*** ลัทธิบูชาจู๋ ในกรีก-โรมันโบราณ ***

ในประวัติศาสตร์มนุษย์อันยาวนานนั้น มีการให้ความหมายกับ "จู๋" เปลี่ยนไปเรื่อยๆ ชาวกรีก-โรมันไม่ได้เห็นจู๋เป็นของอุจาด พวกเขาแก้ผ้าเล่นกีฬา เดินโทงเทงเป็นเรื่องปกติ (คนที่เห็นจู๋เป็นของอุจาดคือพวกเราเองแหละครับ)
 
บทความนี้เป็นการรวบรวมเกร็ดเกี่ยวกับ "จู๋" ในอารยธรรมกรีก-โรมัน ซึ่งเป็นอารยธรรมที่รุ่งเรืองขึ้นมาแห่งแรกของมนุษย์
 
จะเขียนเรียงไปดังนี้:
เรื่องที่ 1 เรื่องอารยธรรมจู๋เล็ก
เรื่องที่ 2 วิธีร่วมเพศโดยไม่ต้องสอดใส่
เรื่องที่ 3 การยืดหนังจู๋
เรื่องที่ 4 เรื่องของจู๋ใหญ่
เรื่องที่ 5 ดิลโดโบราณ
เรื่องที่ 6 เรื่องลัทธิบูชาจู๋
 
ชาวโรมันโบราณมีลัทธิบูชาจู๋เรียกว่าลัทธิฟาสซินัส หรือฟาสซินุม พวกเขาเชื่อว่าจู๋เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่จะเสริมพลังแก่เพศชาย, ให้โชคลาภ, และคุ้มครองคนจากภัยอัยตราย แต่ก่อนจะพูดถึงลัทธิดังกล่าว จะพูดจู๋ในอารยธรรมกรีกซึ่งเป็นอารยธรรมที่เกิดก่อนโรมันก่อน



เรื่องที่ 1 "เรื่องอารยธรรมจู๋เล็ก"
 
หากท่านดูรูปปั้นวีรบุรุษหรือเทพบุตรกรีกนั้นมักจะพบมีว่า "จู๋เล็ก" เมื่อเปรียบเทียบกับปริมาณกล้าม
 
อธิบายว่าชาวกรีกโบราณมองตนเองเป็นผู้มีอารยธรรมกว่าคนอื่น จึงมีความพยายามอย่างมากที่จะแสดงอารยธรรมเหนือกว่าเผ่าป่าเถื่อนรอบ
 
สำหรับคนกรีกแล้ว "จู๋" เป็นอวัยวะที่ป่าเถื่อนและใกล้เคียงกับความเป็นสัตว์ป่ามากที่สุดของมนุษย์
 
ดังนั้นเรือนกายที่สวยงามในอุดมคติจึงควรมี "จู๋เล็ก" ไปด้วย เพื่อแสดงความมีอารยธรรม
 
อนึ่งชาวกรีกยังนับถือประเพณีชายรักชาย เพราะพวกเขาเชื่อว่าความรักหนุ่มสาวนั้นเป็นสัญชาตญานสัตว์ (อีกนั่นแหละ) เป็นความป่าเถื่อน ไม่เจริญ ความรักชาย-ชายที่ปราศจากการถูกบังคับโดยธรรมชาติต่างหากจึงจะเป็นรสนิยมของผู้มีอารยะ
 
...ในลักษณะนี้ชายกรีกโบราณเห็นจู๋เล็กๆ แล้วจึงมีอารมณ์ เหมือนชายจีนโบราณมีอารมณ์กับเท้าเล็กๆ และชายปัจจุบันมีอารมณ์นมใหญ่ๆ นั่นแหละ...


ภาพแนบคือรูปปั้นเฮอร์คิวลีสที่ "แมน" ที่สุดในประวัติศาสตร์กรีกแล้ว แต่ก็ยังจู๋เล็ก 

เรื่องที่ 2 "วิธีร่วมเพศโดยไม่ต้องสอดใส่"
 
จากความวัฒนธรรมความรักชาย-ชายของข้อที่แล้ว เชื่อว่าชายกรีกเป็นไบกันมากโดยวัฒนธรรม โดยแต่งงานกับผู้หญิงเพื่อมีลูก แต่มอบความรักที่แท้ให้กับชายด้วยกัน
 
ความสัมพันธ์ชาย-ชายในประเพณีกรีกหรือเรียกว่า Pederasty นั้น จะเป็นในรูปของการที่ชายอายุมาก มีความสัมพันธ์กับเด็กอายุน้อย โดยให้การสั่งสอนศิลปะวิทยาการ จนถึงคุณธรรมจริยธรรม มีความรักใคร่ผูกพันต่อกันอย่างลึกซึ้ง จนถึงมีเซ็กส์ (และเมื่อเด็กคนนั้นโตขึ้นเขาก็จะเปลี่ยนเป็นฝ่ายรุกกับเด็กน้อยคนต่อไป)
 
...อย่างไรก็ตามการร่วมเพศในที่นี้ไม่ใช่การร่วมเพศทางทวารหนัก...


ชาวกรีกโบราณเชื่อว่าการที่ผู้ชายถูกสอดใส่อวัยวะเพศทางทวารนั้นเป็นเรื่องเสื่อมเสีย
 
นิทานอีสปตอนหนึ่งกล่าวถึงซูสสร้างมนุษย์และใส่นิสัยลงไปทุกประการแต่ลืมใส่ความอาย พอนึกได้ซูสจึงสั่งให้ความอายเข้าสู่มนุษย์ทางทวารหนัก ความอายรู้สึกไม่ชอบเพราะเหม็น แต่ทนการกดดันไม่ได้จึงบอกแก่ซูสว่า "เออ... ฉันยอมอยู่ในทวารหนักแล้ว แต่จะออกไปทันทีหากมีความรักสอดแทรกเข้ามาในนี้" นับแต่นั้นการร่วมเพศทางทวารหนัก จึงเป็นการกระทำที่ปราศจากความอาย
 
ถามว่าหากไม่ทำทางทวารหนักแล้วชาวกรีกโบราณทำอย่างไร?
 
คำตอบคือเขาจะเอาอวัยวะเพศสอดไว้ระหว่างโคนขาของฝ่ายตรงข้าม แล้วชักเข้าออกจนเสร็จกิจ (ภาษากรีกเรียกสิ่งนี้ว่าไดเมอริเซียน)
 
พอเด็กผู้ชายโตขึ้น เขาสามารถเลิกมีความสัมพันธ์กับชายแก่ไปแต่งงานและถือว่าบรรลุสู่ภาวะผู้ใหญ่แล้ว การทำ Pederasty ในกรีกแต่ละแคว้นไม่เหมือนกัน ในเกาะครีตจะมีประเพณีให้ผู้ใหญ่แกล้งลักพาเด็กไปอยู่ด้วยกันสองเดือน จากนั้นมอบของขวัญให้ ชาวเอเธนส์ผู้รักเสรีก็มีประเพณีนี้ แต่ไม่ได้เป็นระเบียบทางการเหมือนครีต

สำหรับนครรัฐสปาร์ตานั้นเป็นแห่งเดียวที่กระทำ Pederasty กันอย่างเป็นทางการรัฐบาลจัดให้มี แต่ลักษณะโดยละเอียดเป็นอย่างไรนั้นแหล่งข้อมูลประวัติศาสตร์ให้การขัดกันไม่แน่ชัด จากที่อ่านหลายๆแหล่ง ข้อมูลส่วนใหญ่เอียงไปทางเป็นแต่เรื่องชายแก่รักเด็กหนุ่มทางใจเท่านั้น แต่ไม่ถึงกับไปเล่นโคนขา



เรื่องที่ 3 "การยืดหนังจู๋"
สมัยที่อิสราเอลถูกอารยธรรมกรีกแพร่มาครอบงำนั้น อะไรๆที่มัน "ยิว" กลายเป็นของเชย น่าอายไปหมด รวมถึงการขลิบจู๋ด้วย

ปัญหาคือเวลาชาวยิวแก้ผ้าเล่นกีฬาเลียนแบบกรีก พวกเขาจะต้องเห็นกันหมดว่าจู๋ใครเป็นยังไง คนที่ขลิบจู๋แล้วก็ต้องรู้สึกอายที่ตัวเองช่างบ้านนอก ไม่เดิ้นเอาเสียเลย

เพื่อแก้ปัญหาดังกล่าวชาวยิวยุคนั้นจึงจำต้องใช้เทคนิค "ยืดหนังจู๋" ให้มาปิดปลายจู๋ใหม่

ไม่มีบันทึกชัดเจนว่าเครื่องยืดหนังจู๋ของยิวโบราณนั้นหน้าตาเป็นอย่างไร แต่วิเคราะห์กันว่าอาจจะใช้อุปกรณ์ชื่อ "คีโนเดสเม" แปลว่า "เชือกรัดหมา" ตามภาพแนบ (ปกติคีโนเดสเมมีไว้ให้นักกีฬากรีกที่มีหนังจู๋สั้นใส่กันอุจาด ...คือชาวกรีกถือว่าจู๋ไม่อุจาด แต่ถ้าถอกออกมาแล้วถือว่าอุจาดครับ)

อนึ่งเรื่องการยืดหนังจู๋นี้ยิวสมัยถูกนาซีไล่ฆ่าก็ต้องทำเพื่อเอาชีวิตรอด

...อุปกรณ์ยืดหนังจู๋รุ่นใหม่หน้าตาเป็นยังไง ลองเสิร์ชหาดูเอาเองแล้วกันครับ แค่นี้ผมก็สำนึกว่าลงรูปอุจาดระดับหนึ่งแล้ว 



เรื่องที่ 4 "เรื่องของจู๋ใหญ่"

เนื่องจากชนแต่ละกลุ่มนั้นมีวัฒนธรรมหลากหลายแบบซ้อนๆกัน สังคมกรีก-โรมันจึงมีพื้นที่เปิดให้แก่จู๋ใหญ่ๆ

ในที่นี้จะขอเล่าเรื่องเทพเจ้าแห่งจู๋ชื่อว่า "ไพรเอพัส"

ไพรเอพัส เป็นบุตรของเฮอร์เมสที่เกิดกับอโฟรไดท์ (โรมันเรียกวีนัส เป็นเทพแห่งความรักที่ชอบเซ็กส์มาก จึงมีลูกกับคนไปทั่ว จริงๆไพรเอพัสเป็นลูกใครนี่ก็มีหลายตำราขัดแย้งกัน) ขณะอโฟรไดท์ตั้งครรภ์ไพรเอพัสนั้น ราชินีเทพเฮรามีความหมั่นไส้เพราะเคยถูกคนตัดสินว่าตนสวยน้อยกว่าอโฟรไดท์ จึงสาปให้ทารกในครรภ์หน้าตาหน้าเกลียด พิกลพิการ

ไพรเอพัสเกิดมาร่างกายแคระแกร็น แต่จู๋กลับใหญ่มาก พวกเทพเจ้ารังเกียจเขาจึงเอาไปทิ้งไว้นอกเขาโอลิมปัส มีกลุ่มคนเลี้ยงแกะเมตตาก็เก็บไปเลี้ยง

พอโตขึ้นไพรเอพัสมีพฤติกรรมหื่นอันธพาล ชอบเกะกะระรานผู้คน ครั้งหนึ่งเคยพยายามข่มขืนนางนิมพ์ (นางพรายพวกหนึ่ง) ชื่อโลติสแต่มีลามาร้องขัดจังหวะ ทำให้โลติสหนีไปได้ไพรเอพัสโกรธมากจึงฆ่าลา นับแต่นั้นก็เกลียดลาเป็นพิเศษ

มีวัฒนธรรมการนับถือไพรเอพัสในฐานะเทพเจ้าแห่งความอุดมสมบูรณ์ (และจู๋) แพร่หลายในหมู่ชาวกรีก-โรมัน และเอเชียไมเนอร์ โดยเป็นที่นับถือกันในหมู่ชาวชนบท สำหรับชาวเมืองจะมองว่าไพรเอพัสเป็นตัวตลก ผู้นับถือไพรเอพัสจะฆ่าลาสังเวยเขา

เมื่อถึงยุคโรมัน ไพรเอพัสกลับเป็นที่นิยมมากขึ้น เพราะชาวโรมันจะลดความนิยมใน "จู๋เล็ก" ลง และมีบางกลุ่มที่ชอบจู๋ใหญ่มากๆ


รูปแนบคือไพรเอพัสถือไม้เท้ากะดูเซียสซึ่งเป็นการเชื่อมโยงเขากับเทพเฮอร์เมสผู้พ่อ 

เรื่องที่ 5 "ดิลโดโบราณ"

คำว่าดิลโด (Dildo) มาจากภาษากรีกว่า โอลิสบอส (Olisbos) แปลเหมือนกันว่าองคชาติเทียม แปลตามตัวอักษรคือ "เปิดให้กว้าง"

ขณะที่ฝรั่งยุคกลางได้รับอิทธิพลจากศาสนจักรโรมันคาธอลิกทำให้เห็นเซ็กส์เป็นของต้องห้าม ชาวกรีก-โรมันกลับคิดว่ามันเป็นเรื่องธรรมชาติ โอลิสบอสจึงเป็นอุปกรณ์ที่สามารถหาซื้อได้ทั่วไปตามตลาด มีไว้สำหรับบรรเทาความเครียด คุมกำเนิด

ผู้ชายกรีก-โรมันรู้จักพันเนื้อสัตว์ไว้กับองคชาติ เพื่อให้มีขนาดใหญ่และเพิ่มผิวสัมผัสในยามสอดใส่ นอกจากนั้นยังรู้จักใช้น้ำมันมะกอกเพื่อหล่อลื่นอีกด้วย นักปราชญ์ที่มีชื่อเสียงนามอริสโตเติลเคยตั้งข้อสังเกตว่า การมีเซ็กส์แบบสบายเกินไป (ใช้น้ำมันหล่อลื่นช่วย) ทำให้ฝ่ายหญิงตั้งครรภ์ได้ยาก


รูปแนบ: หลักฐานการใช้ดิลโดขนาดแทงคนตายได้ 

เรื่องที่ 6 "เรื่องลัทธิบูชาจู๋"

จากเรื่องลัทธิบูชาจู๋หรือฟาสซินุมที่กล่าวไว้ข้างต้น

พวกโรมันเชื่อว่าอารมณ์ที่เกิดจากการเห็นจู๋โด่ ไม่ว่าจะเป็นการหัวเราะขำขัน หรือความอายก็ล้วนแต่เป็นอารมณ์ที่จะทำให้สิ่งชั่วร้ายหวาดกลัวและหลีกหนีไปทั้งสิ้น

คนที่เชื่อถือในลัทธิบูชาจู๋นั้นมักพกเครื่องรางรูปจู๋มีปีก มีขา มีหาง และมีจู๋ (งงไหม จู๋มีจู๋ จู๋เซปชัน! โปรดดูรูปประกอบ)

ผู้ที่นิยมลัทธิบูชาจู๋จะเป็นพวกทหาร นักเดินทาง และบ่อยครั้งจะมีการเอาเครื่องรางจู๋ให้เด็กผู้ชายพกเพื่อเป็นสิริมงคล



ภาพนี้เป็นรูปจู๋มีขา กำลังฉีดน้ำเชื้อใส่ “แมลงป่องซึ่งขี่ดวงตาแห่งความชั่วร้าย” อันเป็นสัญลักษณ์ของความชั่วร้าย (ตามที่ชื่อมันบอก) เป็นการแสดงให้เห็นว่าจู๋นั้นมีอำนาจให้โชคลาภ และทำลายโชคร้ายนั่นเอง 


ภาพแนบเป็นภาพแกะสลักในโบราณสถานโรมันในประเทศลิเบีย แสดงถึงลัทธิบูชาจู๋

ภาพนี้คือทินทินนาบูลุม หรือเครื่องรางในลัทธิบูชาจู๋ของโรมัน มักทำเป็นรูปจู๋ห้อยกระดิ่งเพื่อขับไล่โชคร้าย


ภาพนี้คือทินทินนาบูลุมรูปเทพเมอร์คิวรี (เมอร์คิวรีคือชื่อแบบโรมัน ชื่อแบบกรีกคือเฮอร์เมส) เทพองค์นี้เป็นเทพแห่งการสื่อสาร การเดินทาง โชคลาภ การเล่นกล และขโมย

เข้าใจว่าอารมณ์ซุกซนในนิสัยของเทพองค์นี้ทำให้มีพื้นฐานที่จะเอามาใส่จู๋เยอะๆ ได้

::: ::: :::
ก็จบไปแล้วนะครับสำหรับซีรีย์ลัทธิบูชาจู๋ในอารยธรรมกรีก-โรมันโบราณ

ตามที่ผมเคยกล่าวว่าเมื่อเราศึกษาประวัติศาสตร์ เราจะพบการให้ความหมายสิ่งต่างๆ ผิดไปจากการรับรู้ของเราในปัจจุบัน และทำให้เราต้องกลับมาทบทวนมุมมองของตนเองอยู่เสมอ


ขอถามว่าอ่านเรื่องนี้แล้วทำให้คุณมีมุมมองต่อจู๋เปลี่ยนไปหรือไม่?

::: ::: :::

สนใจเรื่องประวัติศาสตร์ สงคราม เรื่องต่างประเทศ กดติดตามเพจ https://www.facebook.com/pongsorn.bhumiwat/
กรุ๊ปประวัติศาสตร์ สงคราม เรื่องต่างประเทศ https://www.facebook.com/groups/thewildchronicles/
กรุ๊ปท่องเที่ยว เที่ยวโหดเหมือนโกรธบ้าน https://www.facebook.com/groups/wildchroniclestravel/
Line Square: https://line.me/ti/g2/8pIcVHp3cc6-jyQJdzIFrg

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่