 3 ประเทศข้างต้นสามารถทำคะแนนทะลุเกณฑ์ 100 จุดไปได้ สิงคโปร์, ฟิลิปปินส์ และไทย กลับยังไปไม่ถึงจุดดังกล่าว และอาจต้องรอราวๆ 2 ปี กว่าเศรษฐกิจประเทศจะกลับมาแข็งแรงเหมือนก่อนเกิดวิกฤตโรคระบาดได้
ภาคการท่องเที่ยวของสยามเมืองยิ้มยังสร้างปัญหาอย่างต่อเนื่อง เมื่ออุตสาหกรรมนี้กินสัดส่วนกว่า 20% ของการจีดีพีทั้งประเทศ เท่านั้นยังไม่พอ ภาคการส่งอองขอกไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับสินค้ายานยนต์ยังถูกประเมินว่าจะได้รับผลกระทบต่อเนื่อง จากกำลังซื้อของผู้บริโภคที่ลดต่ำลง
รถยนต์
ขณะฟิลิปปินส์มีปัญหาสำคัญในด้านการใช้จ่ายของประชาชนที่หดตัวอย่างหนัก และสิงคโปร์กับปัญหาที่ไม่ต่างจากไทยมากนักในด้านการท่องเที่ยว
เสมอภาคด้าน 'ไบเดน'
แม้แต่ละประเทศจะมีรูปแบบปัญหาและการเติบโตที่แตกต่างกันไป แต่ทั้งประเทศในอาเซียนล้วนจับมือร่วมกันรับแรงปะทะจากนโยบายเศรษฐกิจของ 'โจ ไบเดน' ประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนที่ 46 ผู้จะเข้าดำรงตำแหน่งอย่างเป็นทางการในวันที่ 20 ม.ค. 2564
หลายฝ่ายมองว่า นโยบายเศรษฐกิจของไบเดนยังเป็นการปกป้องการเสียเปรียบของสหรัฐฯ เป็นหลัก ทั้งยังมีท่าทีไม่แน่นอนกับการเข้าร่วมเจรจาความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิกหรือ CPTPP (Comprehensive and Progressive Trans-pacific Partnership) ที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ตัดสินใจเดินออกมา
เท่านั้นยังไม่พอ เทื่อกลางเดือน ธ.ค.ที่ผ่านมา กระทรวงการคลังของสหรัฐฯ ยังขึ้นบัญชี 'เงินดง' ของเวียดนามอยู่ในโผปั่นค่าเงินเพื่อหวังผลประโยชรน์ทางการค้าและเพื่อสร้างความได้เปรียบเหนือสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ขณะที่มี 'เงินบาท' ของไทย ในกลุ่มจับตา (Monitoring List)
รับมือความเลวร้าย (ที่สุด)
ในงานเขียนแสดงความเห็นของ 'บิลาฮาริ คัวซิกัน' อดีตปลัดกระทรวงต่างประเทศของสิงคโปร์ ผู้ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตใหญ่ในปัจจุบัน สะท้อนว่า "ใครก็ตาม ที่หวังว่าปี 2564 จะดีกว่าเดิมอาจต้องผิดหวัง" เนื่องจากแนวโน้มการพัฒนาภายในอาเซียนและภายนอกที่ต้องสัมพันธ์กับสหรัฐฯ-จีน จะยังไม่ดีขึ้นอย่างผิดหูผิดตา
แม้อาเซียนจะได้รับคำชมเรื่องมาตรการจัดการโควิด-19 ว่าทำได้ดีกว่าอีกหลายภูมิภาค ทว่าการ 'ทำได้ดีกว่า' ไม่ได้หมายความว่า 'ทำได้ดี' และหลายประเทศในภูมิภาค อาทิ อินโดนีเซีย, มาเลเซีย และฟิลิปปินส์ สะท้อนให้เห็นความล้มเหลวในการจัดการของรัฐบาล
นอกจากนี้ อดีตปลัดกระทรวงต่างประเทศของสิงคโปร์ยังย้ำว่า 'วัคซีนต้านโควิด-19' ที่เริ่มจากจ่ายให้กับบางประเทศและจะเดินทางมาถึงอาเซียนในไม่ช้าก็ไม่ใช่ 'ยาครอบจักรวาล' ที่จะช่วยแก้ปัญหาการบริหารจัดการที่ย่ำแย่ของหลายรัฐบาลได้
แม้ประเทศเศรษฐกิจพัฒนาแล้วและมีความพร้อมด้านเทคโนโลยีอย่างสิงคโปร์อาจได้เปรียบจากการใช้ภาวะวิกฤตนี้เป็นตัวเร่งพัฒนาวิจัยและนวัตกรรมของประเทศ แต่ประเทศอย่างสิงคโปร์ก็นับเป็นส่วนน้อยของภูมิภาค และประเทศอื่นๆ ในอาเซียนยังคงต้องพึ่งพาเศรษฐกิจพี่ใหญ่อย่างจีนต่อไป
ซ้ำร้าย ทั้งหมดเป็น 'แค่ความเป็นไปได้' ไม่ใช่เรื่องแน่นอน และน้ำหนักโดยหลักยังคงขึ้นกับการบริการจัดการและปกครองประเทศของรัฐบาล หรือกล่าวโดยง่ายว่า ปัจจัยทางการเมืองของแต่ละประเทศในภูมิภาคมีความสำคัญและเป็นเงื่อนไขหลักว่าประเทศนั้นจะรอดหรือร่วง
บิลาฮาริ ชี้ว่า เมื่อมองโดยภาพรวมแล้วนั้น อิโดนีเซีย, มาเลเซีย และไทยเผชิญความไม่แน่นอนอย่างมากกับปัญหาการเมืองในประเทศ ด้วยเหตุนี้การเตรียมรับมือกับความเซอร์ไพรส์จึงเป็นเรื่องไม่เซอร์ไพรส์เท่าไหร่ ขณะที่ในปี 2564 เอกอัคราราชทูตใหญ่มองว่าเวียดนามและลาวน่าจะอยู่ในภาวะไม่เดิมเกมเสี่ยง
สำหรับเมียนมาและฟิลิปปินส์ เอกอัครราชทูตใหญ่ย้ำว่าเป็นประเทศที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอนตั้งแต่แรกอยู่แล้ว โดยเฉพาะประเทศหลังที่กำลังจะจัดการเลือกตั้งประธานาธิบดีใหญ่ในปี 2565
ท้ายสุด เอกอัคราราชทูตใหญ่แห่งสิงคโปร์ปิดท้ายว่า บรรดารัฐบาลของประเทศในอาเซียนจำเป็นต้องสร้างสมดุลระหว่างการเข้ามาแทรกแซงและหาผลประโยชน์ของมหาอำนาจทั้งจีนและสหรัฐฯ ให้ดี
พร้อมทิ้งท้ายว่า คงมีแต่ประเทศที่ฉ้อฉลอย่างกู่ไม่กลับหรือไร้เดียงสาขั้นสุดที่จะเชื่อคำพูดปั้นแต่งของรัฐบาลจีนถึงความพยายามเข้ามาสร้างสังคมร่วมกันในภูมิภาคอย่างจริงจัง และทุกฝ่ายทราบดีว่าการคงอยู่ของสหรัฐฯ ในภูมิภาคนี้จะช่วยสร้างสมดุลและเงื่อนไขต่อรองกับจีนได้
อ้างอิง; Nikkei, IMF