ชีวิตคนเรามันมีทั้งเรื่องราวที่แสนดี และเรื่องราวที่เจ็บปวดใจจนกลั้นน้ำตาไม่ไหวมากมายแต่ทุกครั้งเราก็ผ่านมันมาได้และทำให้เราเติบโตขึ้น ชีวิตของผมและเขื่อว่าทุกคนก็คงคล้ายกันในแบบเดียวกันนี้
ปัจจุบันผมทำงานให้กับบริษัทที่ปรึกษาแห่งหนึ่ง วันนี้เป็นที่ผมอายุครบ 30 ปีพอดี ผมอยากจะแชร์เรื่องราวที่ผ่านมาในชีวิตด้านการงาน หวังว่าเรื่องราวและบทเรียนในชีวิตของผมจะเป็นประโยชน์ต่อคนที่อยากเดินทางในสายอาชีพนี้
เคยบ้างไหมที่ฝันไปไกลเกินตัว...
เรื่องราวของผมเริ่มจากในสมัยมัธยม ผมไม่ได้เป็นคนเรียนเก่งอะไร แต่ผมฝันอยากเป็นตัวแทนประเทศไปแข่งคอมพิวเตอร์โอลิมปิค
เหตุการที่ผมจำได้ไม่ลืมคือ วันที่โรงเรียนกวดวิชาเรียกผู้ปกครองไปคุยและคืนเงินค่าเรียนพิเศษให้บอกว่าเธอขี้เกียดและหัวช้าเกินไปสำหรับชั้นเรียนพิเศษของเขา
ผมจบม.ปลายด้วยเกรดฟิสิกส์ 1.5 ถึงแม้ผมก็สามารถสอบติดค่าย สอวน. (ค่ายโอลิมปิควิชาการ) ได้ตอนม. 4 ซึ่งจริงๆมันก็สายไปแล้วเพราะบางคนสอบติดค่ายนี้ตั้งแต่ ม.1 และฝึกเขียนโปรแกรมมาก่อนหน้า 3-4 ปี
แต่พอนึกย้อนกลับไป ค่าย สอวน. เหมือนเป็นบทเรียนชีวิตแรกของผม ซึ่งจากเดิมเป็นคนไม่สนใจและไม่กล้าทำอะไร การเป็นตัวแทนประเทศไปแข่งโอลิมปิควิชาการเหมือนเป็นเป้าหมายแรกในชีวิตของผม เมื่อมีเป้าหมายแล้วทุกอย่างก็เหลือแค่มุ่งไปข้างหน้า ผมซื้อหนังสือเขียนโปรแกรมทุกเล่มที่มีในตลาด หัดอ่านหนังสือ text book มหาลัยและฝึกเขียนโปรแกรมยากๆในเวปไซต์ต่างประเทศเกือบเที่ยงคืนทุกวัน ภายในเวลาไม่กี่เดือน จากผู้เข้าสมัครพันกว่าคนในภาคกลาง ผมเป็น 20 คนสุดท้าย การอยู่ในค่ายทำให้ผมเจอสิ่งที่ผมรัก ผมตั้งใจทำทุกอย่างก็แค่เพื่อไม่ให้เสียสิ่งเหล่านั้นไป
แต่สมหวังก็มีผิดหวัง สุดท้ายผมก็ตกรอบอยู่ดี ภาพที่ผมจำได้ไม่ลืมคือวันประกาศผลสอบที่ ม.สุรนารี ที่เรากำลังนั่งรถกลับ กรุงเทพ ตอนนั้นเพิ่งประกาศผลพอดีว่าผมไม่ผ่านเข้ารอบต่อไป และความพยายามที่ทำมาก็ศูนย์เปล่า แต่ผมก็ตัดสินใจเอา textbook เขียนโปรแกรมมานั่งอ่านต่อทั้งน้ำตาอยู่ดี ผมหยุดร้องไห้ไม่ได้ และผมก็หยุดอ่านมันไม่ได้เช่นกัน ผมทำทุกอย่างด้วยความรักและถึงแม้ว่ามันจะไม่มีวันประสบความสำเร็จก็ตาม ผมไม่เคยคิดที่จะยอมแพ้ พื้นฐานชีวิตผมมันถูกสร้างมาแบบนั้น ...
ชีวิตมหาลัย
ผมสอบเข้าคณะวิศวะ เพื่อที่จะได้อยู่กับเพื่อนๆที่ผมสนิทจากค่ายและคนที่ผมรัก ความฝันใหม่ในช่วงเรียนมหาวิทยาลัยคือการเป็น web developer ผมเริ่มเขียนเวปมาตั้งแต่สมัยประถม ทุกครั้งที่ผมติดอะไรก็ตาม ผมก็จะ google ไปเรื่อยๆ จนไปถึงขอบของเทคโนโลยีในสมัยนั้นที่ internet ไม่มีคำตอบให้ ผมเริ่มรับงาน freelance หารายได้ได้หลายหมื่นบาทต่อเดือน เริ่มลองทำเวปไซต์และคิดจะทำธุรกิจเป็นของตัวเอง แต่การทำธุรกิจไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะเรามักไม่คิดถึง cost และ เวลา ต่างๆ ให้รอบคอบ หลายโปรเจคผมไม่สามารถตัด scope ให้จบได้ บางโปรเจคขายถูกแต่ทำแล้วบานปลาย บางโปรเจคเรียกแพงไปก็ขายไม่ได้ ความรู้อย่างเดียวไม่พอถ้ามันแก้ปัญหาทางธุรกิจไม่ได้ และการแก้ปัญหาทางธุรกิจอย่างเดียวก็ไม่พอ จะต้องขายและบริหารมันให้ได้
ผมเริ่มสนใจ skill ในการบริหารเพราะรู้ว่ามีความรู้ด้านการเจรจาและการบริหารไม่พอ ในช่วงเวลาก่อนจบการศึกษา มีเจ้าของบริษัทหลายแห่งมาให้คำแนะนำที่มหาวิทยาลัย ทั้ง start up, เวปไซต์ที่ดังหลายแห่งในประเทศไทย แล้วในวันนั้นเองผมก็ได้รู้จักอาชีพ “ที่ปรึกษา” เอาจริงๆ ผมไม่รู้หรอกว่าอาชีพที่ปรึกษามันคืออะไร แต่ผมรู้สึกว่ามันดู cool ดี
ผมสมัครงานบริษัทที่ปรึกษาทุกที่ แต่เชื่อไหมว่า ไม่มีที่ไหนรับผมเลย บริษัทแรกคัดเอาแต่เด็กที่สอบได้แต่เกียรตินิยมอันดับหนึ่ง บริษัทที่สองบทสัมภาษณ์เป็นภาษาอังกฤษเกี่ยวกับประสบการณ์การเจรจาต่อรองกับผุ้ที่มีอำนาจสูงกว่าหรือการประสบกาณ์ในการบริหารโปรเจคในสถานการณ์คับขัน ขณะนั้นผมอยู่ ปี 4 ทั้งประสบการณ์ ภาษา วิธีการสื่อสาร และการควบคุมอารมณ์ไม่ให้ตื่นเต้นนี่ทำไม่ได้เลยซักอย่าง ผมถูกตั้งคำถามให้จนมุม และถูกไล่ออกจากห้องเหมือนคนไม่มีค่าพอที่จะมีเวลาคุยด้วย ผมโกรธ เสียความมั่นใจ และคิดว่าคงไม่ได้มีโอกาสทำอาชีพนี้จริงๆ
โชคดีที่ในเปิดรับสมัครงานในมหาลัย ผมฝาก resume ให้เธอคนนั้นไว้ และได้มีโอกาสสัมภาษณ์กับบริษัทข้ามชาติแห่งนึงด้วยกัน เอาจริงๆ ผมไม่เคยคิดว่าจะได้เข้าทำงานที่บริษัทนี้เลยเพราะเป็นบริษัทที่เข้ายากที่สุดบริษัทหนึ่งในสายงาน วันที่ไปสอบสัมภาษณ์ โชคดีที่ผมเดินผ่านห้างสีลมคอมเพล็กซ์เลยไปซื้อไทด์ สูท ในห้าง ขอให้พนักงานรีดให้ เพราะบทเรียนกับตอนสัมภาษณ์งานกับบริษัทที่ปรึษาสอนความเป็น professional ในการสัมภาษณ์งาน ประสบการณ์ที่ล้มเหลวในวันสอบสัมภาษณ์วันนั้น ทำให้ผมสามารถ handle การสัมภาษณ์รอบนั้นได้ ทำให้การคุยหลังจากนั้นเป็นเรื่องง่าย และโชคดีที่วันสอบสัมภาษณ์รอบที่สองผมป่วยกระทันหันแต่บริษัทโทรมาว่าไม่เป็นไร เรารับคุณแล้ว ผมสอบสัมภาษณ์เพียงรอบเดียวเทียบกับเพื่อนรุ่นเดียวกันที่สัมภาษณ์ 2-3 รอบ บางทีการล้มเหลวหลายๆครั้งก็สอนให้เราเรียนรู้ ถึงแม้จะล้มเหลวแต่บทเรียนเหล่านั้นมีค่าต่อเราในอนาคตอย่างแน่นอน
บริษัทแรก
ผมได้เริ่มงานในทีม data analytics ซึ่งมีคนไทยแค่ 5 คนในตอนนั้น และเป็นทีมที่ทุกคนในบริษัทอยากเข้ามากที่สุดทีมหนึ่ง งานแรกของผมในบริษัทข้ามชาติแห่งนี้คืองานดูแล globla data warehouse ของระบบบัญชี ซึ่ง skill การเขียนโปรแกรมซับซ้อนที่เรียนมาผมแทบไม่ได้ใช้เลยและจริงๆงานของผมก็ไม่ได้เกี่ยวกับชื่อทีมเลย ความยากของระบบนี้ไม่ได้เกี่ยวกับเขียนโปรแกรม แต่เวลาเดินไปคุยกับผู้ใช้งานเค้าจะพูดแต่ศัพท์เทคนิคทางด้าน SAP และบัญชี ผมจำได้วันที่ผมนั่งหาข้อมูลถึงตีสองว่ามันผิดตรงไหนเพราะไม่เข้าใจระบบเอกสารในบัญชี ซึ่งถ้าคนทำระบบนี้จะรู้ว่ามันเป็นปลายทางของทุกอย่างในบริษัทแล้ว การที่จะเข้าใจจะเข้าใจมันได้คือต้องเข้าใจทุกกิจกรรมทางธุรกิจในบริษัท และทุกระบบที่ข้อมูลเชื่อมถึงกัน ผมตั้งใจว่าผมจะต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญระบบนี้ให้ได้ ถึงแม้ไม่รู้ว่าจะรู้เรื่องพวกนี้ไปทำไมผมก็คิดแค่ว่าอยากจะใช้เวลาให้คุ้มค่าที่สุด อีกอย่าง ผมไม่ชอบความไม่เข้าใจ
เพื่อสิ่งนั้น ผมใช้เวลา 2 ปีเรียน MBA นอกเวลางาน ทั้งทำงานไปด้วย ทั้งเรียนไปด้วย ผมต้องปรับเวลาชีวิตใหม่มาเช่าหอข้างๆบริษัทและมหาวิทยาลัย (โชคดีที่มันอยู่ติดๆกัน) ถึงช่วงนั้นจะเป็นช่วงเวลาที่เหนื่อยและยากลำบาก แต่การที่มีเพื่อนร่วมหอดีๆ และเพื่อนเรียนด้วยกันนั้นเป็นช่วงเวลาที่สนุกและมีค่ามากๆ ถึงแม้ที่มีหลายครั้งที่ผมอยากจะถอดใจเลิกเรียน มีวันนึงที่อาจารย์ที่ปรึษาเรียกไปคุยและบอกว่าหัวข้อวิจัยที่เริ่มทำมาแล้วหลายเดือนนั้นไม่ผ่านซึ่งเป็นวันเดียวกันที่ผมจะต้องบินไปทำงานต่างประเทศพอดี ผมได้แต่นั่งเอามือปิดหน้าที่กำลังร้องไห้อยู่ในเลาจ์สนามบิน คิดหัวข้อวิจัยใหม่ และนัดสัมภาษณ์งานวิจัยจากต่างประเทศ กลับมาสัมภาษณ์ แล้วก็บินไปทำงานใหม่หลายรอบกว่าจะผ่านมันมาได้
และแล้ว มันก็มาถึงวันที่ผมมีประสบกาณ์พอที่จะมองเห็นข้อดีและข้อเสียของระบบของบริษัท ด้วยความรู้ในห้องเรียน รวมกับระบบ SAP และข้อมูลบัญชีทั้งหมดในบริษัท ผมสามารถบอกได้ว่าระบบนี้มันไม่ดีอย่างไร ในวันที่ผมสามารถเขียนอีเมล์ที่ได้รับการยอมรับจากหัวหน้าทั่วโลก และวันที่มีอีเมล์หนึ่งส่งมาว่าโปรเจคหน้านายไปอเมริกานะ....
สำหรับเด็กน้อยคนนึง การได้เดินทางไปถึงอเมริกามันเป็นเรื่องยิ่งใหญ่มาก ผมได้มีโอกาสทำงานกับทีมระดับโลกและคนระดับแนวหน้าของวงการ สำหรับงาน data analytics นั้นผมเป็นไม่กี่คนในบริษัท ที่เข้าใจ techncial architecture (ตั้งแต่สมัยที่รับทำเวปไซต์) เข้าใจข้อมูลในระบบ SAP (จากงาน data warehouse ที่เคยทำมา) เขียนโปรแกรมวิเคราะห์ข้อมูลที่มีความซับซ้อนได้ (จากสมัยพยายามสอบคอมพิวเตอร์โอลิมปิค) และสำคัญที่สุดคือเข้าใจธุรกิจ (จากการเรียน MBA) ดังนั้นไม่ว่าคำถามจะมาจากแผนกอะไร เรื่องอะไร ผมสามารถเชื่อมโยงและหาคำตอบที่ดีให้ได้ เมื่อได้รับความไว้วางใจก็เริ่มได้รับงานยากขึ้นเรื่อยๆ จนถึงจุดที่ผมคุมทีมที่ปรึกษาวาง architecture ของ data integration layer ของทั้งบริษัทที่มีกว่า 100 system ตอนนั้นผมอายุ 26 เพื่อนร่วมทีมอายุต่ำสุดคือ 35 ตอนนั้นผมรู้สึกว่าทุกวันที่ตื่นเช้ามาทำงานคือวันที่มีความสุขที่สุดของผมที่ได้ทำงานกับเพื่อนที่ไว้ใจได้ในสภาพแวดล้อมที่ดี
การลาออก
เราทำทุกวันของเราให้ดีที่สุด เพื่อสุดท้ายแล้วเราจะไม่เสียใจในวันที่จากลา
ด้วยหลายๆเหตุผลผมตัดสินใจลาออก ถึงแม้มันจะเป็นเรื่องตลกร้ายที่เล่าให้ใครก็ไม่มีใครเชื่อ การลาออกของผมครั้งแรกเต็มไปด้วยน้ำตา ภาพที่ผมไม่ลืมคือ วันที่หัวหน้าผมเรียกไปคุย เขาไม่เคยต่อว่าที่ผมจะทิ้งตำแหน่งที่สำคัญไป แค่พูดกับผมต่อหน้าเพื่อนที่ทำงานว่า here is our best BI (Business Intelligence) guy แล้วเพื่อนๆพูดต่อๆกันว่า He is the rock star, he will rock everywhere he goes แล้วคำพูดไม่กี่คำสั้นๆก็ยังคงดังก้องอยู่ทุกครั้งที่ผมตื่นนอน มันคือคุณค่าในตัวผมที่ไม่ว่าจะไปอยู่ที่ไหนก็จะทำให้ทุกคนมีความสุข ในวันนั้นเองหัวหน้าบอกผมว่า รู้ไหมว่าจริงๆพวกเราเตรียมยกตำแหน่ง architect ให้กับผม มันเป็นตำแหน่งที่ผมฝันมาตลอด แต่ผมต้องทิ้งมันไปเพราะการตัดสินใจครั้งนั้น ผมนั่งร้องไห้เหมือนเด็กอยู่หลายวันต่อหน้าเพื่อนๆ
การลาออกครั้งแรกของผม จากที่ไม่เคยสนใจใครเพราะอยู่ได้ด้วยคนเดียวมาตลอดก็เริ่มมองสิ่งรอบข้างในวันที่ไม่เหลือใคร ผมทำงานบริษัทเดียวมา 6 ปี ทั้งเพื่อนสนิท คนรู้จัก หรือแม้กระทั้งความฝันมันก็อยู่ในนั้นทั้งหมด มันไม่ง่ายเลยที่จะเริ่มต้นทุกอย่างใหม่จาก 0 สิ่งเดียวที่ผมคิดคือผมอยากเติบโต อยากแข็งแกร่งขึ้นและเป็นที่พึ่งพาของคนอื่นได้
งานที่ปรึกษา
ผมกลับมารับงานที่ประเทศไทย ในที่สุดผมก็ได้เป็นที่ปรึกษา แต่เสียดายที่ประเทศไทยไม่มีงานที่ผมถนัดหรือเคยทำมาก่อน ด้วยขนาดของธุรกิจและขนาดของข้อมูลนั้นเล็กกว่ามาก โปรเจคแรกแรกผมถูกส่งไปอยู่กัมพูชา ลองคิดดูสิ จากอเมริกาไปกัมพูชามันต่างกันแค่ไหน จากที่เคยนั่งเครื่องบิน business class มีรถลีมูซีนไปส่งโรงแรมห้าดาว กลายเป็นนั่ง low cost airline แล้วนั่งหลังรถกระบะเข้าโรงแรมในย่านบันเทิง
โปรเจคในบริษัทใหญ่ๆฝั่งสหรัฐอเมริกามักจะมีเงินทองเหลือเฟือในการวาง scope timeline และ resource ที่เป็นที่ปรึษาทีมเก่งๆ แต่กับบริษัทเล็กๆในเขมร ทุกอย่างมันช่างตรงกันข้าม โปรเจค ที่ทำหลายปีถูกบีบเหลือ ไม่กี่เดือน ในปริมาณคนที่จำกัดและต้องเรียนรู้ทุกอย่างด้วยตัวเอง
การสร้างความน่าเชื่อถือและมิตรภาพใหม่นั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ผมมองเห็นโลกกว้างขึ้นด้วยมุมมองและประสบการณ์ที่แลกมาด้วยน้ำตา ผมจำภาพที่ผมนั่งดื่มเบียร์กับเพื่อนๆที่ดาดฟ้าโรงแรม นี่เรากำลังทำอะไรอยู่นะ...ผมถามตัวเอง จากคนที่ทุกคนในบริษัทต่างให้ความไว้ใจ จากคนที่ทำอะไรเป็นทุกอย่างในงานเดิม กลับกลายเป็นคนทำอะไรไม่เป็นเลยในสภาพแวดล้อมใหม่ ผมยังต้องเรียนรู้อะไรอีกมาก
ต่อ.....
อัพเดทเรื่องราวและความฝันในวันที่ถึงวัย 30
ปัจจุบันผมทำงานให้กับบริษัทที่ปรึกษาแห่งหนึ่ง วันนี้เป็นที่ผมอายุครบ 30 ปีพอดี ผมอยากจะแชร์เรื่องราวที่ผ่านมาในชีวิตด้านการงาน หวังว่าเรื่องราวและบทเรียนในชีวิตของผมจะเป็นประโยชน์ต่อคนที่อยากเดินทางในสายอาชีพนี้
เคยบ้างไหมที่ฝันไปไกลเกินตัว...
เรื่องราวของผมเริ่มจากในสมัยมัธยม ผมไม่ได้เป็นคนเรียนเก่งอะไร แต่ผมฝันอยากเป็นตัวแทนประเทศไปแข่งคอมพิวเตอร์โอลิมปิค
เหตุการที่ผมจำได้ไม่ลืมคือ วันที่โรงเรียนกวดวิชาเรียกผู้ปกครองไปคุยและคืนเงินค่าเรียนพิเศษให้บอกว่าเธอขี้เกียดและหัวช้าเกินไปสำหรับชั้นเรียนพิเศษของเขา
ผมจบม.ปลายด้วยเกรดฟิสิกส์ 1.5 ถึงแม้ผมก็สามารถสอบติดค่าย สอวน. (ค่ายโอลิมปิควิชาการ) ได้ตอนม. 4 ซึ่งจริงๆมันก็สายไปแล้วเพราะบางคนสอบติดค่ายนี้ตั้งแต่ ม.1 และฝึกเขียนโปรแกรมมาก่อนหน้า 3-4 ปี
แต่พอนึกย้อนกลับไป ค่าย สอวน. เหมือนเป็นบทเรียนชีวิตแรกของผม ซึ่งจากเดิมเป็นคนไม่สนใจและไม่กล้าทำอะไร การเป็นตัวแทนประเทศไปแข่งโอลิมปิควิชาการเหมือนเป็นเป้าหมายแรกในชีวิตของผม เมื่อมีเป้าหมายแล้วทุกอย่างก็เหลือแค่มุ่งไปข้างหน้า ผมซื้อหนังสือเขียนโปรแกรมทุกเล่มที่มีในตลาด หัดอ่านหนังสือ text book มหาลัยและฝึกเขียนโปรแกรมยากๆในเวปไซต์ต่างประเทศเกือบเที่ยงคืนทุกวัน ภายในเวลาไม่กี่เดือน จากผู้เข้าสมัครพันกว่าคนในภาคกลาง ผมเป็น 20 คนสุดท้าย การอยู่ในค่ายทำให้ผมเจอสิ่งที่ผมรัก ผมตั้งใจทำทุกอย่างก็แค่เพื่อไม่ให้เสียสิ่งเหล่านั้นไป
แต่สมหวังก็มีผิดหวัง สุดท้ายผมก็ตกรอบอยู่ดี ภาพที่ผมจำได้ไม่ลืมคือวันประกาศผลสอบที่ ม.สุรนารี ที่เรากำลังนั่งรถกลับ กรุงเทพ ตอนนั้นเพิ่งประกาศผลพอดีว่าผมไม่ผ่านเข้ารอบต่อไป และความพยายามที่ทำมาก็ศูนย์เปล่า แต่ผมก็ตัดสินใจเอา textbook เขียนโปรแกรมมานั่งอ่านต่อทั้งน้ำตาอยู่ดี ผมหยุดร้องไห้ไม่ได้ และผมก็หยุดอ่านมันไม่ได้เช่นกัน ผมทำทุกอย่างด้วยความรักและถึงแม้ว่ามันจะไม่มีวันประสบความสำเร็จก็ตาม ผมไม่เคยคิดที่จะยอมแพ้ พื้นฐานชีวิตผมมันถูกสร้างมาแบบนั้น ...
ชีวิตมหาลัย
ผมสอบเข้าคณะวิศวะ เพื่อที่จะได้อยู่กับเพื่อนๆที่ผมสนิทจากค่ายและคนที่ผมรัก ความฝันใหม่ในช่วงเรียนมหาวิทยาลัยคือการเป็น web developer ผมเริ่มเขียนเวปมาตั้งแต่สมัยประถม ทุกครั้งที่ผมติดอะไรก็ตาม ผมก็จะ google ไปเรื่อยๆ จนไปถึงขอบของเทคโนโลยีในสมัยนั้นที่ internet ไม่มีคำตอบให้ ผมเริ่มรับงาน freelance หารายได้ได้หลายหมื่นบาทต่อเดือน เริ่มลองทำเวปไซต์และคิดจะทำธุรกิจเป็นของตัวเอง แต่การทำธุรกิจไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะเรามักไม่คิดถึง cost และ เวลา ต่างๆ ให้รอบคอบ หลายโปรเจคผมไม่สามารถตัด scope ให้จบได้ บางโปรเจคขายถูกแต่ทำแล้วบานปลาย บางโปรเจคเรียกแพงไปก็ขายไม่ได้ ความรู้อย่างเดียวไม่พอถ้ามันแก้ปัญหาทางธุรกิจไม่ได้ และการแก้ปัญหาทางธุรกิจอย่างเดียวก็ไม่พอ จะต้องขายและบริหารมันให้ได้
ผมเริ่มสนใจ skill ในการบริหารเพราะรู้ว่ามีความรู้ด้านการเจรจาและการบริหารไม่พอ ในช่วงเวลาก่อนจบการศึกษา มีเจ้าของบริษัทหลายแห่งมาให้คำแนะนำที่มหาวิทยาลัย ทั้ง start up, เวปไซต์ที่ดังหลายแห่งในประเทศไทย แล้วในวันนั้นเองผมก็ได้รู้จักอาชีพ “ที่ปรึกษา” เอาจริงๆ ผมไม่รู้หรอกว่าอาชีพที่ปรึกษามันคืออะไร แต่ผมรู้สึกว่ามันดู cool ดี
ผมสมัครงานบริษัทที่ปรึกษาทุกที่ แต่เชื่อไหมว่า ไม่มีที่ไหนรับผมเลย บริษัทแรกคัดเอาแต่เด็กที่สอบได้แต่เกียรตินิยมอันดับหนึ่ง บริษัทที่สองบทสัมภาษณ์เป็นภาษาอังกฤษเกี่ยวกับประสบการณ์การเจรจาต่อรองกับผุ้ที่มีอำนาจสูงกว่าหรือการประสบกาณ์ในการบริหารโปรเจคในสถานการณ์คับขัน ขณะนั้นผมอยู่ ปี 4 ทั้งประสบการณ์ ภาษา วิธีการสื่อสาร และการควบคุมอารมณ์ไม่ให้ตื่นเต้นนี่ทำไม่ได้เลยซักอย่าง ผมถูกตั้งคำถามให้จนมุม และถูกไล่ออกจากห้องเหมือนคนไม่มีค่าพอที่จะมีเวลาคุยด้วย ผมโกรธ เสียความมั่นใจ และคิดว่าคงไม่ได้มีโอกาสทำอาชีพนี้จริงๆ
โชคดีที่ในเปิดรับสมัครงานในมหาลัย ผมฝาก resume ให้เธอคนนั้นไว้ และได้มีโอกาสสัมภาษณ์กับบริษัทข้ามชาติแห่งนึงด้วยกัน เอาจริงๆ ผมไม่เคยคิดว่าจะได้เข้าทำงานที่บริษัทนี้เลยเพราะเป็นบริษัทที่เข้ายากที่สุดบริษัทหนึ่งในสายงาน วันที่ไปสอบสัมภาษณ์ โชคดีที่ผมเดินผ่านห้างสีลมคอมเพล็กซ์เลยไปซื้อไทด์ สูท ในห้าง ขอให้พนักงานรีดให้ เพราะบทเรียนกับตอนสัมภาษณ์งานกับบริษัทที่ปรึษาสอนความเป็น professional ในการสัมภาษณ์งาน ประสบการณ์ที่ล้มเหลวในวันสอบสัมภาษณ์วันนั้น ทำให้ผมสามารถ handle การสัมภาษณ์รอบนั้นได้ ทำให้การคุยหลังจากนั้นเป็นเรื่องง่าย และโชคดีที่วันสอบสัมภาษณ์รอบที่สองผมป่วยกระทันหันแต่บริษัทโทรมาว่าไม่เป็นไร เรารับคุณแล้ว ผมสอบสัมภาษณ์เพียงรอบเดียวเทียบกับเพื่อนรุ่นเดียวกันที่สัมภาษณ์ 2-3 รอบ บางทีการล้มเหลวหลายๆครั้งก็สอนให้เราเรียนรู้ ถึงแม้จะล้มเหลวแต่บทเรียนเหล่านั้นมีค่าต่อเราในอนาคตอย่างแน่นอน
บริษัทแรก
ผมได้เริ่มงานในทีม data analytics ซึ่งมีคนไทยแค่ 5 คนในตอนนั้น และเป็นทีมที่ทุกคนในบริษัทอยากเข้ามากที่สุดทีมหนึ่ง งานแรกของผมในบริษัทข้ามชาติแห่งนี้คืองานดูแล globla data warehouse ของระบบบัญชี ซึ่ง skill การเขียนโปรแกรมซับซ้อนที่เรียนมาผมแทบไม่ได้ใช้เลยและจริงๆงานของผมก็ไม่ได้เกี่ยวกับชื่อทีมเลย ความยากของระบบนี้ไม่ได้เกี่ยวกับเขียนโปรแกรม แต่เวลาเดินไปคุยกับผู้ใช้งานเค้าจะพูดแต่ศัพท์เทคนิคทางด้าน SAP และบัญชี ผมจำได้วันที่ผมนั่งหาข้อมูลถึงตีสองว่ามันผิดตรงไหนเพราะไม่เข้าใจระบบเอกสารในบัญชี ซึ่งถ้าคนทำระบบนี้จะรู้ว่ามันเป็นปลายทางของทุกอย่างในบริษัทแล้ว การที่จะเข้าใจจะเข้าใจมันได้คือต้องเข้าใจทุกกิจกรรมทางธุรกิจในบริษัท และทุกระบบที่ข้อมูลเชื่อมถึงกัน ผมตั้งใจว่าผมจะต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญระบบนี้ให้ได้ ถึงแม้ไม่รู้ว่าจะรู้เรื่องพวกนี้ไปทำไมผมก็คิดแค่ว่าอยากจะใช้เวลาให้คุ้มค่าที่สุด อีกอย่าง ผมไม่ชอบความไม่เข้าใจ
เพื่อสิ่งนั้น ผมใช้เวลา 2 ปีเรียน MBA นอกเวลางาน ทั้งทำงานไปด้วย ทั้งเรียนไปด้วย ผมต้องปรับเวลาชีวิตใหม่มาเช่าหอข้างๆบริษัทและมหาวิทยาลัย (โชคดีที่มันอยู่ติดๆกัน) ถึงช่วงนั้นจะเป็นช่วงเวลาที่เหนื่อยและยากลำบาก แต่การที่มีเพื่อนร่วมหอดีๆ และเพื่อนเรียนด้วยกันนั้นเป็นช่วงเวลาที่สนุกและมีค่ามากๆ ถึงแม้ที่มีหลายครั้งที่ผมอยากจะถอดใจเลิกเรียน มีวันนึงที่อาจารย์ที่ปรึษาเรียกไปคุยและบอกว่าหัวข้อวิจัยที่เริ่มทำมาแล้วหลายเดือนนั้นไม่ผ่านซึ่งเป็นวันเดียวกันที่ผมจะต้องบินไปทำงานต่างประเทศพอดี ผมได้แต่นั่งเอามือปิดหน้าที่กำลังร้องไห้อยู่ในเลาจ์สนามบิน คิดหัวข้อวิจัยใหม่ และนัดสัมภาษณ์งานวิจัยจากต่างประเทศ กลับมาสัมภาษณ์ แล้วก็บินไปทำงานใหม่หลายรอบกว่าจะผ่านมันมาได้
และแล้ว มันก็มาถึงวันที่ผมมีประสบกาณ์พอที่จะมองเห็นข้อดีและข้อเสียของระบบของบริษัท ด้วยความรู้ในห้องเรียน รวมกับระบบ SAP และข้อมูลบัญชีทั้งหมดในบริษัท ผมสามารถบอกได้ว่าระบบนี้มันไม่ดีอย่างไร ในวันที่ผมสามารถเขียนอีเมล์ที่ได้รับการยอมรับจากหัวหน้าทั่วโลก และวันที่มีอีเมล์หนึ่งส่งมาว่าโปรเจคหน้านายไปอเมริกานะ....
สำหรับเด็กน้อยคนนึง การได้เดินทางไปถึงอเมริกามันเป็นเรื่องยิ่งใหญ่มาก ผมได้มีโอกาสทำงานกับทีมระดับโลกและคนระดับแนวหน้าของวงการ สำหรับงาน data analytics นั้นผมเป็นไม่กี่คนในบริษัท ที่เข้าใจ techncial architecture (ตั้งแต่สมัยที่รับทำเวปไซต์) เข้าใจข้อมูลในระบบ SAP (จากงาน data warehouse ที่เคยทำมา) เขียนโปรแกรมวิเคราะห์ข้อมูลที่มีความซับซ้อนได้ (จากสมัยพยายามสอบคอมพิวเตอร์โอลิมปิค) และสำคัญที่สุดคือเข้าใจธุรกิจ (จากการเรียน MBA) ดังนั้นไม่ว่าคำถามจะมาจากแผนกอะไร เรื่องอะไร ผมสามารถเชื่อมโยงและหาคำตอบที่ดีให้ได้ เมื่อได้รับความไว้วางใจก็เริ่มได้รับงานยากขึ้นเรื่อยๆ จนถึงจุดที่ผมคุมทีมที่ปรึกษาวาง architecture ของ data integration layer ของทั้งบริษัทที่มีกว่า 100 system ตอนนั้นผมอายุ 26 เพื่อนร่วมทีมอายุต่ำสุดคือ 35 ตอนนั้นผมรู้สึกว่าทุกวันที่ตื่นเช้ามาทำงานคือวันที่มีความสุขที่สุดของผมที่ได้ทำงานกับเพื่อนที่ไว้ใจได้ในสภาพแวดล้อมที่ดี
การลาออก
เราทำทุกวันของเราให้ดีที่สุด เพื่อสุดท้ายแล้วเราจะไม่เสียใจในวันที่จากลา
ด้วยหลายๆเหตุผลผมตัดสินใจลาออก ถึงแม้มันจะเป็นเรื่องตลกร้ายที่เล่าให้ใครก็ไม่มีใครเชื่อ การลาออกของผมครั้งแรกเต็มไปด้วยน้ำตา ภาพที่ผมไม่ลืมคือ วันที่หัวหน้าผมเรียกไปคุย เขาไม่เคยต่อว่าที่ผมจะทิ้งตำแหน่งที่สำคัญไป แค่พูดกับผมต่อหน้าเพื่อนที่ทำงานว่า here is our best BI (Business Intelligence) guy แล้วเพื่อนๆพูดต่อๆกันว่า He is the rock star, he will rock everywhere he goes แล้วคำพูดไม่กี่คำสั้นๆก็ยังคงดังก้องอยู่ทุกครั้งที่ผมตื่นนอน มันคือคุณค่าในตัวผมที่ไม่ว่าจะไปอยู่ที่ไหนก็จะทำให้ทุกคนมีความสุข ในวันนั้นเองหัวหน้าบอกผมว่า รู้ไหมว่าจริงๆพวกเราเตรียมยกตำแหน่ง architect ให้กับผม มันเป็นตำแหน่งที่ผมฝันมาตลอด แต่ผมต้องทิ้งมันไปเพราะการตัดสินใจครั้งนั้น ผมนั่งร้องไห้เหมือนเด็กอยู่หลายวันต่อหน้าเพื่อนๆ
การลาออกครั้งแรกของผม จากที่ไม่เคยสนใจใครเพราะอยู่ได้ด้วยคนเดียวมาตลอดก็เริ่มมองสิ่งรอบข้างในวันที่ไม่เหลือใคร ผมทำงานบริษัทเดียวมา 6 ปี ทั้งเพื่อนสนิท คนรู้จัก หรือแม้กระทั้งความฝันมันก็อยู่ในนั้นทั้งหมด มันไม่ง่ายเลยที่จะเริ่มต้นทุกอย่างใหม่จาก 0 สิ่งเดียวที่ผมคิดคือผมอยากเติบโต อยากแข็งแกร่งขึ้นและเป็นที่พึ่งพาของคนอื่นได้
งานที่ปรึกษา
ผมกลับมารับงานที่ประเทศไทย ในที่สุดผมก็ได้เป็นที่ปรึกษา แต่เสียดายที่ประเทศไทยไม่มีงานที่ผมถนัดหรือเคยทำมาก่อน ด้วยขนาดของธุรกิจและขนาดของข้อมูลนั้นเล็กกว่ามาก โปรเจคแรกแรกผมถูกส่งไปอยู่กัมพูชา ลองคิดดูสิ จากอเมริกาไปกัมพูชามันต่างกันแค่ไหน จากที่เคยนั่งเครื่องบิน business class มีรถลีมูซีนไปส่งโรงแรมห้าดาว กลายเป็นนั่ง low cost airline แล้วนั่งหลังรถกระบะเข้าโรงแรมในย่านบันเทิง
โปรเจคในบริษัทใหญ่ๆฝั่งสหรัฐอเมริกามักจะมีเงินทองเหลือเฟือในการวาง scope timeline และ resource ที่เป็นที่ปรึษาทีมเก่งๆ แต่กับบริษัทเล็กๆในเขมร ทุกอย่างมันช่างตรงกันข้าม โปรเจค ที่ทำหลายปีถูกบีบเหลือ ไม่กี่เดือน ในปริมาณคนที่จำกัดและต้องเรียนรู้ทุกอย่างด้วยตัวเอง
การสร้างความน่าเชื่อถือและมิตรภาพใหม่นั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ผมมองเห็นโลกกว้างขึ้นด้วยมุมมองและประสบการณ์ที่แลกมาด้วยน้ำตา ผมจำภาพที่ผมนั่งดื่มเบียร์กับเพื่อนๆที่ดาดฟ้าโรงแรม นี่เรากำลังทำอะไรอยู่นะ...ผมถามตัวเอง จากคนที่ทุกคนในบริษัทต่างให้ความไว้ใจ จากคนที่ทำอะไรเป็นทุกอย่างในงานเดิม กลับกลายเป็นคนทำอะไรไม่เป็นเลยในสภาพแวดล้อมใหม่ ผมยังต้องเรียนรู้อะไรอีกมาก
ต่อ.....