.
ความรักที่ไม่ต้องคอยระแวง
ไม่ต้องคอยสงสัย
มันเป็นความรักที่ดีที่สุดในชีวิตแล้ว...
“ห้ามถอดนะคะรู้มั้ย เราจะสวมมันไว้ด้วยกัน” เมธีหมายถึงแหวนที่ซื้อมาวันนี้ทั้งสองวง พร้อมชูนิ้วนางข้างซ้ายของตนเองขึ้นมาต่อหน้าของพรนภา และก็พูดขึ้นต่อหน้าของเธอ
เขาและเธอต่างสวมแหวนเพชรที่นิ้วนางทั้ง ทั้งสองคนจะไม่มีวันถอดแหวนนี้ ยกเว้นวันหนึ่งที่ไปกันไม่ได้ ก็คงไม่มีวันนั้น เรื่องอะไรที่ทำให้อีกคนไม่สบายใจ พวกเธอจะไม่ทำเด็ดขาด ให้เกียรติซึ่งกันและกันเสมอมา เมื่อกลางวันนอกจากซื้อให้เธอแล้ว ยังซื้อให้ตัวเองด้วย เป็นสัญญาใจซึ่งกันและกัน จะมีกันและกันตลอดไป
พรนภายิ้มพยักหน้าเป็นคำตอบ “ค่ะพี่เมธี นภาจะไม่ถอดมันเด็ดขาด นภารักพี่เมธีมากนะคะ”
ภายในคอนโดมิเนียมของเมธี พวกเธอกลับมาถึงกันแล้ว จากที่ออกไปเที่ยวเตร่มาทั้งวัน วันนี้มันมีความสุขมาก ๆ มากกว่าเช่นทุกครั้งที่ออกไปข้างนอก มันมีความหมาย มันพิเศษกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา มันตื้นตันจนเธอไม่สามารถอธิบายความรู้สึกออกมาเป็นคำพูดได้ ต้องขอบคุณเมธีมาก ๆ ที่รักเธอ และขอบคุณอะไรก็ตามที่นำพาเธอมาพบกับเขา
ยังนึกเสียใจที่ทำไมพรหมลิขิตต้องให้เธอไปเจอคนอื่นก่อนที่จะเจอเมธีด้วย ไม่อย่างนั้นเธอคงจะไม่เป็นคนมีตำหนิ แต่เมธีก็รักในความเป็นเธอ ไม่ว่าเธอจะผ่านอะไรมาก็ตาม เขาเองก็ไม่ได้ดีร้อยเปอร์เซ็นต์อะไรเช่นกัน
พวกเธอนั่งคุยกันที่โซฟา นอกจากแหวนเพชรแล้วพรนภาก็ไม่ได้ซื้ออะไรเลย สิ่งของที่อยากได้เลือนหายลืมไปหมด เพราะกำลังอึ้งกับสิ่งที่เมธีทำให้เธอในวันนี้
“เด็กน้อยของพี่เอ้ย” เมธียกมือขึ้นมาวางบนศีรษะของเธอ เขาชอบทำแบบนี้กับเธอบ่อย ๆ ทั้งรักทั้งเอ็นดูอยู่ในความรู้สึกเดียวกัน “วันนี้ไม่ออกกำลังกายเหรอคะ อือ... วันนี้ทำอะไรทานดีนะ”
“พี่เมธี! ทำไมชอบแกล้งนภาจังฮะ ฮ่วย! คนจะลดหุ่นก็ชอบทำนู่นทำนี่อยู่ได้ ขอสปาเก็ตตี้ขี้เมาไก่ด้วย” แล้วเธอก็หัวเราะให้กับเขา เธอชอบทานมาก ชอบซื้อที่ร้านสะดวกซื้อทานเสมอ ทว่ามันก็ไม่อร่อยเท่าเมธีทำให้ทาน
“ขอเผ็ดนิดนึงนะคะ ไม่คุยกับพี่เมธีแล้ว นภาไปออกกำลังกายดีกว่า พรมของนภาอยู่ไหน พี่เมธีเอาไปซ่อนใช่มั้ย!” เธอมองค้อนเขาแบบตลก ๆ เธอเป็นคนเก็บเองนั่นแหละ แล้วก็หาไม่เจอเอง
“จะบ้าเหรอ! ฮา” เมธีอุทานออกมาอย่างเร็ว “หนูเอาไว้ที่ไหน นั่นไงอยู่วางอยู่ตรงชั้นวางรองเท้าอ่ะ ไปและพี่เข้าครัวดีกว่า” เมธีชี้มือไปที่ชั้นวางรองเท้า พรมสีชมพูของเธอวางอยู่ตรงนั้น ทำไมถึงหามองไม่เห็นก็ไม่รู้
“พี่เมธีวันหลังให้นภาเข้าครัวนะ นภาจะโชว์ฝีมือให้พี่เมธีทานเอง”
“จะดีเหรอคะ” เมธีหัวเราะ ปรายตามองเธอ ไม่อยากให้เธอเข้าครัวเลย เพราะเข้าครัวทีไรอุปกรณ์เป็นต้องกระจัดกระจายทุกที ไม่ใช่เพราะทำไม่อร่อย เพราะอยากกระชับเวลาในการเก็บกวาดทำความสะอาดมากกว่า
เขาชอบทำอาหารอยู่แล้ว จึงขอเป็นฝ่ายทำให้เธอทานเองเป็นประจำทุกวัน อีกอย่างเพราะเธอคือหัวใจของเขาด้วย จึงอยากทำให้เธอมีความสุขที่สุด เท่าที่จะทำได้ อะไรที่ทำให้เธอได้เขาก็พร้อมที่จะทำ
“พี่เมธี! ออกกำลังกายแล้ว” พรนภาหน้าบึ้งให้กับเขา ก่อนจะเลิกสนใจและหันมาออกกำลังกายตามยูทูป ส่วนเมธีก็เข้าครัวทำกับข้าวไป
พรนภาออกกำลังกายเสร็จพร้อมอาบน้ำชำระร่างกายเรียบร้อย เมธีก็ยกกับข้าวมาเสิร์ฟพอดี สปาเก็ตตี้ไก่ของเธอ และกับข้าวอีกสองเมนู ถึงจะทานข้าวมื้อเย็น เธอก็ไม่ได้ทานเยอะอะไร ส่วนมากจะเป็นเมธีจัดการทั้งหมดเอง
ที่โต๊ะกับข้าวในครัว พวกเธอนั่งทานข้าว ดูโทรศัพท์ไปด้วย คุยกันไปด้วยมีความสุขที่สุด ภายในคอนโดที่ไม่หรูหรามาก มันก็มีความสุขจนล้น
“พี่เมธีกลับบ้านอ่ะ ไปส่งนภาที่บ้านก่อนนะ นภาไม่อยากไปบ้านพี่เมธี อาย” เธอวางช้อนลงบนจาน มองหน้าเขาและพูดจุดประสงค์ของตนเองก่อนเลย อีกไม่กี่วันพวกเธอก็จะกลับเทศกาลปีใหม่กันแล้ว
“ไม่แวะนอนสักคืนเหรอคะ”
“ไม่! แต่พีเมธีไปส่งนภาแล้วก็ต้องนอนค้างที่บ้านนภาด้วย แต่ว่านภาไม่ค้างบ้านพี่เมธีนะ ไม่ไปบ้านพี่เมธีด้วย” เธอรู้สึกแบบนั้นจริง ๆ ไม่อยากไปทำความรู้จักกับใครเลย อีกอย่างเป็นเพราะช่วงอายุวัยของพวกเธอทั้งสองคนด้วย ที่มันห่างกันเกินไป ครอบครัวของเมธีและคนรอบข้างจะคิดอย่างไร แม้จะเคยเจอมาแล้วก็ตาม
“เอ๋า ไม่อยากไปบ้านพี่เหรอ รังเกียจครอบครัวพี่เหรอคะ “
“เปล่า! นภาแค่ แค่อาย อายทุกคนเลยอายพี่สาวพี่ชายอายทุก ๆ คนที่บ้านพี่น่ะ” แล้วเธอก็ฉีกยิ้มให้กับเขา ไม่อยากให้เป็นการซีเรียสมากเกินไป หากอยากให้เธอไปเธอก็จะไป เพราะเธอรู้สึกแบบนั้นจริง ๆ นี่นา ไม่กล้าไป กลัว! กลัวไปหมดซะทุกอย่าง
“จะอายทำไมคะ เคยไปแล้วนา ยังไม่ชินอีกเหรอ พ่อแม่พี่ใจดีจะตาย อีกอย่างพี่สาวพี่ชายพี่เค้าก็อยู่บ้านเค้าดิ เค้าไม่มานอนค้างด้วยหรอก”
“ขอคิดดูก่อนค่ะ” แล้วเธอก็ทานข้าวต่อไป เล่นโทรศัพท์มือถือไปด้วย เธอจะต้องหาทางปฏิเสธให้ได้คอยดู
เมื่อทานข้าวเสร็จ เมธีขอจัดการสะสางงานต่ออีกหน่อย เป็นอีกวันที่เอางานมาทำที่บ้าน ถึงอย่างไรก็มีเวลาให้เธอ ไม่สนใจงานจนลืมเธอ “พี่ขอทำงานอีกแป๊บนึงแล้วพี่จะมอบความสุขให้นะคะ” พร้อมหัวเราะเยาะ สายตามองมาแบบมีเลศนัย
“พี่เมธีอ่ะ! พูดอะไรก็ไม่รู้” ดุเขาไปที ชอบพูดทะลึ่งอยู่เรื่อย เมธีนำคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊กขึ้นมาทำงานบนเตียงนอน ส่วนเธอเองนอนลงข้าง ๆ เขา เป็นแบบนี้อยู่เสมอ
“อยากแต่งงานอีกมั้ยคะ” อยู่ ๆ เมธีก็พูดขึ้น พวกเธอเคยผ่านการแต่งงานมาแล้วครั้งหนึ่ง ถ้าจะแต่งรอบสองมันก็รู้สึกแปลก ๆ ใจจริงเธอก็ไม่ได้อยากจะแต่งอยู่แล้ว อยากอยู่กันแบบนี้มากกว่า ไม่ต้องหวือหวา เพราะการแต่งงานมันไม่เซอร์ไพรส์และสำคัญแล้ว แต่ไม่กล้าพูด วันนี้ถือว่าโชคดีมากที่เมธีพูดขึ้นมาก่อน
“พี่เมธีว่าไงคะ อยากมั้ย” เธออยากตอบว่าไม่อยากมาก ๆ แต่ก็พูดดูเชิงก่อน กลัวว่าหากพูดไปตรง ๆ เขาจะเสียใจหรือเปล่า เขารักเธอมากแค่ไหนเธอรู้ดีและสัมผัสได้ถึงความรักของเขาที่มีให้กับเธอ
เมธียิ้ม ทำไมเขาจะไม่รู้ดูไม่ออกความในใจของเธอ เพราะเขารักและใส่เธอเสมอมาอย่างไรล่ะ ถึงได้รู้ความในใจของเธอ ว่าเธอไม่อยากแต่งงาน ไม่ใช่ว่าไม่รักกัน เขารู้และสัมผัสได้ว่าเธอรักเขาจากใจ จริงใจแค่ไหน
มันเป็นเรื่องของความลำบากใจที่จะแต่งงานมากกว่า เพราะเธอและเขาเคยผ่านการแต่งงานมาแล้ว จึงได้ถามเพื่อความสมัครใจ หากเธอไม่ต้องการก็จะไม่บังคับ อยู่กันไปแบบนี้ก็ได้ เขาเตรียมทางออกอีกทางไว้แล้ว อยากให้ความมั่นใจแก่เธอมากกว่านี้ อยากเป็นสามีภรรยากันถูกต้องตามกฎหมายและประเพณี
“แล้วแต่น้องนภาเลยค่ะ พี่ยังไงก็ได้ ไม่แต่งก็ได้ เราอยู่กันแบบนี้ก็ได้เนอะ” เขาตอบเธอ วางมือจากคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊กมาลูบผมของเธอที่นอนอยู่ข้าง ๆ “เราไม่ต้องแต่งงานกันก็ได้นี่ค่ะ พี่อยากพาพ่อแม่ไปทานข้าวที่บ้านหนูได้มั้ย น้องนภามาอยู่กับพี่แล้วนะคะ ผู้ใหญ่ควรได้รับรู้ หนูมีเกียรติกับพี่กับครอบครัวพี่นะ”
พรนภาลุกขึ้นนั่งมองหน้าเขา ใช่เธอไม่อยากแต่งงาน เพราะเธอเคยผ่านการแต่งงานมาแล้ว ไม่อยากจะแต่งอีก ถึงจะคนละคนก็ตาม เธออยากอยู่กับเมธีเงียบ ๆ ไม่อยากเอิกเกริก แต่ทางออกที่เมธีเสนอให้ก็ไม่เลว
“ก็ได้ค่ะพี่เมธี “ แล้วเธอก็นอนลงข้าง ๆ เขาเหมือนเดิม “ขอบคุณพี่เมธีที่เข้าใจนภานะคะ”
“หลังปีใหม่เราต้องจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อยนะคะ กลับมาจากบ้านเราไปอำเภอกัน” เมธีพูด
“ไปทำไมอ่ะ” เธอแกล้งถามไปอย่างนั้นเอง เมธีหัวเราะกับความแกล้งไร้เดียงสาของเธอ
“คนเค้าไปอำเภอ เค้าต้องไปทำอะไรเหรอคะ “
“ไปถ่ายบัตรประชาชน ฮา “ เธอจำกร๊ากออกมาทันทีทั้งที่นอนอยู่ เมธีหมั่นเขี้ยววางคอมไว้ก้มลงเอาหน้ามามุดหน้าของเธอ แกล้งเธออีกแล้ว
ได้อยู่ใกล้ ๆ ได้ใช้ชีวิตร่วมกันกับเขามันมีความสุขมาก ๆ แม้อายุอานามจะห่างกันราวพ่อกับลูก ก็ไม่เป็นปัญหากับชีวิตคู่ของเธอเลย เธอชอบคนเอาใจ ตามใจ เมธีทำให้ไม่เคยขาดตกบกพร่อง แล้วเธอก็เผลอหลับข้าง ๆ เขาทุกคืน เมธีต้องปลุกให้ตื่นเปลี่ยนมุมนอนดี ๆ เสมอ เนื่องจากเธอนอนไม่เป็นที่นั่นเอง...
แม้รู้ว่าเป็นได้เพียงแค่ฝัน เธอก็เต็มใจที่จะฝัน ฝันที่ดีที่สุด จินตนาการที่มีความสุขที่สุด ขอแค่ได้ฝันฉันก็มีความสุข เมธีคนในฝัน เมธีคนในจินตนาการ
จบบท...
สวัสดีนักอ่านทุกท่านค่ะ ฝันหวานอาจจะมาอีก 1 บทก่อนหยุดยาว หรืออาจไม่มาก็ขอดูก่อนนะคะ และเจอกันอีกครั้งหลังวันที่ 6 เป็นต้นไปน๊า 😍💝🤍 ใครเคยมีคนที่เป็นไปไม่ได้มั้ยคะ คนในจินตนาการเนอะ 55555 เขาเป็นความจริงไม่ได้ก็เอาเขาไปไว้ในจินตนาการก็แล้วกัน ไม่ผิดค่ะ!
ฝันหวาน (sweet dream) 13
.
ความรักที่ไม่ต้องคอยระแวง
ไม่ต้องคอยสงสัย
มันเป็นความรักที่ดีที่สุดในชีวิตแล้ว...
“ห้ามถอดนะคะรู้มั้ย เราจะสวมมันไว้ด้วยกัน” เมธีหมายถึงแหวนที่ซื้อมาวันนี้ทั้งสองวง พร้อมชูนิ้วนางข้างซ้ายของตนเองขึ้นมาต่อหน้าของพรนภา และก็พูดขึ้นต่อหน้าของเธอ
เขาและเธอต่างสวมแหวนเพชรที่นิ้วนางทั้ง ทั้งสองคนจะไม่มีวันถอดแหวนนี้ ยกเว้นวันหนึ่งที่ไปกันไม่ได้ ก็คงไม่มีวันนั้น เรื่องอะไรที่ทำให้อีกคนไม่สบายใจ พวกเธอจะไม่ทำเด็ดขาด ให้เกียรติซึ่งกันและกันเสมอมา เมื่อกลางวันนอกจากซื้อให้เธอแล้ว ยังซื้อให้ตัวเองด้วย เป็นสัญญาใจซึ่งกันและกัน จะมีกันและกันตลอดไป
พรนภายิ้มพยักหน้าเป็นคำตอบ “ค่ะพี่เมธี นภาจะไม่ถอดมันเด็ดขาด นภารักพี่เมธีมากนะคะ”
ภายในคอนโดมิเนียมของเมธี พวกเธอกลับมาถึงกันแล้ว จากที่ออกไปเที่ยวเตร่มาทั้งวัน วันนี้มันมีความสุขมาก ๆ มากกว่าเช่นทุกครั้งที่ออกไปข้างนอก มันมีความหมาย มันพิเศษกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา มันตื้นตันจนเธอไม่สามารถอธิบายความรู้สึกออกมาเป็นคำพูดได้ ต้องขอบคุณเมธีมาก ๆ ที่รักเธอ และขอบคุณอะไรก็ตามที่นำพาเธอมาพบกับเขา
ยังนึกเสียใจที่ทำไมพรหมลิขิตต้องให้เธอไปเจอคนอื่นก่อนที่จะเจอเมธีด้วย ไม่อย่างนั้นเธอคงจะไม่เป็นคนมีตำหนิ แต่เมธีก็รักในความเป็นเธอ ไม่ว่าเธอจะผ่านอะไรมาก็ตาม เขาเองก็ไม่ได้ดีร้อยเปอร์เซ็นต์อะไรเช่นกัน
พวกเธอนั่งคุยกันที่โซฟา นอกจากแหวนเพชรแล้วพรนภาก็ไม่ได้ซื้ออะไรเลย สิ่งของที่อยากได้เลือนหายลืมไปหมด เพราะกำลังอึ้งกับสิ่งที่เมธีทำให้เธอในวันนี้
“เด็กน้อยของพี่เอ้ย” เมธียกมือขึ้นมาวางบนศีรษะของเธอ เขาชอบทำแบบนี้กับเธอบ่อย ๆ ทั้งรักทั้งเอ็นดูอยู่ในความรู้สึกเดียวกัน “วันนี้ไม่ออกกำลังกายเหรอคะ อือ... วันนี้ทำอะไรทานดีนะ”
“พี่เมธี! ทำไมชอบแกล้งนภาจังฮะ ฮ่วย! คนจะลดหุ่นก็ชอบทำนู่นทำนี่อยู่ได้ ขอสปาเก็ตตี้ขี้เมาไก่ด้วย” แล้วเธอก็หัวเราะให้กับเขา เธอชอบทานมาก ชอบซื้อที่ร้านสะดวกซื้อทานเสมอ ทว่ามันก็ไม่อร่อยเท่าเมธีทำให้ทาน
“ขอเผ็ดนิดนึงนะคะ ไม่คุยกับพี่เมธีแล้ว นภาไปออกกำลังกายดีกว่า พรมของนภาอยู่ไหน พี่เมธีเอาไปซ่อนใช่มั้ย!” เธอมองค้อนเขาแบบตลก ๆ เธอเป็นคนเก็บเองนั่นแหละ แล้วก็หาไม่เจอเอง
“จะบ้าเหรอ! ฮา” เมธีอุทานออกมาอย่างเร็ว “หนูเอาไว้ที่ไหน นั่นไงอยู่วางอยู่ตรงชั้นวางรองเท้าอ่ะ ไปและพี่เข้าครัวดีกว่า” เมธีชี้มือไปที่ชั้นวางรองเท้า พรมสีชมพูของเธอวางอยู่ตรงนั้น ทำไมถึงหามองไม่เห็นก็ไม่รู้
“พี่เมธีวันหลังให้นภาเข้าครัวนะ นภาจะโชว์ฝีมือให้พี่เมธีทานเอง”
“จะดีเหรอคะ” เมธีหัวเราะ ปรายตามองเธอ ไม่อยากให้เธอเข้าครัวเลย เพราะเข้าครัวทีไรอุปกรณ์เป็นต้องกระจัดกระจายทุกที ไม่ใช่เพราะทำไม่อร่อย เพราะอยากกระชับเวลาในการเก็บกวาดทำความสะอาดมากกว่า
เขาชอบทำอาหารอยู่แล้ว จึงขอเป็นฝ่ายทำให้เธอทานเองเป็นประจำทุกวัน อีกอย่างเพราะเธอคือหัวใจของเขาด้วย จึงอยากทำให้เธอมีความสุขที่สุด เท่าที่จะทำได้ อะไรที่ทำให้เธอได้เขาก็พร้อมที่จะทำ
“พี่เมธี! ออกกำลังกายแล้ว” พรนภาหน้าบึ้งให้กับเขา ก่อนจะเลิกสนใจและหันมาออกกำลังกายตามยูทูป ส่วนเมธีก็เข้าครัวทำกับข้าวไป
พรนภาออกกำลังกายเสร็จพร้อมอาบน้ำชำระร่างกายเรียบร้อย เมธีก็ยกกับข้าวมาเสิร์ฟพอดี สปาเก็ตตี้ไก่ของเธอ และกับข้าวอีกสองเมนู ถึงจะทานข้าวมื้อเย็น เธอก็ไม่ได้ทานเยอะอะไร ส่วนมากจะเป็นเมธีจัดการทั้งหมดเอง
ที่โต๊ะกับข้าวในครัว พวกเธอนั่งทานข้าว ดูโทรศัพท์ไปด้วย คุยกันไปด้วยมีความสุขที่สุด ภายในคอนโดที่ไม่หรูหรามาก มันก็มีความสุขจนล้น
“พี่เมธีกลับบ้านอ่ะ ไปส่งนภาที่บ้านก่อนนะ นภาไม่อยากไปบ้านพี่เมธี อาย” เธอวางช้อนลงบนจาน มองหน้าเขาและพูดจุดประสงค์ของตนเองก่อนเลย อีกไม่กี่วันพวกเธอก็จะกลับเทศกาลปีใหม่กันแล้ว
“ไม่แวะนอนสักคืนเหรอคะ”
“ไม่! แต่พีเมธีไปส่งนภาแล้วก็ต้องนอนค้างที่บ้านนภาด้วย แต่ว่านภาไม่ค้างบ้านพี่เมธีนะ ไม่ไปบ้านพี่เมธีด้วย” เธอรู้สึกแบบนั้นจริง ๆ ไม่อยากไปทำความรู้จักกับใครเลย อีกอย่างเป็นเพราะช่วงอายุวัยของพวกเธอทั้งสองคนด้วย ที่มันห่างกันเกินไป ครอบครัวของเมธีและคนรอบข้างจะคิดอย่างไร แม้จะเคยเจอมาแล้วก็ตาม
“เอ๋า ไม่อยากไปบ้านพี่เหรอ รังเกียจครอบครัวพี่เหรอคะ “
“เปล่า! นภาแค่ แค่อาย อายทุกคนเลยอายพี่สาวพี่ชายอายทุก ๆ คนที่บ้านพี่น่ะ” แล้วเธอก็ฉีกยิ้มให้กับเขา ไม่อยากให้เป็นการซีเรียสมากเกินไป หากอยากให้เธอไปเธอก็จะไป เพราะเธอรู้สึกแบบนั้นจริง ๆ นี่นา ไม่กล้าไป กลัว! กลัวไปหมดซะทุกอย่าง
“จะอายทำไมคะ เคยไปแล้วนา ยังไม่ชินอีกเหรอ พ่อแม่พี่ใจดีจะตาย อีกอย่างพี่สาวพี่ชายพี่เค้าก็อยู่บ้านเค้าดิ เค้าไม่มานอนค้างด้วยหรอก”
“ขอคิดดูก่อนค่ะ” แล้วเธอก็ทานข้าวต่อไป เล่นโทรศัพท์มือถือไปด้วย เธอจะต้องหาทางปฏิเสธให้ได้คอยดู
เมื่อทานข้าวเสร็จ เมธีขอจัดการสะสางงานต่ออีกหน่อย เป็นอีกวันที่เอางานมาทำที่บ้าน ถึงอย่างไรก็มีเวลาให้เธอ ไม่สนใจงานจนลืมเธอ “พี่ขอทำงานอีกแป๊บนึงแล้วพี่จะมอบความสุขให้นะคะ” พร้อมหัวเราะเยาะ สายตามองมาแบบมีเลศนัย
“พี่เมธีอ่ะ! พูดอะไรก็ไม่รู้” ดุเขาไปที ชอบพูดทะลึ่งอยู่เรื่อย เมธีนำคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊กขึ้นมาทำงานบนเตียงนอน ส่วนเธอเองนอนลงข้าง ๆ เขา เป็นแบบนี้อยู่เสมอ
“อยากแต่งงานอีกมั้ยคะ” อยู่ ๆ เมธีก็พูดขึ้น พวกเธอเคยผ่านการแต่งงานมาแล้วครั้งหนึ่ง ถ้าจะแต่งรอบสองมันก็รู้สึกแปลก ๆ ใจจริงเธอก็ไม่ได้อยากจะแต่งอยู่แล้ว อยากอยู่กันแบบนี้มากกว่า ไม่ต้องหวือหวา เพราะการแต่งงานมันไม่เซอร์ไพรส์และสำคัญแล้ว แต่ไม่กล้าพูด วันนี้ถือว่าโชคดีมากที่เมธีพูดขึ้นมาก่อน
“พี่เมธีว่าไงคะ อยากมั้ย” เธออยากตอบว่าไม่อยากมาก ๆ แต่ก็พูดดูเชิงก่อน กลัวว่าหากพูดไปตรง ๆ เขาจะเสียใจหรือเปล่า เขารักเธอมากแค่ไหนเธอรู้ดีและสัมผัสได้ถึงความรักของเขาที่มีให้กับเธอ
เมธียิ้ม ทำไมเขาจะไม่รู้ดูไม่ออกความในใจของเธอ เพราะเขารักและใส่เธอเสมอมาอย่างไรล่ะ ถึงได้รู้ความในใจของเธอ ว่าเธอไม่อยากแต่งงาน ไม่ใช่ว่าไม่รักกัน เขารู้และสัมผัสได้ว่าเธอรักเขาจากใจ จริงใจแค่ไหน
มันเป็นเรื่องของความลำบากใจที่จะแต่งงานมากกว่า เพราะเธอและเขาเคยผ่านการแต่งงานมาแล้ว จึงได้ถามเพื่อความสมัครใจ หากเธอไม่ต้องการก็จะไม่บังคับ อยู่กันไปแบบนี้ก็ได้ เขาเตรียมทางออกอีกทางไว้แล้ว อยากให้ความมั่นใจแก่เธอมากกว่านี้ อยากเป็นสามีภรรยากันถูกต้องตามกฎหมายและประเพณี
“แล้วแต่น้องนภาเลยค่ะ พี่ยังไงก็ได้ ไม่แต่งก็ได้ เราอยู่กันแบบนี้ก็ได้เนอะ” เขาตอบเธอ วางมือจากคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊กมาลูบผมของเธอที่นอนอยู่ข้าง ๆ “เราไม่ต้องแต่งงานกันก็ได้นี่ค่ะ พี่อยากพาพ่อแม่ไปทานข้าวที่บ้านหนูได้มั้ย น้องนภามาอยู่กับพี่แล้วนะคะ ผู้ใหญ่ควรได้รับรู้ หนูมีเกียรติกับพี่กับครอบครัวพี่นะ”
พรนภาลุกขึ้นนั่งมองหน้าเขา ใช่เธอไม่อยากแต่งงาน เพราะเธอเคยผ่านการแต่งงานมาแล้ว ไม่อยากจะแต่งอีก ถึงจะคนละคนก็ตาม เธออยากอยู่กับเมธีเงียบ ๆ ไม่อยากเอิกเกริก แต่ทางออกที่เมธีเสนอให้ก็ไม่เลว
“ก็ได้ค่ะพี่เมธี “ แล้วเธอก็นอนลงข้าง ๆ เขาเหมือนเดิม “ขอบคุณพี่เมธีที่เข้าใจนภานะคะ”
“หลังปีใหม่เราต้องจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อยนะคะ กลับมาจากบ้านเราไปอำเภอกัน” เมธีพูด
“ไปทำไมอ่ะ” เธอแกล้งถามไปอย่างนั้นเอง เมธีหัวเราะกับความแกล้งไร้เดียงสาของเธอ
“คนเค้าไปอำเภอ เค้าต้องไปทำอะไรเหรอคะ “
“ไปถ่ายบัตรประชาชน ฮา “ เธอจำกร๊ากออกมาทันทีทั้งที่นอนอยู่ เมธีหมั่นเขี้ยววางคอมไว้ก้มลงเอาหน้ามามุดหน้าของเธอ แกล้งเธออีกแล้ว
ได้อยู่ใกล้ ๆ ได้ใช้ชีวิตร่วมกันกับเขามันมีความสุขมาก ๆ แม้อายุอานามจะห่างกันราวพ่อกับลูก ก็ไม่เป็นปัญหากับชีวิตคู่ของเธอเลย เธอชอบคนเอาใจ ตามใจ เมธีทำให้ไม่เคยขาดตกบกพร่อง แล้วเธอก็เผลอหลับข้าง ๆ เขาทุกคืน เมธีต้องปลุกให้ตื่นเปลี่ยนมุมนอนดี ๆ เสมอ เนื่องจากเธอนอนไม่เป็นที่นั่นเอง...
แม้รู้ว่าเป็นได้เพียงแค่ฝัน เธอก็เต็มใจที่จะฝัน ฝันที่ดีที่สุด จินตนาการที่มีความสุขที่สุด ขอแค่ได้ฝันฉันก็มีความสุข เมธีคนในฝัน เมธีคนในจินตนาการ
จบบท...
สวัสดีนักอ่านทุกท่านค่ะ ฝันหวานอาจจะมาอีก 1 บทก่อนหยุดยาว หรืออาจไม่มาก็ขอดูก่อนนะคะ และเจอกันอีกครั้งหลังวันที่ 6 เป็นต้นไปน๊า 😍💝🤍 ใครเคยมีคนที่เป็นไปไม่ได้มั้ยคะ คนในจินตนาการเนอะ 55555 เขาเป็นความจริงไม่ได้ก็เอาเขาไปไว้ในจินตนาการก็แล้วกัน ไม่ผิดค่ะ!