ระลึก 20 ปี หนัง "บางระจัน" ดังได้เพราะอะไร?

หากเราเคยผ่านการเรียนวิชาในระดับประถมและมัธยม คงไม่มีใครในที่นี้ที่ไม่จดจำเหตุการณ์สำคัญในช่วงต้นพุทธศตวรรษ 2300 ที่เกิดขึ้นในแถบจังหวัดสิงห์บุรี

เมื่อ "ชาวบ้านบางระจัน" ได้ขับสู้กับเหล่าศัตรูที่ย่างกรายเข้ามาแย่งชิง จนทำให้ชาวบ้านแถบนี้พากันบาดเจ็บล้มตาย และประวัติศาสตร์ครั้งนั้นนำไปสู่แผ่นดินใหม่ซึ่งมี "สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช" เป็นกษัตริย์ครองกรุงธนบุรี

เหตุการณ์วีรกรรม "บางระจัน" ถูกนำไปผลิตสื่อหลากหลายรูปแบบ ทั้งในหนังสือเรียน บทเพลง ละครโทรทัศน์ และที่ขาดไปมิได้..."ภาพยนตร์"

ถึงแม้ว่าเรื่องบางระจันจะมีการสร้างเป็นหนังอยู่หลายครั้งก็จริง แต่ก็คงไม่มีครั้งใดที่เกิดการปลุกกระแสวงการหนังขนานใหญ่ได้เท่าบางระจันซึ่งเริ่มฉายเมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2543 แน่นอน

จวบถึงวันนี้ก็จะครบ 20 ปีพอดิบพอดี!!!

แล้วทำไมหนังบางระจันปี'43 ถึงโด่งดังและทำรายได้จากการเข้าฉายอย่างมหาศาล?

1.เนื้อหาปลุกใจให้รักชาติ ต่อสู้ และส่งเสริมความสามัคคีของคนไทย เรื่องราวชวนให้เข้าใจได้ง่าย

2.การพลิกแนวหนังภายใต้การกำกับของ "ปื๊ด-ธนิตย์ จิตนุกูล" ซึ่งเคยประสบผลสำเร็จมาจากหนังรักหวานแหววในยุคแรก ไปสู่เรื่องเวทมนตร์ จนมาถึงพีเรียดแอ็คชั่นด้วยเรื่องนี้นี่เอง

3.การระดมนักแสดงคุณภาพที่น่าจับตามอง ทั้งหน้าเก่าอย่าง "บิณฑ์ บรรลือฤทธิ์" ในบทนายทองเหม็น "วินัย ไกรบุตร" ในบทนายอิน "ชุมพร เทพพิทักษ์" ในบทพ่อแท่น และหน้าใหม่อย่าง "สุนทรี ใหม่ละออ", "จรัล งามดี", "ภูธฤทธิ์ พรหมบันดาล" รวมถึงสาววัย 15 "ตั๊ก-บงกช คงมาลัย" ที่แจ้งเกิดอย่างสง่างามจากเรื่องนี้

4.เพลงประกอบตอนท้ายเรื่องที่มีชื่อว่า "บางระจันวันเพ็ญ" โด่งดังไปทั่วบ้านทั่วเมือง ทำให้ชื่อเสียงของผู้แต่ง-ผู้ร้องอย่าง "แอ๊ด คาราบาว" ซึ่งเป็นญาติกับ ตั๊ก บงกช กลับมาเป็นที่สนใจมากยิ่งขึ้น

5.เป็นหนังเข้าฉายข้ามปีเรื่องแรกที่ทำรายได้เกิน 100 ล้านบาท ประกอบกับช่วงที่หนังฉายนั้นเกี่ยวเนื่องไปถึงเทศกาลการเลือกตั้ง ส.ส. อีกด้วย

6.เกิดเหตุการณ์นอกจอที่พาให้คอหนังร่ำไห้ เมื่อ "ควายบุญเลิศ" ตัวพาหนะของเรื่องได้สิ้นลมอย่างกะทันหัน นั่นก็มีส่วนช่วยให้หนังทำรายได้เพิ่มและยืดอายุการฉายออกไป
 
จนกระทั่งในปี 2558 ภาพยนตร์เรื่อง "บางระจัน" ได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็น "มรดกภาพยนตร์ของชาติ" จากหอภาพยนตร์ (องค์การมหาชน)

อนึ่ง "ปื๊ด ธนิตย์" ยังได้สร้างเรื่องบางระจันอีกครั้งในปี 2553 โดยเป็นภาคต่อเนื่องจากครั้งแรก แต่ได้มีการเพิ่มสีสันและตัวแสดงบางส่วน และที่สำคัญยังเป็นผลงานการแสดงครั้งแรกของยอดนักกีฬา "ภราดร ศรีชาพันธุ์"

ผลจากการฉายในครั้งต่อมาก็ไม่สามารถสร้างปาฏิหาริย์รายได้เท่าที่ควร ถือเป็นการปิดตำนานเลือดนักสู้ที่ไม่ค่อยน่าจดจำบนโลกแห่งมายา

แต่เราก็เชื่อใจได้ว่า...ยังคิดถึง "บางระจัน" ภาคดั้งเดิมกันอยู่

แม้ว่าในปีนี้จะไม่มีการกลับมาจัดฉายอย่างยิ่งใหญ่เช่นเดียวกับเรื่องนางนาก แต่ถ้าหากเป็นไปได้ในโอกาสต่อไป จะมีบริษัทผู้สร้างหนังรายใดรับสิทธิ์ในการจัดฉาย เนื่องจากผู้สร้างรายเดิมนั้นล้มหายตายจากไปแล้ว...

ถึงจะยังไม่มีข้อสรุป แต่หลายคนยังชมว่า...เรื่องนี้ทำได้อย่างครบเครื่อง หลายคนชมว่าเทคนิคเหนือชั้น หลายคนชมว่าเป็นงานที่ท้าทายในทุกด้าน 
 
และหลายคนยังชมว่านี่คือ..."สุดยอดหนังไทยเท่าที่มีมาตลอด 20 ปี" ใครทันบ้างเอ่ย...สวัสดี.

อ้ายทองเหม็นและพรรคพวก ใน ภ.บางระจัน 

บางระจัน 1 หนังแจ้งเกิดของ ตั๊ก-บงกช คงมาลัย

บางระจัน 2 - บทเรียนอันบอบช้ำของพี่ปื๊ดและทีมงาน
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่