ป.ป.ส.เผยผลตรวจสารเคมี 1.2 ตัน พบเคตามีนปน 1.2 กรัม
https://news.thaipbs.or.th/content/299194
สำนักงาน ป.ป.ส.ยืนยันผลตรวจสารเคมีในโกดังที่ จ.ฉะเชิงเทรา กว่า 1.2 ตัน พบมีเคตามีนเจือปนเพียง 1.2 กรัม ยืนยันยังดำเนินคดีข้อหาครอบครองเพื่อจำหน่ายได้ ไม่ได้กลั่นแกล้งใคร
วันนี้(15 ธ.ค.63) นาย
วิชัย ไชยมงคล เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) พร้อมด้วยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันแถลงผลการตรวจสอบของกลางที่พบในโกดังแห่งหนึ่งใน จ.ฉะเชิงเทรา น้ำหนักรวมกว่า 12,000 กก. หลังผลการตรวจเบื้องต้นพบว่าเป็นเคตามีนและบางส่วนเป็นสารเคมีชนิดอื่น
นาย
วิชัย เปิดเผยว่า ก่อนที่จะเข้าไปตรวจค้นในโกดังดังกล่าวได้รับการประสานงานมาจากทางการไต้หวันเมื่อปลายเดือน ต.ค.ว่า พบยาเสพติดชนิดเคตามีนจำนวน 12 กระสอบ น้ำหนักประมาณ 300 กก.โดยที่กระสอบระบุว่า เป็นแคลเซียมคาร์บอเนต จากนั้นได้สืบสวนเส้นทางจนพบว่ายาเสพติดทั้งหมดส่งมาจากประเทศไทย โดยส่งมาจากโกดังที่เข้าไปตรวจสอบเมื่อเข้าไปตรวจสอบครั้งแรก เจ้าหน้าที่พบกระสอบบรรจุสารเคมีวางแบ่งเป็น 4 กอง โดยกองแรกจำนวน 66 กระสอบ น้ำหนักรวม 1,664 กก. จุดที่ 2 จำนวน 200 กระสอบ น้ำหนักรวม 5,109 กก. และจุดที่ 3 จำนวน 200 กระสอบ น้ำหนัก 5,020 กก.โดยผลการตรวจทั้ง 3 กอง นี้พบว่าภายในบรรจุสารเคมีที่ชื่อว่า ไตรโซเดียมฟอสเฟต ไม่พบยาเสพติด
ส่วนจุดที่ 4 มีของกลางที่ต้องตรวจสอบรวม 27 กระสอบ และพบว่ามี 12 กระสอบ ปากถุงมีร่องรอยการเปิดอยู่ และตรวจพบสารเคมีที่ชื่อว่า ไตรโซเดียมฟอสเฟส 15 กระสอบ ส่วนอีก 12 กระสอบ พบสารเคมี แคลเซียมคาร์บอเนต และยังพบยาเสพติดชนิดเคตามีนเจือปนอยู่ด้วยน้ำหนักรวม 1.2 ก.
นาย
วิชัย ยังระบุว่า จากการนำพยานหลักฐานจากประเทศไต้หวันมาเปรียบเทียบก็พบว่า ผู้ที่ลักลอบนำเคตามีนส่งไปไต้หวันมีการเปลี่ยนกระสอบที่โกดังนี้ก่อนส่งทำให้มียาเสพติดเจือปนอยู่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่สามารถดำเนินคดีกับผู้เกี่ยวข้องได้ เนื่องจากถือว่าเป็นการครอบครองยาเสพติดเพื่อจำหน่ายเพราะมีน้ำหนักของกลางเกิน 0.5 ก.
อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมายังไม่เคยพบการลักลอบนำยาเสพติดปะปนกับสารเคมีชนิดอื่นส่งออกไปยังต่างประเทศ เพราะที่ผ่านมาพบเจอเฉพาะการซุกซ่อนในสิ่งของชนิดอื่น หรือ พืชผลทางการเกษตร แต่ในครั้งนี้ทำให้เป็นบทเรียนในการตรวจสอบยาเสพติด โดนเฉพาะตามแนวชายแดนหากพบว่า มีสารเคมีชนิดดังกล่าวลักลอบเข้ามาก็จะต้องนำตรวจทางห้องปฏิบัติการก่อน ส่วนสารเคมีทั้ง 2 ชนิดยืนยันว่า ไม่ใช่สารตั้งต้นผลิตยาเสพติดแต่นำมาใช้ในอุตสาหกรรมทั่วไป
ขณะที่ พล.ต.ต.
ชาตรี ไพศาลศิลป์ ที่ปรึกษาสำนักงาน ป.ป.ส. เปิดเผยว่า การดำเนินคดีหลังจากนี้หลังจากที่สำนักงาน ป.ป.ส.ได้ร้องทุกข์ให้กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด ดำเนินคดีและสืบสวนผู้ที่ลักลอบนำยาเสพติดส่งออกไปไต้หวันแล้ว ซึ่งเป็นคดีระหว่างประเทศที่ต้องให้สำนักงานอัยการสูงสุดมาร่วมทำคดี และอีกคดีคือการครอบครองยาเสพติดเพื่อจำหน่าย หลังผลการตรวจสอบทั้งหมดพบเคตามีน 1.2 ก.
พล.ต.ต.
ชาตรี ยืนยันว่า ผลการตรวจสอบที่พบแม้จะมีเพียงยาเสพติดเพียงเล็กน้อยจากของการที่ยึดไว้ตรวจสอบกว่า 10,000 กก.ก็ไม่ได้เป็นการกลั่นแกล้งผู้ต้องหา เพราะการตรวจสอบเป็นไปด้วยความละเอียดแล้ว ส่วนที่เป็นการเจอปนของสารเสพติดนั้น น่าจะเป็นผลมาจากการสับเปลี่ยนกระสอบก่อนที่จะขนส่งออกไป
“วิสาร”ยันซักฟอกเพื่อฟ้องประชาชน
https://www.innnews.co.th/politics/news_843755/
"วิสาร"ยันซักฟอกเพื่อฟ้องประชาชน "ประยุทธ์" สร้างความเสียหายกับประเทศมหาศาลแค่ไหน
นาย
วิสาร เตชะธีราวัฒน์ ส.ส.เชียงราย พรรคเพื่อไทย กล่าวถึงการเตรียมเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลในต้นปี 2564 ของพรรคร่วมฝ่ายค้าน ว่ามีการแบ่งหน้าที่กันทำรวมทั้งมีการรวบรวมข้อมูลที่มีการทุจริตของรัฐบาล เพื่อแสดงให้ประชาชนเห็นถึงความไม่ชอบมาพากลและความฉ้อฉลของรัฐบาล การอภิปรายครั้งนี้พรรคร่วมฝ่ายค้านจะชี้ให้เห็นว่าตลอด 6 ปีของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี สร้างความเสียหายกับประเทศมหาศาลแค่ๆไหน
นอกจากนี้ การทำงานของพล.อ.
ประยุทธ์ สร้างวิกฤติประเทศ และการตรวจสอบทุจริตรัฐบาลนี้ยากมาก การอภิปรายครั้งนี้จะชัดให้เห็นถึงการทำงานที่ผิดพลาดของรัฐบาล การบริหารจัดการที่ผิดพลาดส่งผลให้ประเทศเสียหาย รวมทั้งไม่ยอมรับการตรวจสอบจากฝ่ายการเมือง องค์กรตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐไม่ทำหน้าที่ตรวจสอบ มีการใช้อำนาจนอกระบบไปจัดการกับหลักฐาน ดังนั้นพรรคฝ่ายค้านจึงต้องใช้เวทีสภาฟ้องประชาชน เพื่อให้ประชาชนร่วมตรวจสอบทุจริตของรัฐบาล
ส.ว.โวยตั้งกระทู้ถาม ‘จุรินทร์’ ปมทุจริตถุงมือยาง 2 ครั้งแต่ไม่มาสักครั้ง
https://www.matichon.co.th/politics/news_2485595
ส.ว.โวยตั้งกระทู้ถาม ‘จุรินทร์’ ปมทุจริตถุงมือยาง 2 ครั้งแต่ไม่มาสักครั้ง
เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 15 ธันวาคม ที่รัฐสภา ในการประชุมวุฒิสภา มีนาย
พรเพชร วิชิตชลชัย ประธานวุฒิสภา เป็นประธานการประชุม โดยช่วงเปิดให้สมาชิกหารือ โดยนาย
เฉลิมชัย เฟื่องคอน ส.ว. หารือว่า ขอเรียกร้องให้ พล.อ.
ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และนาย
จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กรณีการตรวจสอบการจัดซื้อถุงมือยางป้องกันไวรัส จำนวน 500 ล้านกล่อง วงเงิน 1.12 แสนล้านบาท ขององค์การคลังสินค้า (อคส.) ที่พบว่าดำเนินการไม่ถูกต้องตามพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) จัดซื้อจัดจ้างและบริหารงานพัสดุภาครัฐ พ.ศ.2560 รวมถึงการสอบสวน ตรวจสอบผู้ดำเนินการอนุมัติจัดซื้อถุงมือยางกับบริษัทเอกชน โดยไม่ผ่านบอร์ดองค์การคลังสินค้าและอัยการสูงสุดยังไม่ได้ตรวจสัญญาการจัดซื้อ
“
ผมได้ตั้งกระทู้ถาม รมว.พาณิชย์ถึง 2 ครั้งแต่ไม่มาสักครั้ง ดังนั้น ขอหารือเพื่อฝากไปยังผู้บริหารรัฐบาลและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ถึงการตรวจสอบกรณีที่เกิดขึ้น ทั้งการอนุมัติเงินหมุนเวียนของ อคส. จำนวน 2,000 ล้านบาท เพื่อจ่ายเป็นค่ามัดจำสินค้าโดยไม่ผ่านบอร์ดองค์การคลังสินค้า และการติดตามเงินจำนวนดังกล่าวคืนจากบริษัทเอกชน หรือการติดตามผ่านการยึดทรัพย์ผู้อำนวยการสำนักบริหารกลาง ในฐานะรักษาการผู้อำนวยการคลังสินค้า หรือดำเนินการฟ้องร้อง เอาผิดทางวินัยกับผู้ที่เกี่ยวข้องหรือไม่” นาย
เฉลิมชัยกล่าว
JJNY : ป.ป.ส.เผยผลตรวจสารเคมี/วิสารยันซักฟอกเพื่อฟ้องปชช./ส.ว.โวยถามจุรินทร์ปมถุงมือยาง/เอนกทัวร์ลง/บก.ลายจุดชี้เพ้อเจ้อ
https://news.thaipbs.or.th/content/299194
สำนักงาน ป.ป.ส.ยืนยันผลตรวจสารเคมีในโกดังที่ จ.ฉะเชิงเทรา กว่า 1.2 ตัน พบมีเคตามีนเจือปนเพียง 1.2 กรัม ยืนยันยังดำเนินคดีข้อหาครอบครองเพื่อจำหน่ายได้ ไม่ได้กลั่นแกล้งใคร
วันนี้(15 ธ.ค.63) นายวิชัย ไชยมงคล เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) พร้อมด้วยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันแถลงผลการตรวจสอบของกลางที่พบในโกดังแห่งหนึ่งใน จ.ฉะเชิงเทรา น้ำหนักรวมกว่า 12,000 กก. หลังผลการตรวจเบื้องต้นพบว่าเป็นเคตามีนและบางส่วนเป็นสารเคมีชนิดอื่น
นายวิชัย เปิดเผยว่า ก่อนที่จะเข้าไปตรวจค้นในโกดังดังกล่าวได้รับการประสานงานมาจากทางการไต้หวันเมื่อปลายเดือน ต.ค.ว่า พบยาเสพติดชนิดเคตามีนจำนวน 12 กระสอบ น้ำหนักประมาณ 300 กก.โดยที่กระสอบระบุว่า เป็นแคลเซียมคาร์บอเนต จากนั้นได้สืบสวนเส้นทางจนพบว่ายาเสพติดทั้งหมดส่งมาจากประเทศไทย โดยส่งมาจากโกดังที่เข้าไปตรวจสอบเมื่อเข้าไปตรวจสอบครั้งแรก เจ้าหน้าที่พบกระสอบบรรจุสารเคมีวางแบ่งเป็น 4 กอง โดยกองแรกจำนวน 66 กระสอบ น้ำหนักรวม 1,664 กก. จุดที่ 2 จำนวน 200 กระสอบ น้ำหนักรวม 5,109 กก. และจุดที่ 3 จำนวน 200 กระสอบ น้ำหนัก 5,020 กก.โดยผลการตรวจทั้ง 3 กอง นี้พบว่าภายในบรรจุสารเคมีที่ชื่อว่า ไตรโซเดียมฟอสเฟต ไม่พบยาเสพติด
ส่วนจุดที่ 4 มีของกลางที่ต้องตรวจสอบรวม 27 กระสอบ และพบว่ามี 12 กระสอบ ปากถุงมีร่องรอยการเปิดอยู่ และตรวจพบสารเคมีที่ชื่อว่า ไตรโซเดียมฟอสเฟส 15 กระสอบ ส่วนอีก 12 กระสอบ พบสารเคมี แคลเซียมคาร์บอเนต และยังพบยาเสพติดชนิดเคตามีนเจือปนอยู่ด้วยน้ำหนักรวม 1.2 ก.
นายวิชัย ยังระบุว่า จากการนำพยานหลักฐานจากประเทศไต้หวันมาเปรียบเทียบก็พบว่า ผู้ที่ลักลอบนำเคตามีนส่งไปไต้หวันมีการเปลี่ยนกระสอบที่โกดังนี้ก่อนส่งทำให้มียาเสพติดเจือปนอยู่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่สามารถดำเนินคดีกับผู้เกี่ยวข้องได้ เนื่องจากถือว่าเป็นการครอบครองยาเสพติดเพื่อจำหน่ายเพราะมีน้ำหนักของกลางเกิน 0.5 ก.
อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมายังไม่เคยพบการลักลอบนำยาเสพติดปะปนกับสารเคมีชนิดอื่นส่งออกไปยังต่างประเทศ เพราะที่ผ่านมาพบเจอเฉพาะการซุกซ่อนในสิ่งของชนิดอื่น หรือ พืชผลทางการเกษตร แต่ในครั้งนี้ทำให้เป็นบทเรียนในการตรวจสอบยาเสพติด โดนเฉพาะตามแนวชายแดนหากพบว่า มีสารเคมีชนิดดังกล่าวลักลอบเข้ามาก็จะต้องนำตรวจทางห้องปฏิบัติการก่อน ส่วนสารเคมีทั้ง 2 ชนิดยืนยันว่า ไม่ใช่สารตั้งต้นผลิตยาเสพติดแต่นำมาใช้ในอุตสาหกรรมทั่วไป
ขณะที่ พล.ต.ต.ชาตรี ไพศาลศิลป์ ที่ปรึกษาสำนักงาน ป.ป.ส. เปิดเผยว่า การดำเนินคดีหลังจากนี้หลังจากที่สำนักงาน ป.ป.ส.ได้ร้องทุกข์ให้กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด ดำเนินคดีและสืบสวนผู้ที่ลักลอบนำยาเสพติดส่งออกไปไต้หวันแล้ว ซึ่งเป็นคดีระหว่างประเทศที่ต้องให้สำนักงานอัยการสูงสุดมาร่วมทำคดี และอีกคดีคือการครอบครองยาเสพติดเพื่อจำหน่าย หลังผลการตรวจสอบทั้งหมดพบเคตามีน 1.2 ก.
พล.ต.ต.ชาตรี ยืนยันว่า ผลการตรวจสอบที่พบแม้จะมีเพียงยาเสพติดเพียงเล็กน้อยจากของการที่ยึดไว้ตรวจสอบกว่า 10,000 กก.ก็ไม่ได้เป็นการกลั่นแกล้งผู้ต้องหา เพราะการตรวจสอบเป็นไปด้วยความละเอียดแล้ว ส่วนที่เป็นการเจอปนของสารเสพติดนั้น น่าจะเป็นผลมาจากการสับเปลี่ยนกระสอบก่อนที่จะขนส่งออกไป
“วิสาร”ยันซักฟอกเพื่อฟ้องประชาชน
https://www.innnews.co.th/politics/news_843755/
"วิสาร"ยันซักฟอกเพื่อฟ้องประชาชน "ประยุทธ์" สร้างความเสียหายกับประเทศมหาศาลแค่ไหน
นายวิสาร เตชะธีราวัฒน์ ส.ส.เชียงราย พรรคเพื่อไทย กล่าวถึงการเตรียมเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลในต้นปี 2564 ของพรรคร่วมฝ่ายค้าน ว่ามีการแบ่งหน้าที่กันทำรวมทั้งมีการรวบรวมข้อมูลที่มีการทุจริตของรัฐบาล เพื่อแสดงให้ประชาชนเห็นถึงความไม่ชอบมาพากลและความฉ้อฉลของรัฐบาล การอภิปรายครั้งนี้พรรคร่วมฝ่ายค้านจะชี้ให้เห็นว่าตลอด 6 ปีของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี สร้างความเสียหายกับประเทศมหาศาลแค่ๆไหน
นอกจากนี้ การทำงานของพล.อ.ประยุทธ์ สร้างวิกฤติประเทศ และการตรวจสอบทุจริตรัฐบาลนี้ยากมาก การอภิปรายครั้งนี้จะชัดให้เห็นถึงการทำงานที่ผิดพลาดของรัฐบาล การบริหารจัดการที่ผิดพลาดส่งผลให้ประเทศเสียหาย รวมทั้งไม่ยอมรับการตรวจสอบจากฝ่ายการเมือง องค์กรตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐไม่ทำหน้าที่ตรวจสอบ มีการใช้อำนาจนอกระบบไปจัดการกับหลักฐาน ดังนั้นพรรคฝ่ายค้านจึงต้องใช้เวทีสภาฟ้องประชาชน เพื่อให้ประชาชนร่วมตรวจสอบทุจริตของรัฐบาล
ส.ว.โวยตั้งกระทู้ถาม ‘จุรินทร์’ ปมทุจริตถุงมือยาง 2 ครั้งแต่ไม่มาสักครั้ง
https://www.matichon.co.th/politics/news_2485595
ส.ว.โวยตั้งกระทู้ถาม ‘จุรินทร์’ ปมทุจริตถุงมือยาง 2 ครั้งแต่ไม่มาสักครั้ง
เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 15 ธันวาคม ที่รัฐสภา ในการประชุมวุฒิสภา มีนายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานวุฒิสภา เป็นประธานการประชุม โดยช่วงเปิดให้สมาชิกหารือ โดยนายเฉลิมชัย เฟื่องคอน ส.ว. หารือว่า ขอเรียกร้องให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กรณีการตรวจสอบการจัดซื้อถุงมือยางป้องกันไวรัส จำนวน 500 ล้านกล่อง วงเงิน 1.12 แสนล้านบาท ขององค์การคลังสินค้า (อคส.) ที่พบว่าดำเนินการไม่ถูกต้องตามพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) จัดซื้อจัดจ้างและบริหารงานพัสดุภาครัฐ พ.ศ.2560 รวมถึงการสอบสวน ตรวจสอบผู้ดำเนินการอนุมัติจัดซื้อถุงมือยางกับบริษัทเอกชน โดยไม่ผ่านบอร์ดองค์การคลังสินค้าและอัยการสูงสุดยังไม่ได้ตรวจสัญญาการจัดซื้อ
“ผมได้ตั้งกระทู้ถาม รมว.พาณิชย์ถึง 2 ครั้งแต่ไม่มาสักครั้ง ดังนั้น ขอหารือเพื่อฝากไปยังผู้บริหารรัฐบาลและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ถึงการตรวจสอบกรณีที่เกิดขึ้น ทั้งการอนุมัติเงินหมุนเวียนของ อคส. จำนวน 2,000 ล้านบาท เพื่อจ่ายเป็นค่ามัดจำสินค้าโดยไม่ผ่านบอร์ดองค์การคลังสินค้า และการติดตามเงินจำนวนดังกล่าวคืนจากบริษัทเอกชน หรือการติดตามผ่านการยึดทรัพย์ผู้อำนวยการสำนักบริหารกลาง ในฐานะรักษาการผู้อำนวยการคลังสินค้า หรือดำเนินการฟ้องร้อง เอาผิดทางวินัยกับผู้ที่เกี่ยวข้องหรือไม่” นายเฉลิมชัยกล่าว