นินทาเมีย...?
ราสส์ กิโลหก
ณ สำนักงานราชการแห่งหนึ่ง
นาฬิกาที่แขวนอยู่ข้างฝาผนังบอกเวลา 16.30 น.เป็นเวลาเลิกการทำงาน เจ้าหน้าที่ต่างจัดเก็บของใช้ประจำตัวเพื่อเตรียมตัวแยกย้ายกันกลับบ้านเหมือนทุกวัน
.แต่มีคนกลุ่มหนึ่งไม่มีความคิดที่จะกลับบ้านเหมือนคนอื่นๆ เพราะพวกเขามีภารกิจ ที่สำคัญกว่าการกลับบ้านไปหาลูกเมีย.
นั่นคือการตั้งวงสังสรรค์ เฮฮาตามเคย..
แหล่งมั่วสุมคือ ข้างสำนักงาน
สมาน ซึ่งกำลังเก็บของบนโต๊ะทำงาน หมดภารกิจในหน้าที่ราชการแล้ว สูดลมหายใจเข้าปอดแสดงอาการสบายใจ เขายื่นหน้าไปทางพรรคพวกหน้าเดิมที่เตร่อยู่ภายในห้องทำงาน
“ เลิกงานแล้ว วันนี้เอาไง ? เหมือนเดิมนะจ๊ะ”
พูดจบพร้อมเอามือลูบเคราแพะของตัวเองด้วยความเคยชิน ก่อนหันหน้าไปมอง พี่เบิ้มช่างรุ่นพี่ซึ่งกำลัง เก็บของอยู่บนโต๊ะทำงาน
“ได้ เลย..ยย ๆ”ช่าง เบิ้มพูด
“ที่เก่าเวลาเดิม ของแบบนี้ไม่ต้องดัดจริตถาม” ช่างเบิ้มยังพูดซ้ำ
อ้ายสอนภารโรงหน้าทะเล้นประจำสำนักงาน กำลังเดินขึ้นมาเพื่อทำความสะอาดตามหน้าที่ ในมือของมันถือถุงดำและไม้กวาดอาวุธประจำกาย มันรู้งานรู้เวลา เพราะเรื่องแบบนี้มีเป็นประจำทุกวันไม่มีขาดเป็นภารกิจสำคัญสุด และอานิสงจะตกมาถึงท้องว่างๆของมันทุกครั้ง ..ก่อนแสดงถึงจิตอาสาเหมือนเคย
“จดรายการ มาด่วน เดี๋ยวม้าเร็วจัดการซื้อมาให้ครับเจ้านาย ”
น้าแน๊ก ซึ่งนั่งอยู่โต๊ะทำงานหน้าห้องน้ำ กำลังเก็บข้าวของใส่กระเป๋า ประกาศก้อง เราขอลงขันด้วยพร้อมควักเงินที่รีดจนแบน ออกมาจากกระเป๋าสตางค์
“ อ้ายสอน มารับเงิน บัดเดี๋ยวนี้” อ้ายสอนโกย 100 เมตรเข้าหาทันที
สมานลุ้นในใจนึกว่าเป็นแบงก์ 500 พอเห็นเป็นแบงก์ 100 ถอนหายใจดังเฮือก ! นึกในใจว่า เป็นอย่างนี้ประจำเลยนะคุณ แน๊ก !
“ค้ากำไรเกินควรหรือเปล่า ? น้า ” บ่นเบาๆ
น้าแน๊กดันหูดีได้ยินแว่วๆ
“ เมียให้มาใช้วันละร้อย” พร้อมทำหน้าเศร้าเหมือนถูกเมียรังแก
“อ้ายคม เอาด้วยเปล่า วะ !”
เสี่ยหมานหันหน้าไปทางประตูหน้าห้อง ตะโกนบอก อ้ายคมหรือ นายสังคม บางคนเรียกสังคังก็มี
ขณะที่เสียงจากทีวีเครื่องใหญ่ขนาด 24 นิ้วซึ่งตั้งอยู่ข้างผนังของอาคาร มีรายการสัมภาษณ์นักวิชาการท่าทางตุ๊ดๆทีมีชื่อเสียงคนหนึ่งของเมืองไทย กำลังจีบปากจีบคอ พล่ามถึงการปฏิบัติตัวของวัยรุ่น ที่พ่อแม่ต่างปวดหัวกับพฤติกรรมของบุตรหลาน
หล่อนชี้มือยกขึ้นส่ายไปมา
“เพราะอะไรหรือ ฮ๊า ! ก็เพราะสังคมมันเลว สังคมมันชั่ว สังคมมันบัดซบ” เสียงที่หล่อนพูดแสดงถึงความหนักแน่นชัดเจน
นายสังคมของเราหันไปมองที่หน้าจอทีวี ตาเขียวปัด
“นี่ถ้าไม่เกรงใจพ่อที่ตายไปแล้ว กรูจะไปเปลี่ยนชื่อที่อำเภอพรุ่งนี้เลย !”
ก่อนหันไปทางสมานเพื่อรัก
“เอาด้วยเพื่อน ! ขอลงขันด้วยความโมโห 300 บาท” ควักเงินจากกระเป๋าแล้วเดินไปหาเสี่ยหมานที่โต๊ะ แต่ไม่วายหันหน้าไปมองค้อนที่ หน้าจอทีวีเครื่องใหญ่ซึ่งนักวิชาการตุ๊ดยังพูดไม่หยุด
“พี่รีบกลับบ้านหรือเปล่า ?” เสี่ยหมานหันไปหา พี่รัช หรือนายวิรัชช่างรุ่นพี่ซึ่งกำลังเดินมาพอดี
รุ่นพี่ของ น้าหมาน ไม่พูดจาหยิบเงินออกมาจากกระเป๋าปึกเบ้อเริ่ม อ้ายสอนจอมเอือก เตร่เข้ามาเพื่อลุ้นว่า จะดึงแบงก์อะไรออกมา
น้าแก เอามือกรีดเงินเล่นแล้วเลือกใบที่เก่าที่สุดชักออกมาดังพรืด พอเห็นเป็นแบงก์ 500 อ้ายสอนตะโกนลั่นห้องด้วยความลืมตัว
“ขอให้เจ้าภาพจงเจริญ ๆๆ คิดเงินให้ได้ เงิน คิดทองให้ได้ทองๆๆ” พร้อมยกไม้กวาดยกขึ้นเหนือหัวชูไปมา.
“อ้ายสอน ! อ้ายเวน ! นั่นไม้กวาดกวาดพื้นนะโว้ย ! ” พี่เบิ้มของเราที่นั่งอยู่ใกล้ๆตะคอกใส่
อ้ายสอนลดไม้กวาดลงทำตัวย่อๆ ยิ้มแหยๆ หันไปทางเสี่ยเบิ้ม
“ โอ้ ! ลูกพี่ ! รู้จักชื่อเล่นผมด้วย”
พร้อมกระโดดหนีออกไป
พวกที่อยู่ในห้องหัวเราะกันด้วยความสนุกกับลีลาของอ้ายสอนจอมกวน
“อ้ายสอน เอ็งอย่าทะลึ่งมากมานี่ ! รีบไปรีบมา ใจของข้ามันไปขวดเหล้าแล้ว"
ครึ่งชั่วโมงต่อมา
“มาแล้ว คร๊าบบๆๆๆ มาแล้วๆๆๆ” เสียงอ้ายสอนตะโกนดังมาก่อน ทั้งที่ยังไม่เห็นตัว
ทั้งมือซ้ายและมือขวา หอบหิ้วถุงพลาสติกซึ่งแต่ละถุงบรรจุทั้งขวดเหล้าขวดโซดา น้ำแข็ง ลาบหมู ลูกชิ้นทอด ถั่วทอด และตั๊กแตนทอดอันหลังแปลกปลอมเข้ามาไม่มีใครสั่ง.
เจ้าสอน ภารโรงตัวแสบ เอาของทั้งหมดวางที่โต๊ะใหญ่ตัวหนึ่ง จัดเรียงให้เป็นวงกลม เอากระติกมาใส่น้ำแข็งหลอดจนเต็ม
“แก็ง ๆๆ...ได้เวลากันแล้ว อาวุธและกระสุนพร้อมแล้วครับ..ท่านๆๆ” เจ้าสอนเอามือป้องปาก
สมาชิกต่างทยอยเดินมานั่งกันพร้อมหน้า โดยเจ้าภารโรงหน้าทะเล้นเป็นผู้บริการชงเหล้าอยู่ข้างวง
“เฮ้ย ! ข้าขอน้ำแข็งหน่อย เอาก้อนที่เย็นๆนะโว๊ย !” ช่างเบิ้มพูด พร้อมยื่นแก้วเหล้าให้อ้ายสอน
“ครับ ผม ! เย็นแน่นอนครับท่าน ผมอมดูแล้ว” มันทะลึ่ง
สังคม ซึ่งอารมณ์ดีขึ้นหลังจากโดนพิธีกรในทีวีด่าเมื่อตอนเย็น หันไปมองเห็นตั๊กแตนทอด ทำท่างงๆ แล้วหันหน้ามาทาง อ้ายสอน
“สอน ตั๊กแตนทอดใคร สั่งซื้อ วะ! ไม่เคยมีใครกินนี่หว่า”
“ ได้มาฟรีๆลูกพี่” มันพูดด้วยความภาคภูมิใจในการที่ได้ของฟรีมา
“ทำไมเขาให้มาฟรีๆ แพงนะเนี่ย ” สังคมพูดพลางเอื้อมมือไปหยิบตั๊กแตนทอดตัวเขื่อง ขึ้นมาหยิบใส่ปาก
“ก็ไม่มีอะไรหรอกครับ ! ผมเดินผ่านหน้าร้าน เจ้าของเค้าบอกว่าอยากกินก็เอาไปกิน ซะ ! เพราะกำลังจะเอาไปทิ้ง”
“โธ่ ไอ้ เวน สอน”
เสี่ยสังคมรีบคายซากตั๊กแตนทอดออกจากปากแทบไม่ทัน
“แล้ว เอ็ง เอามาทำไม”
คนอื่นๆรับลูกหันไปรุมด่า เจ้าภารโรงจอมงกกันระงม โทษฐานชักศึกเรียกมะเร็งเข้าวงเหล้า. มันไม่เถียงซักคำ รีบไปยกจานตั๊กแตนทอดออกมาจากวงเหล้า แต่ยังไม่วายบ่นเบาๆคนเดียว
“ทำดี ได้ชั่ว”
ช่างแน๊ก นั่งอยู่ข้างได้ยินไม่ค่อยชัดหันหน้าไปถามว่า
“ว่าอะไร นะ !”
อ้ายสอนสะดุ้งออกลายกะล่อนทันที
“ เปล่าครับ ลืมซื้อถั่วลูกพี่”
มันถือจานตั๊กแตนทอดเดินออกไปทิ้ง ออกปากตะโกนเรียกเพื่อนๆของมันสองตัวที่เตร่ๆอยู่แถวนั้น เหมือนรู้ภาษาว่าจะมีของกิน พากันวิ่งมาหา แสดงอาการกระดิกหางกันจนก้นบิดไปมา
พอเทตั๊กแตนทอด อาหารที่ไม่พึงปรารถนาลงพื้น เจ้าสองตัววิ่งเข้าหาทันที อ้ายสอนคิดในใจว่าคนไม่เห็นความดี อย่างน้อยหมาเห็นความดีบ้างก็ยังดี
ปรากฏว่าแม้แต่สุนัขก็ยังไม่แล พวกมันมาดมๆแล้วก็เดินจากไปแบบไม่หันกลับมามอง
อ้ายสอนตะโกนเรียกอีกมันก็ไม่แลมา เจ้าภารโรงยิ้มไม่ออก เอาจานเคาะหัว พร้อมบ่นกับตัวเอง
“ กรู นี่ โง่กว่าหมาอีก เน้อ ! เวรกรรม”
พลพรรคขี้เหล้ากินกันไปคุยกันไป เวลาล่วงเลยไปถึง 2 ทุ่ม จนเหล้าหมดไป 1 กลมใหญ่ ดีกรีกำลังแผ่ซ่านเข้าสู่ร่างกาย ความกล้าหาญวิ่งเข้าสู่จิตใจ มหกรรมนินทาเมียกำลังจะเริ่ม คนที่โดนเมียกดขี่ข่มเหง ตอนที่ไม่เมาก็ทนได้ ไม่ปริปากพูด แต่ขณะนี้เริ่มเห็นช้างเป็นหมู..
“เมียผม นังนี่ ! มันจุ้นจ้านจริงๆ นะ เพ่ ! ”
นายสังคัง เอ๊ย สังคม หันไปพูดกับ พี่รัช ช่างรุ่นพี่ พร้อม เอามือดึงชายเสื้อออกมาจากขอบกางเกง เพื่อให้เกิดความคล่องตัว หน้าตาตอนนี้แดงก่ำ
“ทำไม วะ! เพื่อน” เสี่ยหมาน อดถามไม่ได้
“มันชอบถามว่า ไปไหนมา ? จะทำมายย..วะ ! จะไปไหนมาไหนมันหนักหัวใครหรือไง ?”
น้าสังฯของเรา ทำเป็นพูดจาใหญ่โต
พร้อมกับแฉประวัติของเมีย
“มันเป็นใคร ? มาจากไหน? ญาติก็ไม่ใช่ พี่น้องก็ไม่ใช่ ”
ซัดเหล้าเข้าปากเกือบครึ่งแก้วด้วยอารมณ์แค้น
“เออ ! จริงด้วย ตอนยังไม่เป็นเมีย พูดค่อยๆ เสียงเพราะเหมือนระฆังเงิน ไม่ไหลเป็นน้ำตกเหมือนเดี๋ยวนี้”
น้าแน๊กเริ่มผสมโรงรายนี้ได้เมียเด็กอายุอ่อนกว่าถึง 18 ปีแต่เรื่องฝีปากน่าเกินอายุ
“เมียผมก็แย่ ! พี่วิรัช !”
เสี่ยหมานมือซ้ายถือแก้วเหล้า มือขวายกยกขึ้นมาโบกไปมาเกือบโดนหน้าเสี่ยเบิ้ม
“แย่ยังไง? มันกัดเอาหรือไง ?” พี่รัชแหย่เล่น.
“ไม่แย่ได้..งาย...พี่ !”
“เดี๋ยวประชุม ! เดี๋ยวประชุม ! ไม่รู้ประชุมอะไรกันนักหนา มันเห็นเจ้านายดีกว่าผัว”
เสี่ยหมานเอามือตบโต๊ะด้วยความน้อยใจ เมียเสี่ยหมานเป็นข้าราชการกรมกรมพัฒนาชุมชน และมาปฏิบัติหน้าที่ประจำอยู่ที่จังหวัดเดียวกับที่สามี
เสี่ยหมานยังอารมณ์ค้าง
“ตอนออกจากบ้านจะไปทำงาน หน้างี้บานแฉ่ง ไอ้โครงการอะไรของเค้า อ้อ ! โครงการเยี่ยมบ้านยามเย็น ไปมันทุกเย็น ไปสนใจเยี่ยมแต่ชาวบ้าน แต่บ้านตัวเองไม่สนใจ ฮ่าๆๆๆๆ พี่ว่ามันตลกมั๊ย ! จะบ้าตาย.”
อ้ายสอนฟังแล้วคันปาก
เสนอหน้าพูดมั่ง
“ เมียข้า ! เอ๊ย ขอโทษครับ”มันยกมือไหว้รอบวงคงลืมตัวไปหน่อย
“ผมไปกินเหล้าที่บ้านเพื่อน กินเพลินจนดึก เมียผมรออยู่บ้านไม่ไหวอุ้มลูกอายุแค่ 3 เดือนไปตามผมถึงบ้านเพื่อน”
หยุดจิบเหล้าเป็นพิธี
“มันเดินไปตามแต่ไม่ยอมเข้าไปในวงเหล้า ดันไปแอบอยู่ที่ดงกล้วยตานีข้างๆวงเหล้า ไปยืนอุ้มลูกอยู่ในความมืด เพื่อนผมปวดเยี่ยวเดินเข้าไปเยี่ยว จ๊ะเอ๋ ! เข้าเต็มรัก นึกว่าผีนางตานี วิ่งออกมาป่าราบน้ำเยี่ยวเปรอะไปหมด หายเมาเป็นปลิดทิ้ง จริงๆนะลูกพี่ ! ไม่ใช่โม้นะครับ”
มันทำเสียงเหมือนสมรักษ์ คำสิงห์
“อ้ายสอน ! เอ็งหันไปมองที่หลังคา ซิ ! ไปดูว่ามันอยู่บนหลังคา ป่าว..ว กลัวเมียเอ็งเป็นแม่นาค ว่ะ”
น้าสัง แซว
ส่วนอาจารย์ ไฝ ซึ่งเป็นช่างที่อาวุโสที่สุดในกลุ่ม รูปร่างผอมหน้าแหลมๆ มีหนวดงามที่ริมฝีปาก เหนือหนวดมีไฝเม็ดเขื่อง มองเห็นได้ชัด เสียงแหลมๆเหมือนคนทางระยอง
แกเอ่ยเสียงแหลมๆออกมา.
“อ้าย เวนเอ๊ย ! เมียข้า ซิ มัน ! แสบ”
“แสบไง ? พี่” พวกในวงเหล้าถาม
“คืนหนึ่ง เมาเละจนไม่รู้เรื่องกลับมาบ้านเกือบ ตี 2 ถึงบ้านหิวข้าว เมียก็จัดสำรับข้าวให้กิน มันใจดีเอาเหล้ามาตั้งบน
โต๊ะให้อีก เสร็จแล้วมันรีบกลับไปนอนเฉยเลยปล่อยให้ข้านั่งอยู่คนเดียว”
อาจารย์ไฝทำท่าผะอืดผะอม
“เมียใจดีขนาดนี้ ยังไม่ดีอีกหรือ พี่ !” อ้ายสอนสงสัย
“ใจดี เตี่ยเอ็ง ดิ ! กรูอ๊วกเกือบตาย ยังแสบคอไม่หาย”
“ ใครบีบคอ ลูกพี่” ใครคนหนึ่งถาม
อาจารย์ไฝขึ้นเสียงแหลมปรี๊ด.
“บีบกะผีอะไร ก็เหล้าที่มันเอามาให้กิน”
อาจารย์ไฝ หยุดพูดไปเฉยๆ
พวกเผือกทั้งหลาย พากันอยากรู้
“ก็เวนเอ๊ย ! มันไม่ใช่เหล้า เป็นน้ำปลาตราพระอ้วนเกือบครึ่งขวด”
“อีเวน”
เสียงดังลั่น ไม่รู้แกด่าใคร เพราะนั่งก้มหน้า..
***************************************
นินทาเมีย
ราสส์ กิโลหก
ณ สำนักงานราชการแห่งหนึ่ง
นาฬิกาที่แขวนอยู่ข้างฝาผนังบอกเวลา 16.30 น.เป็นเวลาเลิกการทำงาน เจ้าหน้าที่ต่างจัดเก็บของใช้ประจำตัวเพื่อเตรียมตัวแยกย้ายกันกลับบ้านเหมือนทุกวัน
.แต่มีคนกลุ่มหนึ่งไม่มีความคิดที่จะกลับบ้านเหมือนคนอื่นๆ เพราะพวกเขามีภารกิจ ที่สำคัญกว่าการกลับบ้านไปหาลูกเมีย.
นั่นคือการตั้งวงสังสรรค์ เฮฮาตามเคย..
แหล่งมั่วสุมคือ ข้างสำนักงาน
สมาน ซึ่งกำลังเก็บของบนโต๊ะทำงาน หมดภารกิจในหน้าที่ราชการแล้ว สูดลมหายใจเข้าปอดแสดงอาการสบายใจ เขายื่นหน้าไปทางพรรคพวกหน้าเดิมที่เตร่อยู่ภายในห้องทำงาน
“ เลิกงานแล้ว วันนี้เอาไง ? เหมือนเดิมนะจ๊ะ”
พูดจบพร้อมเอามือลูบเคราแพะของตัวเองด้วยความเคยชิน ก่อนหันหน้าไปมอง พี่เบิ้มช่างรุ่นพี่ซึ่งกำลัง เก็บของอยู่บนโต๊ะทำงาน
“ได้ เลย..ยย ๆ”ช่าง เบิ้มพูด
“ที่เก่าเวลาเดิม ของแบบนี้ไม่ต้องดัดจริตถาม” ช่างเบิ้มยังพูดซ้ำ
อ้ายสอนภารโรงหน้าทะเล้นประจำสำนักงาน กำลังเดินขึ้นมาเพื่อทำความสะอาดตามหน้าที่ ในมือของมันถือถุงดำและไม้กวาดอาวุธประจำกาย มันรู้งานรู้เวลา เพราะเรื่องแบบนี้มีเป็นประจำทุกวันไม่มีขาดเป็นภารกิจสำคัญสุด และอานิสงจะตกมาถึงท้องว่างๆของมันทุกครั้ง ..ก่อนแสดงถึงจิตอาสาเหมือนเคย
“จดรายการ มาด่วน เดี๋ยวม้าเร็วจัดการซื้อมาให้ครับเจ้านาย ”
น้าแน๊ก ซึ่งนั่งอยู่โต๊ะทำงานหน้าห้องน้ำ กำลังเก็บข้าวของใส่กระเป๋า ประกาศก้อง เราขอลงขันด้วยพร้อมควักเงินที่รีดจนแบน ออกมาจากกระเป๋าสตางค์
“ อ้ายสอน มารับเงิน บัดเดี๋ยวนี้” อ้ายสอนโกย 100 เมตรเข้าหาทันที
สมานลุ้นในใจนึกว่าเป็นแบงก์ 500 พอเห็นเป็นแบงก์ 100 ถอนหายใจดังเฮือก ! นึกในใจว่า เป็นอย่างนี้ประจำเลยนะคุณ แน๊ก !
“ค้ากำไรเกินควรหรือเปล่า ? น้า ” บ่นเบาๆ
น้าแน๊กดันหูดีได้ยินแว่วๆ
“ เมียให้มาใช้วันละร้อย” พร้อมทำหน้าเศร้าเหมือนถูกเมียรังแก
“อ้ายคม เอาด้วยเปล่า วะ !”
เสี่ยหมานหันหน้าไปทางประตูหน้าห้อง ตะโกนบอก อ้ายคมหรือ นายสังคม บางคนเรียกสังคังก็มี
ขณะที่เสียงจากทีวีเครื่องใหญ่ขนาด 24 นิ้วซึ่งตั้งอยู่ข้างผนังของอาคาร มีรายการสัมภาษณ์นักวิชาการท่าทางตุ๊ดๆทีมีชื่อเสียงคนหนึ่งของเมืองไทย กำลังจีบปากจีบคอ พล่ามถึงการปฏิบัติตัวของวัยรุ่น ที่พ่อแม่ต่างปวดหัวกับพฤติกรรมของบุตรหลาน
หล่อนชี้มือยกขึ้นส่ายไปมา
“เพราะอะไรหรือ ฮ๊า ! ก็เพราะสังคมมันเลว สังคมมันชั่ว สังคมมันบัดซบ” เสียงที่หล่อนพูดแสดงถึงความหนักแน่นชัดเจน
นายสังคมของเราหันไปมองที่หน้าจอทีวี ตาเขียวปัด
“นี่ถ้าไม่เกรงใจพ่อที่ตายไปแล้ว กรูจะไปเปลี่ยนชื่อที่อำเภอพรุ่งนี้เลย !”
ก่อนหันไปทางสมานเพื่อรัก
“เอาด้วยเพื่อน ! ขอลงขันด้วยความโมโห 300 บาท” ควักเงินจากกระเป๋าแล้วเดินไปหาเสี่ยหมานที่โต๊ะ แต่ไม่วายหันหน้าไปมองค้อนที่ หน้าจอทีวีเครื่องใหญ่ซึ่งนักวิชาการตุ๊ดยังพูดไม่หยุด
“พี่รีบกลับบ้านหรือเปล่า ?” เสี่ยหมานหันไปหา พี่รัช หรือนายวิรัชช่างรุ่นพี่ซึ่งกำลังเดินมาพอดี
รุ่นพี่ของ น้าหมาน ไม่พูดจาหยิบเงินออกมาจากกระเป๋าปึกเบ้อเริ่ม อ้ายสอนจอมเอือก เตร่เข้ามาเพื่อลุ้นว่า จะดึงแบงก์อะไรออกมา
น้าแก เอามือกรีดเงินเล่นแล้วเลือกใบที่เก่าที่สุดชักออกมาดังพรืด พอเห็นเป็นแบงก์ 500 อ้ายสอนตะโกนลั่นห้องด้วยความลืมตัว
“ขอให้เจ้าภาพจงเจริญ ๆๆ คิดเงินให้ได้ เงิน คิดทองให้ได้ทองๆๆ” พร้อมยกไม้กวาดยกขึ้นเหนือหัวชูไปมา.
“อ้ายสอน ! อ้ายเวน ! นั่นไม้กวาดกวาดพื้นนะโว้ย ! ” พี่เบิ้มของเราที่นั่งอยู่ใกล้ๆตะคอกใส่
อ้ายสอนลดไม้กวาดลงทำตัวย่อๆ ยิ้มแหยๆ หันไปทางเสี่ยเบิ้ม
“ โอ้ ! ลูกพี่ ! รู้จักชื่อเล่นผมด้วย”
พร้อมกระโดดหนีออกไป
พวกที่อยู่ในห้องหัวเราะกันด้วยความสนุกกับลีลาของอ้ายสอนจอมกวน
“อ้ายสอน เอ็งอย่าทะลึ่งมากมานี่ ! รีบไปรีบมา ใจของข้ามันไปขวดเหล้าแล้ว"
ครึ่งชั่วโมงต่อมา
“มาแล้ว คร๊าบบๆๆๆ มาแล้วๆๆๆ” เสียงอ้ายสอนตะโกนดังมาก่อน ทั้งที่ยังไม่เห็นตัว
ทั้งมือซ้ายและมือขวา หอบหิ้วถุงพลาสติกซึ่งแต่ละถุงบรรจุทั้งขวดเหล้าขวดโซดา น้ำแข็ง ลาบหมู ลูกชิ้นทอด ถั่วทอด และตั๊กแตนทอดอันหลังแปลกปลอมเข้ามาไม่มีใครสั่ง.
เจ้าสอน ภารโรงตัวแสบ เอาของทั้งหมดวางที่โต๊ะใหญ่ตัวหนึ่ง จัดเรียงให้เป็นวงกลม เอากระติกมาใส่น้ำแข็งหลอดจนเต็ม
“แก็ง ๆๆ...ได้เวลากันแล้ว อาวุธและกระสุนพร้อมแล้วครับ..ท่านๆๆ” เจ้าสอนเอามือป้องปาก
สมาชิกต่างทยอยเดินมานั่งกันพร้อมหน้า โดยเจ้าภารโรงหน้าทะเล้นเป็นผู้บริการชงเหล้าอยู่ข้างวง
“เฮ้ย ! ข้าขอน้ำแข็งหน่อย เอาก้อนที่เย็นๆนะโว๊ย !” ช่างเบิ้มพูด พร้อมยื่นแก้วเหล้าให้อ้ายสอน
“ครับ ผม ! เย็นแน่นอนครับท่าน ผมอมดูแล้ว” มันทะลึ่ง
สังคม ซึ่งอารมณ์ดีขึ้นหลังจากโดนพิธีกรในทีวีด่าเมื่อตอนเย็น หันไปมองเห็นตั๊กแตนทอด ทำท่างงๆ แล้วหันหน้ามาทาง อ้ายสอน
“สอน ตั๊กแตนทอดใคร สั่งซื้อ วะ! ไม่เคยมีใครกินนี่หว่า”
“ ได้มาฟรีๆลูกพี่” มันพูดด้วยความภาคภูมิใจในการที่ได้ของฟรีมา
“ทำไมเขาให้มาฟรีๆ แพงนะเนี่ย ” สังคมพูดพลางเอื้อมมือไปหยิบตั๊กแตนทอดตัวเขื่อง ขึ้นมาหยิบใส่ปาก
“ก็ไม่มีอะไรหรอกครับ ! ผมเดินผ่านหน้าร้าน เจ้าของเค้าบอกว่าอยากกินก็เอาไปกิน ซะ ! เพราะกำลังจะเอาไปทิ้ง”
“โธ่ ไอ้ เวน สอน”
เสี่ยสังคมรีบคายซากตั๊กแตนทอดออกจากปากแทบไม่ทัน
“แล้ว เอ็ง เอามาทำไม”
คนอื่นๆรับลูกหันไปรุมด่า เจ้าภารโรงจอมงกกันระงม โทษฐานชักศึกเรียกมะเร็งเข้าวงเหล้า. มันไม่เถียงซักคำ รีบไปยกจานตั๊กแตนทอดออกมาจากวงเหล้า แต่ยังไม่วายบ่นเบาๆคนเดียว
“ทำดี ได้ชั่ว”
ช่างแน๊ก นั่งอยู่ข้างได้ยินไม่ค่อยชัดหันหน้าไปถามว่า
“ว่าอะไร นะ !”
อ้ายสอนสะดุ้งออกลายกะล่อนทันที
“ เปล่าครับ ลืมซื้อถั่วลูกพี่”
มันถือจานตั๊กแตนทอดเดินออกไปทิ้ง ออกปากตะโกนเรียกเพื่อนๆของมันสองตัวที่เตร่ๆอยู่แถวนั้น เหมือนรู้ภาษาว่าจะมีของกิน พากันวิ่งมาหา แสดงอาการกระดิกหางกันจนก้นบิดไปมา
พอเทตั๊กแตนทอด อาหารที่ไม่พึงปรารถนาลงพื้น เจ้าสองตัววิ่งเข้าหาทันที อ้ายสอนคิดในใจว่าคนไม่เห็นความดี อย่างน้อยหมาเห็นความดีบ้างก็ยังดี
ปรากฏว่าแม้แต่สุนัขก็ยังไม่แล พวกมันมาดมๆแล้วก็เดินจากไปแบบไม่หันกลับมามอง
อ้ายสอนตะโกนเรียกอีกมันก็ไม่แลมา เจ้าภารโรงยิ้มไม่ออก เอาจานเคาะหัว พร้อมบ่นกับตัวเอง
“ กรู นี่ โง่กว่าหมาอีก เน้อ ! เวรกรรม”
พลพรรคขี้เหล้ากินกันไปคุยกันไป เวลาล่วงเลยไปถึง 2 ทุ่ม จนเหล้าหมดไป 1 กลมใหญ่ ดีกรีกำลังแผ่ซ่านเข้าสู่ร่างกาย ความกล้าหาญวิ่งเข้าสู่จิตใจ มหกรรมนินทาเมียกำลังจะเริ่ม คนที่โดนเมียกดขี่ข่มเหง ตอนที่ไม่เมาก็ทนได้ ไม่ปริปากพูด แต่ขณะนี้เริ่มเห็นช้างเป็นหมู..
“เมียผม นังนี่ ! มันจุ้นจ้านจริงๆ นะ เพ่ ! ”
นายสังคัง เอ๊ย สังคม หันไปพูดกับ พี่รัช ช่างรุ่นพี่ พร้อม เอามือดึงชายเสื้อออกมาจากขอบกางเกง เพื่อให้เกิดความคล่องตัว หน้าตาตอนนี้แดงก่ำ
“ทำไม วะ! เพื่อน” เสี่ยหมาน อดถามไม่ได้
“มันชอบถามว่า ไปไหนมา ? จะทำมายย..วะ ! จะไปไหนมาไหนมันหนักหัวใครหรือไง ?”
น้าสังฯของเรา ทำเป็นพูดจาใหญ่โต
พร้อมกับแฉประวัติของเมีย
“มันเป็นใคร ? มาจากไหน? ญาติก็ไม่ใช่ พี่น้องก็ไม่ใช่ ”
ซัดเหล้าเข้าปากเกือบครึ่งแก้วด้วยอารมณ์แค้น
“เออ ! จริงด้วย ตอนยังไม่เป็นเมีย พูดค่อยๆ เสียงเพราะเหมือนระฆังเงิน ไม่ไหลเป็นน้ำตกเหมือนเดี๋ยวนี้”
น้าแน๊กเริ่มผสมโรงรายนี้ได้เมียเด็กอายุอ่อนกว่าถึง 18 ปีแต่เรื่องฝีปากน่าเกินอายุ
“เมียผมก็แย่ ! พี่วิรัช !”
เสี่ยหมานมือซ้ายถือแก้วเหล้า มือขวายกยกขึ้นมาโบกไปมาเกือบโดนหน้าเสี่ยเบิ้ม
“แย่ยังไง? มันกัดเอาหรือไง ?” พี่รัชแหย่เล่น.
“ไม่แย่ได้..งาย...พี่ !”
“เดี๋ยวประชุม ! เดี๋ยวประชุม ! ไม่รู้ประชุมอะไรกันนักหนา มันเห็นเจ้านายดีกว่าผัว”
เสี่ยหมานเอามือตบโต๊ะด้วยความน้อยใจ เมียเสี่ยหมานเป็นข้าราชการกรมกรมพัฒนาชุมชน และมาปฏิบัติหน้าที่ประจำอยู่ที่จังหวัดเดียวกับที่สามี
เสี่ยหมานยังอารมณ์ค้าง
“ตอนออกจากบ้านจะไปทำงาน หน้างี้บานแฉ่ง ไอ้โครงการอะไรของเค้า อ้อ ! โครงการเยี่ยมบ้านยามเย็น ไปมันทุกเย็น ไปสนใจเยี่ยมแต่ชาวบ้าน แต่บ้านตัวเองไม่สนใจ ฮ่าๆๆๆๆ พี่ว่ามันตลกมั๊ย ! จะบ้าตาย.”
อ้ายสอนฟังแล้วคันปาก
เสนอหน้าพูดมั่ง
“ เมียข้า ! เอ๊ย ขอโทษครับ”มันยกมือไหว้รอบวงคงลืมตัวไปหน่อย
“ผมไปกินเหล้าที่บ้านเพื่อน กินเพลินจนดึก เมียผมรออยู่บ้านไม่ไหวอุ้มลูกอายุแค่ 3 เดือนไปตามผมถึงบ้านเพื่อน”
หยุดจิบเหล้าเป็นพิธี
“มันเดินไปตามแต่ไม่ยอมเข้าไปในวงเหล้า ดันไปแอบอยู่ที่ดงกล้วยตานีข้างๆวงเหล้า ไปยืนอุ้มลูกอยู่ในความมืด เพื่อนผมปวดเยี่ยวเดินเข้าไปเยี่ยว จ๊ะเอ๋ ! เข้าเต็มรัก นึกว่าผีนางตานี วิ่งออกมาป่าราบน้ำเยี่ยวเปรอะไปหมด หายเมาเป็นปลิดทิ้ง จริงๆนะลูกพี่ ! ไม่ใช่โม้นะครับ”
มันทำเสียงเหมือนสมรักษ์ คำสิงห์
“อ้ายสอน ! เอ็งหันไปมองที่หลังคา ซิ ! ไปดูว่ามันอยู่บนหลังคา ป่าว..ว กลัวเมียเอ็งเป็นแม่นาค ว่ะ”
น้าสัง แซว
ส่วนอาจารย์ ไฝ ซึ่งเป็นช่างที่อาวุโสที่สุดในกลุ่ม รูปร่างผอมหน้าแหลมๆ มีหนวดงามที่ริมฝีปาก เหนือหนวดมีไฝเม็ดเขื่อง มองเห็นได้ชัด เสียงแหลมๆเหมือนคนทางระยอง
แกเอ่ยเสียงแหลมๆออกมา.
“อ้าย เวนเอ๊ย ! เมียข้า ซิ มัน ! แสบ”
“แสบไง ? พี่” พวกในวงเหล้าถาม
“คืนหนึ่ง เมาเละจนไม่รู้เรื่องกลับมาบ้านเกือบ ตี 2 ถึงบ้านหิวข้าว เมียก็จัดสำรับข้าวให้กิน มันใจดีเอาเหล้ามาตั้งบน
โต๊ะให้อีก เสร็จแล้วมันรีบกลับไปนอนเฉยเลยปล่อยให้ข้านั่งอยู่คนเดียว”
อาจารย์ไฝทำท่าผะอืดผะอม
“เมียใจดีขนาดนี้ ยังไม่ดีอีกหรือ พี่ !” อ้ายสอนสงสัย
“ใจดี เตี่ยเอ็ง ดิ ! กรูอ๊วกเกือบตาย ยังแสบคอไม่หาย”
“ ใครบีบคอ ลูกพี่” ใครคนหนึ่งถาม
อาจารย์ไฝขึ้นเสียงแหลมปรี๊ด.
“บีบกะผีอะไร ก็เหล้าที่มันเอามาให้กิน”
อาจารย์ไฝ หยุดพูดไปเฉยๆ
พวกเผือกทั้งหลาย พากันอยากรู้
“ก็เวนเอ๊ย ! มันไม่ใช่เหล้า เป็นน้ำปลาตราพระอ้วนเกือบครึ่งขวด”
“อีเวน”
เสียงดังลั่น ไม่รู้แกด่าใคร เพราะนั่งก้มหน้า..
***************************************