วันนี้ก็เป็นวันรับซองโบนัส ซึ่งปรกติแล้วจะเป็นทางผู้บริหาร/ผู้จัดการ/หัวหน้างาน มอบซองและก็พูดประเมินผลงานให้แก่พนักงาน
ผมเองก็มีหลายบริษัทชวนไปเป็นผู้จัดการแต่ทางผมก็ปฏิเสธไปเนื่องจากต้องเดินทางเยอะขึ้นและอยากมีเวลาเลี้ยงลูกที่ยังเล็ก
เทียบกับเงินเดือนที่เพิ่มและความที่ต้องมีเวลาให้ครอบครัวจะน้อยลงไปอย่างมาก (ผมอายุ 31ปี แต่บริษัทที่ชวนไปส่วนใหญ่จะเป็นลูกศิษย์ผมและหนังสือเรียนเฉพาะทางด้านพลังงานซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นบริษัทของ supplier)
สิ่งที่เจ้านาย พอใจมาก
1.ทำงานขยัน และผลงานถือว่าเกินคาดหวัง บอกให้ทำ 100 จะได้ 500 และนายใหญ่ชมตลอดทุก ๆครั้งที่คุยด้วยกันด้วยlogicและแนวคิดที่คล้ายๆกัน รวมไปถึงนายหลายๆคนที่ผมเคยทำงานด้วยก็มีเสียงตอบรับที่ดีในด้านความมุ่งมั่นและผลลัพธ์ในการทำงานของผมและเนื่องจากเป็นสายงานบริหารโครงการภายในบริษัท จึงทำให้มีผลงานที่สามารถแตะต้องได้
สิ่งที่เจ้านายแนะนำ จุดปรับปรุงและอยากให้ศึกษาเพิ่ม
1.นายหลายคนตามผมไม่ค่อยทัน มุมมองการทำงานผมค่อนข้างล้ำยุคและคาดไม่ถึงตลอด และผมค่อนข้างแม่นในเรื่องวิชาการ, ทฤษฎีมาก ทำให้บางครั้งการ Present งาน ผมเล่าเรื่องเร็วไปจนนายๆหลายๆคนตามไม่ทันและหลุดประเด็น/สื่อสารผิด จนเป็นประเด็นใหญ่หลายครั้งและต้องมาอธิบายทีหลัง และผมก็ชอบหงุดหงิดเวลามีคนตามผมไม่ทันเหมือนดุนักเรียนด้วย
2.การบริหารคน เนื่องจากผมมีลูกน้องแค่เพียงคนเดียวซึ่งเป็นวิศวกรจบใหม่ ซึ่งมาแทนพี่อีกคนที่เป็นวิศวกรย้ายไปทำงานอีกตำแหน่ง เท่ากับว่าตอนนี้ถ้าใหญ่สุดในหน่วยงานก็คือผม นายใหญ่และเจ้านายโดยตรง ก็ถามเรื่องหาพนักงานมาช่วยผมหลายครั้ง แต่ส่วนใหญ่จะเป็นลักษณะคนในบริษัทที่อยู่มานานแล้วแต่ไม่โต อยากจะหมุนคนมา เพราะแกไม่อยากรับเด็กจบใหม่ในช่วงเวลา covid แบบนี้ อยากใช้ทรัพยากรบุคคลให้คุ้มที่สุด ซึ่งผมปฏิเสธทุกครั้ง เนื่องจากไม่อยากมีลูกน้องแก่กว่าเพราะกลัวสอนงานยาก แน่นอนว่าการทำแบบนี้ทำให้ work load ผมสูงมาก จนเครียด คุณภาพงานไม่ได้ กรณี Project ใหญ่มูลค่าสูงระดับพันล้าน ซึ่งต้องใช้คนเป็นสิบๆคนในการทำ แต่ผมก็แก้โดยการใช้เทคโนโลยีที่ผมพัฒนาขึ้นเอง ก็สามารถแบ่งเบาภาระลงเยอะ และทำให้งานได้ทั้งคุณภาพและเวลาดีกว่าแบบเหนือความคาดหมาย และแน่นอนเหตุผลนี้ก็สามารถ defence ข้อเสนอในการรับลูกน้องได้ แถมยังแซวแกว่าพี่ดูงานผมมันไม่ใช่งานประจำที่ต้องทำตาม WI เลยนะ มันพลิกไปมาและพัฒนาตลอด กลัวจะสติแตกก่อน ถ้ามาทำงานกับผม ถ้าอะไรที่มันต้องทำประจำผมหนีไปทำ AI , Robot มาช่วยผมดีกว่าเพราะผมถนัด และก็กลายเป็นว่าแกต้องไปหาน้องวิศวกรใหม่เพื่อมาให้ผมปั้น ส่วนเรื่องระบบเทคโนโลยีที่ผมทำแล้วก็เอาไปสอนหน่วยงานอื่นๆ แน่นอนการปฏิเสธรับพนักงานตรงนี้แกบอกว่ามันทำให้ผมมองภาพการบริหารคนไม่เป็น การให้คะแนนพนักงาน การจัดการคนที่เป็นลูกน้อง แม้ว่าผมจะจัดการกับ supplier ได้ดีก็ตามเพราะผมใช้เรื่องการจ่ายเงินบีบ แม้จะคุยกับผู้จัดการ ผู้บริหารได้ทุกคนก็ตาม แต่ไม่เหมือนกับลูกน้องที่ใช้ใจในการบริหารและศิลปะมาก
3.ให้ไปเรียนหลักการทำบัญชี เนื่องจากผมไม่มีความรู้ด้านบัญชีและการใช้งานโปรแกรมสำเร็จรูปอาทิเช่น โปรแกรม SAP เลย แกบอกว่า ผมเก่งในด้านสายงานมาก ถ้าอยู่ในมหาลัยก็คืออาจารย์ นักวิจัย แต่งานบริษัทถ้าอนาคตจะโต คือต้องเป็นผู้จัดการ ผู้บริหารองค์กร ซึ่งแกก็อยากให้ผมเป็นแบบนั้น และเรื่องความรู้ด้านธุรกิจ และบัญชีก็เป็นหัวใจสำคัญในการบริหาร เพราะบริษัทเราไม่ได้มีในเรื่องค่าแรงในสาย special list เพราะมีการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆเสมอบางทีเราอาจจะรู้ลึกด้านนี้ก็จริง แต่ถ้าอนาคตเทรนด์เปลี่ยนเทคโนโลยีเปลี่ยนไปมันก็ไม่มีความหมาย หรือแม้กระทั้งการเป็นอาจารย์มหาลัย การจะโตก็ต้องเป็นคณบดี หรือ อธิการบดี ซึ่งก็หนีไม่พ้นงานบริหารอยู่ดี (แกรู้ว่าผมรับงานเป็นอาจารย์พิเศษหลายมหาลัย ช่วงวันหยุด) การเป็น special list จะทำให้เงินเดือนมันตัน เพราะผังองค์กรคือเยอะกว่านี้ต้องเป็นผู้จัดการเท่านั้น อีกอันน่าจะโดนผู้จัดการฝ่ายบัญชีฟ้องด้วยแหละ เพราะผมชอบไปชนหลักวิศวกรรมซึ่งบางอย่างมันไปขัดหลักมาตรฐานบัญชี คือเอาตรงๆ เค้าก็ถูกนะทำตาม WI , มาตรฐานบัญชีในบริษัท แต่หลักการมันผิด มันมองคนละมุม หลังๆผมเลยไปแนวขอคำแนะนำด้านบัญชีเผื่อเค้าจะได้สนิทมากขึ้น แต่สไตล์การทำงานมันอาจจะไม่เข้ากันด้วยแหละ ของผมคือ สายลุย ชอบเปลี่ยนแปลง disrupt processงาน แต่สไตล์เค้าคือ ทำให้ได้ตามหลักบัญชีซึ่งเป็นลักษณะงานประจำที่เค้าต้องรับผิดชอบหลายหมื่นล้าน
ประเด็นวันนี้: ผมมานั่งคิดถึงโอการการเติบโต โดยปรกติแล้วหน่วยงานแบบผมจะมีระดับผู้จัดการ ซึ่งปรกติจะอายุประมาณ 40+ แต่ของผมว่างมานานเป็น 2ปีละ บริษัทได้มอบหมายให้เบอร์ 2ขององค์กรดูแลหน่วยงานผม และเนื่องจากเป็นหน่วยงานที่ทำงานไม่ค่อยมีปัญหาเพราะส่วนใหญ่จะทำได้ดีกว่าเป้าที่ตั้งไว้เยอะมาก วันนี้ทางผมก็เลยถามเจ้านายว่าอนาคตจะเอายังไงกับหน่วยงานผมมีแววจะยุบไหม แกก็บอกว่ายุบไม่ได้ เพราะงานที่ผมมันเป็นแนว Project ที่เป็นระดับการเปลี่ยนแปลงบริษัท แม้จะเป็น General ตั้งแต่สร้างอาคาร พลังงาน เครื่องจักร นวัตกรรมใหม่ๆ แต่ถ้าขาดไปแล้วให้เอาไปรวมกับหน่วยงานอืนคงทำไม่ได้ บริษัทมันจะหยุดการพัฒนาไปเยอะเลย ผมก็คิดว่าตำแหน่งผู้จัดการ(เบอร์3)ก็รอผมแหละ เพราะมันว่างจริงๆและงานส่วนใหญ่ผมก็จัดการเองได้หมด รอแค่ผมพร้อมและฟ้าเปิดโอกาส ถ้าหากเรียงลำดับแล้วจะเป็น นายใหญ่(เบอร์1) นายผม(เบอร์2) และผู้จัดการส่วน/หน่วยงาน (เบอร์3 = 23 ตำแหน่ง) แม้ว่าตอนเข้าทำงานใหม่ๆที่นี่จะลูกชังแกก็เหอะแต่ตอนนี้กลายเป็นลูกรักของแกและนายใหญ่ไปละ (นิสัยผมไม่ค่อยชอบเลีย ถูกก็ถูก ผิดก็ผิด ทุกอย่างวัดตามประสิทธิภาพกการทำงาน) อีกมุมก็มองว่าอนาคตงานมันก็มีแต่โปรเจ็กๆแปลกๆให้ผมได้สนุกทำไปเรื่อยๆด้วย และไม่รู้จะลาออกไปทำไมด้วย ไปที่ใหม่ก็ต้องจูนเคมีกันอีก เงินเดือนปัจจุบันก็ถือว่าสูงกว่าคนอายุเท่ากันในบริษัทเดียวกันแต่ก็ใกล้ๆระดับผู้จัดการ แต่เจ้านายผมแกก็มองว่าด้วยกำลังคน 2คน มันน้อยไปหน่อย อนาคตหากบริษัทอยากขยายทีมเผื่อต้องไปทำให้ลูกค้าด้วยจะทำยังไงผมก็ต้องสร้างทีมและเป็นผู้จัดการเพื่อควบคุมน้องๆอีกที พูดง่ายๆแกก็ไล่ให้ผมไปทำงานบริหารเองถึงจะโตนะ ไม่งั้นแกก็จะดองผมแบบนี้แหละ
ผมเลยมาปรึกษาทางพี่ๆที่เป็นเจ้าของกิจการ/ผู้บริหารองค์กรใหญ่ๆ ว่านอกจากคำแนะนำของเจ้านายผมแล้ว มีคำแนะนำข้ออื่นๆ เพิ่มเติม หรือผมควรจะปรับลดนิสัย ทัศนคติตรงไหนเพิ่มเติม หรือมีคอส/หนังสือเพื่อปูความพร้อมในการเป็นผู้จัดการไหมครับ ผมไปอ่าน Job Description ของผู้จัดการโครงการมันก็ General มากๆ ซึ่งจริงๆที่ผมทำอยู่ละ คือคิดว่าอยากแบบขึ้นเป็นผู้จัดการสักตอนอายุสัก 35 (ลูกเริ่มโตแล้ว) ระหว่างนี้ก็ขอเรียนเรื่องการบริหารคน/การบัญชีรอ และขยายทีมและพัฒนาความสามารถของทีมและเทคโนโลยีในการบริหารงานเพิ่มตามที่แกอยากได้ รวมไปถึง skill ภาษา การสื่อสาร การเข้าหา ผู้ใหญ่ พวกราชการ นักการเมืองด้วย เพราะปฏิเสธไม่ได้ว่ามันมีผลต่อการทำงานหรือธุรกิจจริงๆในประเทศไทย
ขอบคุณที่ให้คำแนะนำครับ
อยากขอคำแนะนำเพื่อเตรียมตัวจะเป็นผู้จัดการในบริษัทใหญ่ๆต้องเตรียมพร้อมอะไรบ้างครับ
ผมเองก็มีหลายบริษัทชวนไปเป็นผู้จัดการแต่ทางผมก็ปฏิเสธไปเนื่องจากต้องเดินทางเยอะขึ้นและอยากมีเวลาเลี้ยงลูกที่ยังเล็ก
เทียบกับเงินเดือนที่เพิ่มและความที่ต้องมีเวลาให้ครอบครัวจะน้อยลงไปอย่างมาก (ผมอายุ 31ปี แต่บริษัทที่ชวนไปส่วนใหญ่จะเป็นลูกศิษย์ผมและหนังสือเรียนเฉพาะทางด้านพลังงานซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นบริษัทของ supplier)
สิ่งที่เจ้านาย พอใจมาก
1.ทำงานขยัน และผลงานถือว่าเกินคาดหวัง บอกให้ทำ 100 จะได้ 500 และนายใหญ่ชมตลอดทุก ๆครั้งที่คุยด้วยกันด้วยlogicและแนวคิดที่คล้ายๆกัน รวมไปถึงนายหลายๆคนที่ผมเคยทำงานด้วยก็มีเสียงตอบรับที่ดีในด้านความมุ่งมั่นและผลลัพธ์ในการทำงานของผมและเนื่องจากเป็นสายงานบริหารโครงการภายในบริษัท จึงทำให้มีผลงานที่สามารถแตะต้องได้
สิ่งที่เจ้านายแนะนำ จุดปรับปรุงและอยากให้ศึกษาเพิ่ม
1.นายหลายคนตามผมไม่ค่อยทัน มุมมองการทำงานผมค่อนข้างล้ำยุคและคาดไม่ถึงตลอด และผมค่อนข้างแม่นในเรื่องวิชาการ, ทฤษฎีมาก ทำให้บางครั้งการ Present งาน ผมเล่าเรื่องเร็วไปจนนายๆหลายๆคนตามไม่ทันและหลุดประเด็น/สื่อสารผิด จนเป็นประเด็นใหญ่หลายครั้งและต้องมาอธิบายทีหลัง และผมก็ชอบหงุดหงิดเวลามีคนตามผมไม่ทันเหมือนดุนักเรียนด้วย
2.การบริหารคน เนื่องจากผมมีลูกน้องแค่เพียงคนเดียวซึ่งเป็นวิศวกรจบใหม่ ซึ่งมาแทนพี่อีกคนที่เป็นวิศวกรย้ายไปทำงานอีกตำแหน่ง เท่ากับว่าตอนนี้ถ้าใหญ่สุดในหน่วยงานก็คือผม นายใหญ่และเจ้านายโดยตรง ก็ถามเรื่องหาพนักงานมาช่วยผมหลายครั้ง แต่ส่วนใหญ่จะเป็นลักษณะคนในบริษัทที่อยู่มานานแล้วแต่ไม่โต อยากจะหมุนคนมา เพราะแกไม่อยากรับเด็กจบใหม่ในช่วงเวลา covid แบบนี้ อยากใช้ทรัพยากรบุคคลให้คุ้มที่สุด ซึ่งผมปฏิเสธทุกครั้ง เนื่องจากไม่อยากมีลูกน้องแก่กว่าเพราะกลัวสอนงานยาก แน่นอนว่าการทำแบบนี้ทำให้ work load ผมสูงมาก จนเครียด คุณภาพงานไม่ได้ กรณี Project ใหญ่มูลค่าสูงระดับพันล้าน ซึ่งต้องใช้คนเป็นสิบๆคนในการทำ แต่ผมก็แก้โดยการใช้เทคโนโลยีที่ผมพัฒนาขึ้นเอง ก็สามารถแบ่งเบาภาระลงเยอะ และทำให้งานได้ทั้งคุณภาพและเวลาดีกว่าแบบเหนือความคาดหมาย และแน่นอนเหตุผลนี้ก็สามารถ defence ข้อเสนอในการรับลูกน้องได้ แถมยังแซวแกว่าพี่ดูงานผมมันไม่ใช่งานประจำที่ต้องทำตาม WI เลยนะ มันพลิกไปมาและพัฒนาตลอด กลัวจะสติแตกก่อน ถ้ามาทำงานกับผม ถ้าอะไรที่มันต้องทำประจำผมหนีไปทำ AI , Robot มาช่วยผมดีกว่าเพราะผมถนัด และก็กลายเป็นว่าแกต้องไปหาน้องวิศวกรใหม่เพื่อมาให้ผมปั้น ส่วนเรื่องระบบเทคโนโลยีที่ผมทำแล้วก็เอาไปสอนหน่วยงานอื่นๆ แน่นอนการปฏิเสธรับพนักงานตรงนี้แกบอกว่ามันทำให้ผมมองภาพการบริหารคนไม่เป็น การให้คะแนนพนักงาน การจัดการคนที่เป็นลูกน้อง แม้ว่าผมจะจัดการกับ supplier ได้ดีก็ตามเพราะผมใช้เรื่องการจ่ายเงินบีบ แม้จะคุยกับผู้จัดการ ผู้บริหารได้ทุกคนก็ตาม แต่ไม่เหมือนกับลูกน้องที่ใช้ใจในการบริหารและศิลปะมาก
3.ให้ไปเรียนหลักการทำบัญชี เนื่องจากผมไม่มีความรู้ด้านบัญชีและการใช้งานโปรแกรมสำเร็จรูปอาทิเช่น โปรแกรม SAP เลย แกบอกว่า ผมเก่งในด้านสายงานมาก ถ้าอยู่ในมหาลัยก็คืออาจารย์ นักวิจัย แต่งานบริษัทถ้าอนาคตจะโต คือต้องเป็นผู้จัดการ ผู้บริหารองค์กร ซึ่งแกก็อยากให้ผมเป็นแบบนั้น และเรื่องความรู้ด้านธุรกิจ และบัญชีก็เป็นหัวใจสำคัญในการบริหาร เพราะบริษัทเราไม่ได้มีในเรื่องค่าแรงในสาย special list เพราะมีการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆเสมอบางทีเราอาจจะรู้ลึกด้านนี้ก็จริง แต่ถ้าอนาคตเทรนด์เปลี่ยนเทคโนโลยีเปลี่ยนไปมันก็ไม่มีความหมาย หรือแม้กระทั้งการเป็นอาจารย์มหาลัย การจะโตก็ต้องเป็นคณบดี หรือ อธิการบดี ซึ่งก็หนีไม่พ้นงานบริหารอยู่ดี (แกรู้ว่าผมรับงานเป็นอาจารย์พิเศษหลายมหาลัย ช่วงวันหยุด) การเป็น special list จะทำให้เงินเดือนมันตัน เพราะผังองค์กรคือเยอะกว่านี้ต้องเป็นผู้จัดการเท่านั้น อีกอันน่าจะโดนผู้จัดการฝ่ายบัญชีฟ้องด้วยแหละ เพราะผมชอบไปชนหลักวิศวกรรมซึ่งบางอย่างมันไปขัดหลักมาตรฐานบัญชี คือเอาตรงๆ เค้าก็ถูกนะทำตาม WI , มาตรฐานบัญชีในบริษัท แต่หลักการมันผิด มันมองคนละมุม หลังๆผมเลยไปแนวขอคำแนะนำด้านบัญชีเผื่อเค้าจะได้สนิทมากขึ้น แต่สไตล์การทำงานมันอาจจะไม่เข้ากันด้วยแหละ ของผมคือ สายลุย ชอบเปลี่ยนแปลง disrupt processงาน แต่สไตล์เค้าคือ ทำให้ได้ตามหลักบัญชีซึ่งเป็นลักษณะงานประจำที่เค้าต้องรับผิดชอบหลายหมื่นล้าน
ประเด็นวันนี้: ผมมานั่งคิดถึงโอการการเติบโต โดยปรกติแล้วหน่วยงานแบบผมจะมีระดับผู้จัดการ ซึ่งปรกติจะอายุประมาณ 40+ แต่ของผมว่างมานานเป็น 2ปีละ บริษัทได้มอบหมายให้เบอร์ 2ขององค์กรดูแลหน่วยงานผม และเนื่องจากเป็นหน่วยงานที่ทำงานไม่ค่อยมีปัญหาเพราะส่วนใหญ่จะทำได้ดีกว่าเป้าที่ตั้งไว้เยอะมาก วันนี้ทางผมก็เลยถามเจ้านายว่าอนาคตจะเอายังไงกับหน่วยงานผมมีแววจะยุบไหม แกก็บอกว่ายุบไม่ได้ เพราะงานที่ผมมันเป็นแนว Project ที่เป็นระดับการเปลี่ยนแปลงบริษัท แม้จะเป็น General ตั้งแต่สร้างอาคาร พลังงาน เครื่องจักร นวัตกรรมใหม่ๆ แต่ถ้าขาดไปแล้วให้เอาไปรวมกับหน่วยงานอืนคงทำไม่ได้ บริษัทมันจะหยุดการพัฒนาไปเยอะเลย ผมก็คิดว่าตำแหน่งผู้จัดการ(เบอร์3)ก็รอผมแหละ เพราะมันว่างจริงๆและงานส่วนใหญ่ผมก็จัดการเองได้หมด รอแค่ผมพร้อมและฟ้าเปิดโอกาส ถ้าหากเรียงลำดับแล้วจะเป็น นายใหญ่(เบอร์1) นายผม(เบอร์2) และผู้จัดการส่วน/หน่วยงาน (เบอร์3 = 23 ตำแหน่ง) แม้ว่าตอนเข้าทำงานใหม่ๆที่นี่จะลูกชังแกก็เหอะแต่ตอนนี้กลายเป็นลูกรักของแกและนายใหญ่ไปละ (นิสัยผมไม่ค่อยชอบเลีย ถูกก็ถูก ผิดก็ผิด ทุกอย่างวัดตามประสิทธิภาพกการทำงาน) อีกมุมก็มองว่าอนาคตงานมันก็มีแต่โปรเจ็กๆแปลกๆให้ผมได้สนุกทำไปเรื่อยๆด้วย และไม่รู้จะลาออกไปทำไมด้วย ไปที่ใหม่ก็ต้องจูนเคมีกันอีก เงินเดือนปัจจุบันก็ถือว่าสูงกว่าคนอายุเท่ากันในบริษัทเดียวกันแต่ก็ใกล้ๆระดับผู้จัดการ แต่เจ้านายผมแกก็มองว่าด้วยกำลังคน 2คน มันน้อยไปหน่อย อนาคตหากบริษัทอยากขยายทีมเผื่อต้องไปทำให้ลูกค้าด้วยจะทำยังไงผมก็ต้องสร้างทีมและเป็นผู้จัดการเพื่อควบคุมน้องๆอีกที พูดง่ายๆแกก็ไล่ให้ผมไปทำงานบริหารเองถึงจะโตนะ ไม่งั้นแกก็จะดองผมแบบนี้แหละ
ผมเลยมาปรึกษาทางพี่ๆที่เป็นเจ้าของกิจการ/ผู้บริหารองค์กรใหญ่ๆ ว่านอกจากคำแนะนำของเจ้านายผมแล้ว มีคำแนะนำข้ออื่นๆ เพิ่มเติม หรือผมควรจะปรับลดนิสัย ทัศนคติตรงไหนเพิ่มเติม หรือมีคอส/หนังสือเพื่อปูความพร้อมในการเป็นผู้จัดการไหมครับ ผมไปอ่าน Job Description ของผู้จัดการโครงการมันก็ General มากๆ ซึ่งจริงๆที่ผมทำอยู่ละ คือคิดว่าอยากแบบขึ้นเป็นผู้จัดการสักตอนอายุสัก 35 (ลูกเริ่มโตแล้ว) ระหว่างนี้ก็ขอเรียนเรื่องการบริหารคน/การบัญชีรอ และขยายทีมและพัฒนาความสามารถของทีมและเทคโนโลยีในการบริหารงานเพิ่มตามที่แกอยากได้ รวมไปถึง skill ภาษา การสื่อสาร การเข้าหา ผู้ใหญ่ พวกราชการ นักการเมืองด้วย เพราะปฏิเสธไม่ได้ว่ามันมีผลต่อการทำงานหรือธุรกิจจริงๆในประเทศไทย
ขอบคุณที่ให้คำแนะนำครับ