ตามกระทู้ค่ะ คือเราไม่รู้อาการแบบนี้เริ่มมาจากไหน เราเห็นเพื่อนเป็นซึมเศร้ากันเยอะ แล้วความคิดตอนนั้นคือ ทำไมถึงเป็นอะ อ่อนแอจัง แต่พอตอนนี้ รู้สึกเหมือนตัวเองจะเป็นซะเอง แต่อีกความคิดนึงคือ เราก็ไม่อยากเป็นโรคนี้ เลยพยายามคิดว่าตัวเองแค่เป็นโรคเครียดเท่านั้น
เราขอเล่านะคะ อาจจะยาวมากๆแต่รบกวนช่วยให้คำแนะนำเราด้วยนะคะ
คือด้วยความที่ตอนเด็กๆพ่อเราเป็นคนที่เคร่งเรื่องเกรดมากๆ ช่วงเราประถม เวลาเกรดออก พ่อจะให้เอาใบเกรดของพี่และของเรามาเทียบกันตลอด และก็จะพูดประมาณว่า ทำไมเกรดได้แค่นี้ เลยเป็นจุดเริ่มต้นให้เราตั้งใจ และพยายามทำเกรดให้ดีๆ เพราะกลัวพ่อด่า แล้วพ่อก็จะดูเกรดเราเรื่อยๆ พอมามัธยมก็ทำให้เราเครียดไปอีก เพราะมันเป็นการเริ่มต้น ร.รใหม่ เพื่อนใหม่ เราก็พยายามทำเกรดมาเรื่อยๆ เกรด3ตลอด แต่พ่อเราก็ไม่เคยชมว่าเก่งเลย พูดแค่ว่า ไม่ถึง3.5 ไม่เก่งพอ ทำไมได้แค่นี้ และบวกกับเรื่องสังคมรอบตัว เพื่อนที่มองว่าเราเรียนเก่ง เราเข้มแข็ง ทั้งๆที่เราอ่อนแอ และไม่ได้เรียนเก่งเลย เราแค่พยายามสร้างตัวเอง เป็นอีกคนเพราะกลัวว่าพ่อจะมองว่าเราเรียนไม่เก่ง ไม่เอาไหน
จนเรียนจบมัธยมต้น ม.3เราได้3.6 เราดีใจมากเราเลยรีบบอกพ่อ แต่เหมือนเดิม พ่อไม่เคยชมเลย พอมาม.ปลาย พี่เราไปเรียนมหาลัย ต่างจังหวัด ทำให้เราเหมือนเป็นศูนย์กลางที่รับฟังปัญหา แก้ปัญหาในหลายๆเรื่อง เวลาพ่อแม่ทะเลาะกัน เถียงกันเรื่องพี่มช้เงินเยอะ เราเป็นคนฟัง เวลาพี่จะขอเงินพ่อก็ให้เราขอให้ เราก็ต้องเป็นคนกลางสื่อสาร เวลาพ่อบ่น ใช่พี่ไม่ได้ยิน แต่เป็นเราที่ต้องเป็นคนรับรู้ปัญหาในทุกเรื่อง พอจนเรียนจะจบม.6ช่วงนั้นคือเราเริ่มเครียดมากๆจนไม่อยากเรียนแล้ว อยากลาออก ไม่อยากต้องเครียดนั่งอ่านหนังสือสอบแข่งขัน เรารู้สึกเหนื่อยมาก แต่เราก็อดทนจนจบม.6 เราเลยเรียนผู้ช่วยเหลือคนไข้6เดือน เพราะเราเหนื่อยที่จะแข่งกับคนอื่น ตอนนั้นก็ทะเลาะกับพ่อเพราะพ่ออยากให้เรียนมหาลัย จนเรียนจบเราก็ทำงานที่รพ.ประมาณ3เดือน ก็เลยลาออก เพราะตอนนั้นคิดได้ว่าควรเรียนมหาลัย อยากลองสอบหมอดู และพอเราจะสอบหมอ ใช่ค่ะ เครียดมาก เครียดกว่าเดิม เพราะคนคาดหวังเยอะมาก อยากให้สอบติด จนบางครั้งเราเครียด จนไ่อยากทำอะไรเลยหยุดอ่านหนังสือไปหลายเดือนหรือเวลาคิดจะพูดอะไรก็พูดก็คิดซ้ำๆจนรู้สึกว่าโอเค จนตอนนี้เหลือเวลา2เดือน ในการสอบ เราก็เปลี่ยนคณะเป้าหมายแล้ว แต่ก็ยังมีความเครียด และเครียดกว่าเดิมเพราะกลัวไม่ติดมหาลัย กลัวคนมองว่าเราไม่เก่ง เราไม่เอาไหน ซึ่งช่วง3-4เดือนที่ผ่านมาจนถึงตอนนี้ เราเครียดบ่อยมาก เวลาเครียดก็พยายามฟังเพลง คลายเครียดไป แต่มันวกกลับมาคิดเรื่องเดิมๆ เริ่มตบหัวตัวเอง ด่าตัวเองในใจว่าทำไมถึงไม่อ่านหนังสือทำไมถึงห่วย ถึงโง่ อ่านหนังสือก็ไม่เข้าหัว เริ่มอารมณ์แปรปรวน หงุดหงิดง่าย ดึงผม ตีตัวเองบ่อย บางครั้งเวลาคุยกับคนอื่นเราก็เริ่มขึ้นเสียง รู้สึกหงุดหงิดและอยากร้องไห้ ก็รีบเข้าห้องตัวเอง ล๊อคห้องแล้วร้องไห้คนเดียว บางครั้งนอนอยู่แล้วคิดเรื่องเรียนเรื่องสอบทีไร ก็เครียดทุกที จนบางครั้งอยากกลั้นหายใจแล้วตายๆไป แต่อีกความคิดคือไม่อยากทำให้พ่อแม่ผิดหวัง เพราะที่ผ่านมาไม่เคยทำให้พ่อแม่ผิดหวังเรื่องเรียนสักครั้ง ก็เลยหยุดทำ แต่คือตอนนี้เราไม่ไหวแล้ว เราเครียดมาก อีกเรื่องที่อยากเล่าคือตอนช่วงม.6เราเกิดอุบัติเหตุรถชน แต่เป็นเราคนเดียวที่ไปรพ.เอง คุยกับตำรวจเอง พ่อเรานั่งอยู่บ้าน กินเหล้า เราเลยคิดว่าเป็นห่วงเราบ้างไหม เราเคยถามว่าทำไมไม่ไปดูบ้าง พ่อเราบอกว่า เราเก่งแล้ว ดูแลตัวเองได้ เราทำได้แค่พูดติดตลกไป ยิ้มไป ว่าเออใช่แหละหนูเก่งอยู่แล้ว จัดการเองได้ตลอดแหละ แต่ในใจคือเศร้ามาก คือมันมีปัญหาในใจเราเยอะเลยอะ แต่ก็กลัวไม่กล้าไปหาจิตแพทย์ กลัวพ่อแม่แล้วก็คนรอบตัวมองว่าอ่อนแอ มองว่าเป็นบ้า โดยเฉพาะพ่อเรา
ขอโทษพี่พิมพ์ยาว และพิมพ์งงๆนะคะ
ควรไปพบจิตแพทย์ดีไหม?
เราขอเล่านะคะ อาจจะยาวมากๆแต่รบกวนช่วยให้คำแนะนำเราด้วยนะคะ
คือด้วยความที่ตอนเด็กๆพ่อเราเป็นคนที่เคร่งเรื่องเกรดมากๆ ช่วงเราประถม เวลาเกรดออก พ่อจะให้เอาใบเกรดของพี่และของเรามาเทียบกันตลอด และก็จะพูดประมาณว่า ทำไมเกรดได้แค่นี้ เลยเป็นจุดเริ่มต้นให้เราตั้งใจ และพยายามทำเกรดให้ดีๆ เพราะกลัวพ่อด่า แล้วพ่อก็จะดูเกรดเราเรื่อยๆ พอมามัธยมก็ทำให้เราเครียดไปอีก เพราะมันเป็นการเริ่มต้น ร.รใหม่ เพื่อนใหม่ เราก็พยายามทำเกรดมาเรื่อยๆ เกรด3ตลอด แต่พ่อเราก็ไม่เคยชมว่าเก่งเลย พูดแค่ว่า ไม่ถึง3.5 ไม่เก่งพอ ทำไมได้แค่นี้ และบวกกับเรื่องสังคมรอบตัว เพื่อนที่มองว่าเราเรียนเก่ง เราเข้มแข็ง ทั้งๆที่เราอ่อนแอ และไม่ได้เรียนเก่งเลย เราแค่พยายามสร้างตัวเอง เป็นอีกคนเพราะกลัวว่าพ่อจะมองว่าเราเรียนไม่เก่ง ไม่เอาไหน
จนเรียนจบมัธยมต้น ม.3เราได้3.6 เราดีใจมากเราเลยรีบบอกพ่อ แต่เหมือนเดิม พ่อไม่เคยชมเลย พอมาม.ปลาย พี่เราไปเรียนมหาลัย ต่างจังหวัด ทำให้เราเหมือนเป็นศูนย์กลางที่รับฟังปัญหา แก้ปัญหาในหลายๆเรื่อง เวลาพ่อแม่ทะเลาะกัน เถียงกันเรื่องพี่มช้เงินเยอะ เราเป็นคนฟัง เวลาพี่จะขอเงินพ่อก็ให้เราขอให้ เราก็ต้องเป็นคนกลางสื่อสาร เวลาพ่อบ่น ใช่พี่ไม่ได้ยิน แต่เป็นเราที่ต้องเป็นคนรับรู้ปัญหาในทุกเรื่อง พอจนเรียนจะจบม.6ช่วงนั้นคือเราเริ่มเครียดมากๆจนไม่อยากเรียนแล้ว อยากลาออก ไม่อยากต้องเครียดนั่งอ่านหนังสือสอบแข่งขัน เรารู้สึกเหนื่อยมาก แต่เราก็อดทนจนจบม.6 เราเลยเรียนผู้ช่วยเหลือคนไข้6เดือน เพราะเราเหนื่อยที่จะแข่งกับคนอื่น ตอนนั้นก็ทะเลาะกับพ่อเพราะพ่ออยากให้เรียนมหาลัย จนเรียนจบเราก็ทำงานที่รพ.ประมาณ3เดือน ก็เลยลาออก เพราะตอนนั้นคิดได้ว่าควรเรียนมหาลัย อยากลองสอบหมอดู และพอเราจะสอบหมอ ใช่ค่ะ เครียดมาก เครียดกว่าเดิม เพราะคนคาดหวังเยอะมาก อยากให้สอบติด จนบางครั้งเราเครียด จนไ่อยากทำอะไรเลยหยุดอ่านหนังสือไปหลายเดือนหรือเวลาคิดจะพูดอะไรก็พูดก็คิดซ้ำๆจนรู้สึกว่าโอเค จนตอนนี้เหลือเวลา2เดือน ในการสอบ เราก็เปลี่ยนคณะเป้าหมายแล้ว แต่ก็ยังมีความเครียด และเครียดกว่าเดิมเพราะกลัวไม่ติดมหาลัย กลัวคนมองว่าเราไม่เก่ง เราไม่เอาไหน ซึ่งช่วง3-4เดือนที่ผ่านมาจนถึงตอนนี้ เราเครียดบ่อยมาก เวลาเครียดก็พยายามฟังเพลง คลายเครียดไป แต่มันวกกลับมาคิดเรื่องเดิมๆ เริ่มตบหัวตัวเอง ด่าตัวเองในใจว่าทำไมถึงไม่อ่านหนังสือทำไมถึงห่วย ถึงโง่ อ่านหนังสือก็ไม่เข้าหัว เริ่มอารมณ์แปรปรวน หงุดหงิดง่าย ดึงผม ตีตัวเองบ่อย บางครั้งเวลาคุยกับคนอื่นเราก็เริ่มขึ้นเสียง รู้สึกหงุดหงิดและอยากร้องไห้ ก็รีบเข้าห้องตัวเอง ล๊อคห้องแล้วร้องไห้คนเดียว บางครั้งนอนอยู่แล้วคิดเรื่องเรียนเรื่องสอบทีไร ก็เครียดทุกที จนบางครั้งอยากกลั้นหายใจแล้วตายๆไป แต่อีกความคิดคือไม่อยากทำให้พ่อแม่ผิดหวัง เพราะที่ผ่านมาไม่เคยทำให้พ่อแม่ผิดหวังเรื่องเรียนสักครั้ง ก็เลยหยุดทำ แต่คือตอนนี้เราไม่ไหวแล้ว เราเครียดมาก อีกเรื่องที่อยากเล่าคือตอนช่วงม.6เราเกิดอุบัติเหตุรถชน แต่เป็นเราคนเดียวที่ไปรพ.เอง คุยกับตำรวจเอง พ่อเรานั่งอยู่บ้าน กินเหล้า เราเลยคิดว่าเป็นห่วงเราบ้างไหม เราเคยถามว่าทำไมไม่ไปดูบ้าง พ่อเราบอกว่า เราเก่งแล้ว ดูแลตัวเองได้ เราทำได้แค่พูดติดตลกไป ยิ้มไป ว่าเออใช่แหละหนูเก่งอยู่แล้ว จัดการเองได้ตลอดแหละ แต่ในใจคือเศร้ามาก คือมันมีปัญหาในใจเราเยอะเลยอะ แต่ก็กลัวไม่กล้าไปหาจิตแพทย์ กลัวพ่อแม่แล้วก็คนรอบตัวมองว่าอ่อนแอ มองว่าเป็นบ้า โดยเฉพาะพ่อเรา
ขอโทษพี่พิมพ์ยาว และพิมพ์งงๆนะคะ