เฮลโหล ภาคสองมาต่อแล้วค่า สำหรับใครที่พลาดกระทู้แนะนำทุนการศึกษาปโทไป สามารถตามไปอ่านได้ที่ลิ้งค์นี้ได้เลยนะคะ
https://pantip.com/topic/40210914 สำหรับใครที่หลงเข้ามาครั้งแรก กระทู้นี้จะแนะนำการเขียน Essay ในการขอทุน หรือการเขียนทั่วๆไป เริ่มตั้งแต่การเตรียมตัวเลย โดยเนื้อหาจะมาจากหนังสือเล่มนึงที่หมิวอ่านเป็นหลัก ไม่ได้จะมาขายของแต่อย่างใดนะคะ เพราะหมิวคิดว่าได้เอาใจความสำคัญต่าง ๆ มารวมไว้ในนี้แล้ว แต่ถ้าใครสนใจอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมก็ไปหาซื้อมาอ่านได้
.
มาเริ่มกันเลยดีกว่า หมิวไม่ได้มีหลักตายตัวอะไรในการเขียนพวก Essay มากนัก ก็เอาหลายๆคำแนะนำมารวมๆกัน ตอนแรกก็รู้สึกกังวลมาก ๆ เพราะไม่รู้จะเริ่มยังไง ก็หาอ่านไปตามเว็บไซต์เรื่อย ๆ และก็ได้ไปเจอหนังสือเล่มนึงมาชื่อ “Confession of a scholarship winner” เขียนโดย Kristina Ellis โดยคนแต่งก็ได้รับทุนตั้งแต่ป.ตรี จนไปถึงป.เอก เพราะว่าครอบครัวเธอก็ไม่มีเงินส่งเสียเธอเรียนเช่นกัน แถมยังได้แรงบันดาลใจต่าง ๆที่ผู้แต่งถ่ายทอดมาให้เรา (หมิวจะแชร์ข้อมูลบางส่วนจากในเล่มนะคะ มิได้มาขายของแต่อย่างใด) โดยการเขียน Essay นั้น การรุ้จักตัวเอง เพื่อดึงจุดที่เราจะนำไปเขียนให้กรรมการรู้จักตัวตนของเรานั้นสำคัญมาก ๆ คนเขียนเขาใช้คำว่า Self-Portrait คือสามารถที่จะวาดภาพของตัวเองที่เน้นแต่ละส่วนได้ชัดเจน และเป็นเราที่สุด สิ่งนี้จะทำให้ผู้อ่านหรือกรรมการนั้นสัมผัสได้ โดยในที่นี้เราจะต้องวาดภาพของเราด้วยคำพูด การที่จะวาดให้ดี และเป็นตัวของเราเองที่สุดนั้น เราจะต้อง “Look at your Reflection” หมายถึงการสะท้อนกลับไปยังเหตุการณ์ ผู้คนต่าง ๆที่มีผลกระทบต่อเรามากที่สุด ทำให้เราเป็นเราในวันนี้ ตัวอย่างเช่น Who has had the greatest influence on you? What obstacles have you overcome? What challenges have you prevailed against? What activities have been the most meaningful to you? ดังนั้นในแต่ละ Section ที่เราเขียนลงไปใน Essay จะต้องสามารถสื่อถึงตัวตนของเราได้ อีกทั้งแต่ละเรื่องราวยังต้องสอดคล้องกันอีกด้วย
.
Tips ต่าง ๆ ในการค้นหาหรือ Reflect ตัวเอง อาทิ
- Embracing your uniqueness พวกเราทุกคนนั้นล้วนมีความแตกต่างอยู่ในตัว หาความแตกต่างนั้นให้เจอและใช้มันให้เป็นประโยชน์ โดยมันควรแสดงออกถึงตัวตนที่เราเป็น และโดดเด่นจากผู้อื่น ไม่ใช่ในแบบที่กรรมการอยากให้เราเป็น
- Highlight your strengths ทำจุดแข็งของเรานั้นให้แตกต่าง ถ้าเราคิดว่าจุดแข็งของเรานั้นมันค่อนข้างเหมือนคนอื่น อาจจะต้องใช้เวลาในการ brainstorm และ build มันให้แข็งแกร่งและแตกต่างจากผู้สมัครคนอื่น ผู้เขียนยังแนะนำให้สร้าง Hooks ในการที่จะ highlight จุดแข็งของเราใน essay เพื่อที่จะดึงดูดความสนใจของกรรมการ ตัวอย่างเช่น สถานการณ์ที่เราได้โชว์จุดแข็งของเรา แล้วผลลัพธ์ต่อจากนั้นเป็นอย่างไร
- Strengthen your weaknesses ผู้เขียนแนะนำมาสองแบบคือ 1. ถ้าหลังจากเราวิเคราะห์จุดอ่อนของเราหรือคุณสมบัติที่เรายังขาดจาก Requirement ของทุน ให้เราใช้เวลาในการพัฒนาหรือทำกิจกรรมเพิ่มในส่วนนั้นดู หรือ 2. เรียนรู้ที่จะใช้ failure/rejection เป็นแรงผลักดัน หลายคนอาจจะผ่านความผิดหวังมาหลายหน แต่อยากให้ใช้สิ่งนี้เป็นแรงผลักดันให้เราพยายามมากขึ้นไปอีกในการที่จะประสบความสำเร็จ
.
.
หลังจากได้วิเคราะห์ตัวตนของเราจากคำแนะนำข้างต้นไปแล้ว ขั้นต่อไปก็คือการเริ่มต้นเขียนซึ่งสำหรับหมิวแล้วถือว่าเป็นขั้นตอนที่ยากที่สุดของการเขียน Essay โดย Kristina มี Tips มาแนะนำให้ซึ่งน่าสนใจมาก ๆ
- Brainstorm bubbles คือคำแนะนำที่ดีที่สุดที่ผู้เขียนอยากแนะนำ โดยเฉพาะ essay ที่ต้องเขียนยาวๆ (หมิวก็ใช้ข้อนี้ก่อนเริ่มเขียนเหมือนกัน) โดยไอ้แผนภาพ bubbles มีรูปร่างหน้าตาแบบนี้

โดยมีขั้นตอนการเขียนดังนี้แจ้ 1. เริ่มจากการเขียนหัวข้อหรือคำถาม essay ไว้ตรงกลาง จากนั้นแตกกิ่งหลักออกมาจาก bubbles ตรงกลางโดยเป็นสิ่งที่เราต้องการจะนำไปเขียนใน essay อาทิ คำถามหรือKeyหลักคือ Obstacle overcome เราก็แตกกิ่งออกมาเป็น อุปสรรคที่เราต้องการจะนำมาเล่าเช่น What it took/Results และอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับอุปสรรคของเราที่ผ่านมา 2. จาก bubbles ของกิ่งหลักให้แตกออกมาเป็น bubbles เล็กๆที่เราอยากจะเล่าเกี่ยวกับกิ่งหลักนั้นๆ 3. หลังจากที่เขียน bubbles เล็ก ๆได้ออกมาหมดแล้ว ก็เอาไปปะติด ปะต่อ เป็น Outline และเขียนใน essay [ดูตัวอย่างประกอบได้จากในรูปจ้า]
- Free writing สำหรับคนที่ประสบปัญหา Blank มากกว่า 5 นาทีในขณะที่จะเริ่มเขียน คนเขียนแนะนำว่าให้ลองเขียนอะไรก็ได้ที่ผ่านเข้ามาในหัวดู โดยจับเวลา 20 นาที ถึงแม้ไอ้สิ่งที่เราเขียนอาจจะไม่ได้นำมาใช้ แต่เทคนิคนี้จะช่วยให้เราเอาสิ่งที่คิดออกมาจากในหัวได้ และเริ่มต้นที่จะเขียนอะไรสักอย่าง
- Make each word count บางทุนนั้นกำหนดให้เขียนไม่เกิน 250 words ดังนั้นเราจะต้องเขียนให้ทุกคำนั้นน่าสนใจ โดยผู้เขียนบอกว่า Frist draft ของ essay ไม่จำเป็นต้องเพอร์เฟค โดยให้ลองเขียนโดยไม่ต้องคิดถึงจำนวน Words ดู จากนั้นให้ลองวิเคราะห์ทุกประโยค และทุกคำและลองถามตัวเองดูว่า เราจะเขียนให้มันตรงจุด/มีประสิทธิภาพมากขึ้นได้อย่างไร และคำหรือประโยคเหล่านี้สำคัญกับสิ่งที่เราต้องการจะสื่อรึเปล่า ให้ลองทำขั้นตอนนี้ซ้ำ ๆ จน essay ของเราอยู่ในจำนวนคำที่กำหนด และเลือกคำที่เราต้องการที่จะสื่อออกมาเขียนได้มากที่สุด อารมณ์เหมือน Twitter/Facebook status updates สมัยก่อนที่มีกำหนดจำนวนคำในหนึ่งโพสต์
- Show don’t tell ใน essay อย่าแค่อวดกรรมการว่าเราเจ๋งขนาดไหน แต่ให้พิสูจน์ให้เห็นโดยการเล่าผ่านเรื่องราว และตัวอย่างที่ชัดเจนว่าเราเป็นผู้สมัครที่เหมาะสมและตรงกับคุณสมบัติของผู้รับทุนที่เขากำลังมองหา ตัวอย่างเช่น อย่าแค่บอกกรรมการว่าเรามี Passion ในการทำจิตอาสา แต่ให้แชร์ถึง Passion ที่ทำให้เราต้องการเปลี่ยนแปลง และสร้างผลกระทบต่อโลกใบนี้ (และระวังการเขียน Redundant ด้วยนะแจ้)
- Keep it personal หลายคนอาจจะรู้สึกไม่สบายใจที่ต้องแชร์เรื่องราวหรือชัยชนะของเรากับคนแปลกหน้า แต่เรื่องราวเหล่านี้จะช่วยทำให้เราเด่นจากผู้สมัครคนอื่น ๆ ผู้เขียนเล่าว่า หลายๆ essay ที่สมัครขอทุน เขาได้แชร์เรื่องราวหรืออุปสรรคที่ผู้เขียนได้เอาชนะโดยที่ไม่เคยแม้แต่จะเล่าให้เพื่อนสนิทของเขาฟัง ผู้เขียนบอกว่ากรรมการนั้นชอบที่จะอ่านเรื่องราวส่วนตัวที่เราได้เอาชนะหรือข้ามผ่านมันมา ลองคิดดูสิว่าในอดีตอาจจะมีเรื่องราวหลายๆอย่างที่ทำให้เรารู้สึกดาวน์ แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือคุณกลับมายืนหยัด และแน่วแน่ที่จะเอาชนะอุปสรรคได้อีกครั้ง และจงจบ personal essay ด้วยการหักมุมไปในทางด้านบวกหรือเป็นการให้แรงบันดาลใจกับตัวเอง ว่าสถานการณ์นั้นมันช่วยทำให้คุณโตขึ้น หรือให้แรงบันดาลใจแก่คุณในแง่ต่าง ๆ และคุณควรค่าที่จะได้รับทุนการศึกษานี้ แม้ในชีวิตคุณจะเจออุปสรรคแค่ไหนก็ตาม
.
-หลังจากที่เราได้ไอเดียและทิศทางการเขียน essay จากข้อแนะนำข้างต้นแล้วก็ถึงเวลาเอาทุกอย่างมายำรวมกัน ผู้เขียนมี 3 tips ที่อยากให้ทุกคนจำให้ขึ้นใจก่อนเริ่มลงมือเขียนคือ
1. Get organized การจัดโครงเรื่องเขียน essay อย่างง่ายก็คือ Introduction, body และ conclusion เพื่อให้กรรมการรู้จักเราตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้อ่าน โดยเราต้องคอยถามตัวเองอยู่เสมอหลังจากที่เราได้เขียนแต่ละย่อหน้าไป Is your writing clear? Does it flow โดยเราต้องจัดหน้า essay ให้เป็นมิตรต่อผู้อ่านให้มากที่สุด
2. Be consistent ทำให้แน่ใจว่าสิ่งที่เราเขียนใน essay นั้นสอดคล้องไปในทางเดียวกัน และแสดงออกถึงสิ่งที่เราต้องการจะสื่อ
3. Make an impact อาจจะให้คนที่เราเชื่อถือช่วยอ่าน essay ของเรา และขอความเห็น บางทีเราอาจจะลืมไปว่า essay ที่เราเขียนนั้นมันมี impact ต่อผู้อื่นหรือไม่ นอกจากนี้การที่ลองคิดว่าตัวเองเป็นกรรมการที่ต้องตัดสิน และต้องอ่าน essay จำนวนมาก ๆ ก็ทำให้เราสามารถพัฒนาเนื้อหาใน essay ของเราให้น่าสนใจและโดดเด่นกว่าผู้อื่นได้
.
หลังจากเขียนเสร็จแล้วก็คือการรีวิวผลงานของเรา และดูว่ายังมีจุดบกพร่องตรงไหนหรือไม่ ผู้เขียนแนะนำมาดังนี้
1. Read again หลังจากเราเขียน First draft ให้เราลองอ่านมันอีกที และดูว่ายังมีตรงไหนที่เรายังพัฒนาได้อีก
2. Walk away ลองเดินออกจาก essay ของเราและให้จิตใจเราได้คิดเรื่องอื่นนอกจาก essay บ้าง
3. Read it again หลังจาก 2-3 วันให้ลองกลับมาอ่าน essay ของเราอีกที เราอาจจะมีความคิด หรือไอเดียใหม่ๆ ที่มองการเขียนของเราต่างออกไปจากเดิม และพัฒนามันให้ดีขึ้น
4. Walk away again ทำขั้นตอนนี้ซ้ำ ๆ จนเราคิดว่าได้ solid essay แล้ว
5. Seek other’s feedback ลองถามความคิดเห็นจากผู้อื่นดู ว่าคิดยังไงกับ Final essay ของเรา และมีจุดไหนที่เรายังสามารถพัฒนามันได้อีก เราอาจจะได้มุมมองที่แตกต่าง โดยคนเขียนแนะนำว่าให้ลองถามทีละคน โดยเอาแต่ละความคิดเห็นมาพัฒนา จากนั้นให้เริ่มถามคนถัดไป จนกระทั่งเราได้ feedback ไปในทางที่ดี เพราะนี่อาจหมายถึงว่ากรรมการอาจจะมีความรู้สึกที่ดีต่อ essay ของเราได้
.
ท้ายสุดนี้ ผู้เขียนฝากมาบอกว่า It is perfectly fine to be shameless when sharing your accomplishment on scholarship application กรรมการนั้นไม่มีโอกาสจะได้เจอตัวเราเป็นๆ ดังนั้นอย่าอายที่จะบอกให้กรรมการเหล่านั้นรู้ว่าเราคือใคร และเราเหมาะจะเป็นผู้รับทุนอย่างยิ่ง !!
.
หมิวหวังว่ากระทู้นี้จะมีประโยชน์ไม่มากก็น้อยแก่ผู้อ่าน สามารถแนะนำหรือติชมการเขียนมาได้เลยนะคะ อ่านแล้วอาจจะแปลกๆหน่อย เพราะแปลและสรุปมาจากในหนังสืออีกที ทั้งนี้ทั้งนั้นขอบคุณที่อ่านมาจนจบนะคะ 😊 คงจะไม่ได้มาตั้งกระทู้ใหม่ในพันทิพแล้ว แต่ถ้าใครสนใจติดตามเรื่องราวชีวิตในสวีเดนของหมิวก็ฝากติดตาม/ไลค์เพจด้วยนะฮ้าบบ โดยในเพจจะเป็นเรื่องราวการใช้ชีวิตของหมิวในสวีเดน อีกทั้งเป็นเพจให้แรงบันดาลใจไปในตัวด้วย ^^
และใครมีคำถามสามารถส่งมาทาง Inbox ตามเพจด้านล่างได้เลยนะคะ ไม่ต้องเกรงใจ😊
ลิงค์เพจ
https://www.facebook.com/My-story-in-Sweden-111389177380707
แนะนำวิธีการเขียน Essay สำหรับการสมัครเรียน และขอทุนต่างๆ ฉบับ Newbie เลยจ้า
.
มาเริ่มกันเลยดีกว่า หมิวไม่ได้มีหลักตายตัวอะไรในการเขียนพวก Essay มากนัก ก็เอาหลายๆคำแนะนำมารวมๆกัน ตอนแรกก็รู้สึกกังวลมาก ๆ เพราะไม่รู้จะเริ่มยังไง ก็หาอ่านไปตามเว็บไซต์เรื่อย ๆ และก็ได้ไปเจอหนังสือเล่มนึงมาชื่อ “Confession of a scholarship winner” เขียนโดย Kristina Ellis โดยคนแต่งก็ได้รับทุนตั้งแต่ป.ตรี จนไปถึงป.เอก เพราะว่าครอบครัวเธอก็ไม่มีเงินส่งเสียเธอเรียนเช่นกัน แถมยังได้แรงบันดาลใจต่าง ๆที่ผู้แต่งถ่ายทอดมาให้เรา (หมิวจะแชร์ข้อมูลบางส่วนจากในเล่มนะคะ มิได้มาขายของแต่อย่างใด) โดยการเขียน Essay นั้น การรุ้จักตัวเอง เพื่อดึงจุดที่เราจะนำไปเขียนให้กรรมการรู้จักตัวตนของเรานั้นสำคัญมาก ๆ คนเขียนเขาใช้คำว่า Self-Portrait คือสามารถที่จะวาดภาพของตัวเองที่เน้นแต่ละส่วนได้ชัดเจน และเป็นเราที่สุด สิ่งนี้จะทำให้ผู้อ่านหรือกรรมการนั้นสัมผัสได้ โดยในที่นี้เราจะต้องวาดภาพของเราด้วยคำพูด การที่จะวาดให้ดี และเป็นตัวของเราเองที่สุดนั้น เราจะต้อง “Look at your Reflection” หมายถึงการสะท้อนกลับไปยังเหตุการณ์ ผู้คนต่าง ๆที่มีผลกระทบต่อเรามากที่สุด ทำให้เราเป็นเราในวันนี้ ตัวอย่างเช่น Who has had the greatest influence on you? What obstacles have you overcome? What challenges have you prevailed against? What activities have been the most meaningful to you? ดังนั้นในแต่ละ Section ที่เราเขียนลงไปใน Essay จะต้องสามารถสื่อถึงตัวตนของเราได้ อีกทั้งแต่ละเรื่องราวยังต้องสอดคล้องกันอีกด้วย
.
Tips ต่าง ๆ ในการค้นหาหรือ Reflect ตัวเอง อาทิ
- Embracing your uniqueness พวกเราทุกคนนั้นล้วนมีความแตกต่างอยู่ในตัว หาความแตกต่างนั้นให้เจอและใช้มันให้เป็นประโยชน์ โดยมันควรแสดงออกถึงตัวตนที่เราเป็น และโดดเด่นจากผู้อื่น ไม่ใช่ในแบบที่กรรมการอยากให้เราเป็น
- Highlight your strengths ทำจุดแข็งของเรานั้นให้แตกต่าง ถ้าเราคิดว่าจุดแข็งของเรานั้นมันค่อนข้างเหมือนคนอื่น อาจจะต้องใช้เวลาในการ brainstorm และ build มันให้แข็งแกร่งและแตกต่างจากผู้สมัครคนอื่น ผู้เขียนยังแนะนำให้สร้าง Hooks ในการที่จะ highlight จุดแข็งของเราใน essay เพื่อที่จะดึงดูดความสนใจของกรรมการ ตัวอย่างเช่น สถานการณ์ที่เราได้โชว์จุดแข็งของเรา แล้วผลลัพธ์ต่อจากนั้นเป็นอย่างไร
- Strengthen your weaknesses ผู้เขียนแนะนำมาสองแบบคือ 1. ถ้าหลังจากเราวิเคราะห์จุดอ่อนของเราหรือคุณสมบัติที่เรายังขาดจาก Requirement ของทุน ให้เราใช้เวลาในการพัฒนาหรือทำกิจกรรมเพิ่มในส่วนนั้นดู หรือ 2. เรียนรู้ที่จะใช้ failure/rejection เป็นแรงผลักดัน หลายคนอาจจะผ่านความผิดหวังมาหลายหน แต่อยากให้ใช้สิ่งนี้เป็นแรงผลักดันให้เราพยายามมากขึ้นไปอีกในการที่จะประสบความสำเร็จ
.
.
หลังจากได้วิเคราะห์ตัวตนของเราจากคำแนะนำข้างต้นไปแล้ว ขั้นต่อไปก็คือการเริ่มต้นเขียนซึ่งสำหรับหมิวแล้วถือว่าเป็นขั้นตอนที่ยากที่สุดของการเขียน Essay โดย Kristina มี Tips มาแนะนำให้ซึ่งน่าสนใจมาก ๆ
- Brainstorm bubbles คือคำแนะนำที่ดีที่สุดที่ผู้เขียนอยากแนะนำ โดยเฉพาะ essay ที่ต้องเขียนยาวๆ (หมิวก็ใช้ข้อนี้ก่อนเริ่มเขียนเหมือนกัน) โดยไอ้แผนภาพ bubbles มีรูปร่างหน้าตาแบบนี้
โดยมีขั้นตอนการเขียนดังนี้แจ้ 1. เริ่มจากการเขียนหัวข้อหรือคำถาม essay ไว้ตรงกลาง จากนั้นแตกกิ่งหลักออกมาจาก bubbles ตรงกลางโดยเป็นสิ่งที่เราต้องการจะนำไปเขียนใน essay อาทิ คำถามหรือKeyหลักคือ Obstacle overcome เราก็แตกกิ่งออกมาเป็น อุปสรรคที่เราต้องการจะนำมาเล่าเช่น What it took/Results และอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับอุปสรรคของเราที่ผ่านมา 2. จาก bubbles ของกิ่งหลักให้แตกออกมาเป็น bubbles เล็กๆที่เราอยากจะเล่าเกี่ยวกับกิ่งหลักนั้นๆ 3. หลังจากที่เขียน bubbles เล็ก ๆได้ออกมาหมดแล้ว ก็เอาไปปะติด ปะต่อ เป็น Outline และเขียนใน essay [ดูตัวอย่างประกอบได้จากในรูปจ้า]
- Free writing สำหรับคนที่ประสบปัญหา Blank มากกว่า 5 นาทีในขณะที่จะเริ่มเขียน คนเขียนแนะนำว่าให้ลองเขียนอะไรก็ได้ที่ผ่านเข้ามาในหัวดู โดยจับเวลา 20 นาที ถึงแม้ไอ้สิ่งที่เราเขียนอาจจะไม่ได้นำมาใช้ แต่เทคนิคนี้จะช่วยให้เราเอาสิ่งที่คิดออกมาจากในหัวได้ และเริ่มต้นที่จะเขียนอะไรสักอย่าง
- Make each word count บางทุนนั้นกำหนดให้เขียนไม่เกิน 250 words ดังนั้นเราจะต้องเขียนให้ทุกคำนั้นน่าสนใจ โดยผู้เขียนบอกว่า Frist draft ของ essay ไม่จำเป็นต้องเพอร์เฟค โดยให้ลองเขียนโดยไม่ต้องคิดถึงจำนวน Words ดู จากนั้นให้ลองวิเคราะห์ทุกประโยค และทุกคำและลองถามตัวเองดูว่า เราจะเขียนให้มันตรงจุด/มีประสิทธิภาพมากขึ้นได้อย่างไร และคำหรือประโยคเหล่านี้สำคัญกับสิ่งที่เราต้องการจะสื่อรึเปล่า ให้ลองทำขั้นตอนนี้ซ้ำ ๆ จน essay ของเราอยู่ในจำนวนคำที่กำหนด และเลือกคำที่เราต้องการที่จะสื่อออกมาเขียนได้มากที่สุด อารมณ์เหมือน Twitter/Facebook status updates สมัยก่อนที่มีกำหนดจำนวนคำในหนึ่งโพสต์
- Show don’t tell ใน essay อย่าแค่อวดกรรมการว่าเราเจ๋งขนาดไหน แต่ให้พิสูจน์ให้เห็นโดยการเล่าผ่านเรื่องราว และตัวอย่างที่ชัดเจนว่าเราเป็นผู้สมัครที่เหมาะสมและตรงกับคุณสมบัติของผู้รับทุนที่เขากำลังมองหา ตัวอย่างเช่น อย่าแค่บอกกรรมการว่าเรามี Passion ในการทำจิตอาสา แต่ให้แชร์ถึง Passion ที่ทำให้เราต้องการเปลี่ยนแปลง และสร้างผลกระทบต่อโลกใบนี้ (และระวังการเขียน Redundant ด้วยนะแจ้)
- Keep it personal หลายคนอาจจะรู้สึกไม่สบายใจที่ต้องแชร์เรื่องราวหรือชัยชนะของเรากับคนแปลกหน้า แต่เรื่องราวเหล่านี้จะช่วยทำให้เราเด่นจากผู้สมัครคนอื่น ๆ ผู้เขียนเล่าว่า หลายๆ essay ที่สมัครขอทุน เขาได้แชร์เรื่องราวหรืออุปสรรคที่ผู้เขียนได้เอาชนะโดยที่ไม่เคยแม้แต่จะเล่าให้เพื่อนสนิทของเขาฟัง ผู้เขียนบอกว่ากรรมการนั้นชอบที่จะอ่านเรื่องราวส่วนตัวที่เราได้เอาชนะหรือข้ามผ่านมันมา ลองคิดดูสิว่าในอดีตอาจจะมีเรื่องราวหลายๆอย่างที่ทำให้เรารู้สึกดาวน์ แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือคุณกลับมายืนหยัด และแน่วแน่ที่จะเอาชนะอุปสรรคได้อีกครั้ง และจงจบ personal essay ด้วยการหักมุมไปในทางด้านบวกหรือเป็นการให้แรงบันดาลใจกับตัวเอง ว่าสถานการณ์นั้นมันช่วยทำให้คุณโตขึ้น หรือให้แรงบันดาลใจแก่คุณในแง่ต่าง ๆ และคุณควรค่าที่จะได้รับทุนการศึกษานี้ แม้ในชีวิตคุณจะเจออุปสรรคแค่ไหนก็ตาม
.
-หลังจากที่เราได้ไอเดียและทิศทางการเขียน essay จากข้อแนะนำข้างต้นแล้วก็ถึงเวลาเอาทุกอย่างมายำรวมกัน ผู้เขียนมี 3 tips ที่อยากให้ทุกคนจำให้ขึ้นใจก่อนเริ่มลงมือเขียนคือ
1. Get organized การจัดโครงเรื่องเขียน essay อย่างง่ายก็คือ Introduction, body และ conclusion เพื่อให้กรรมการรู้จักเราตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้อ่าน โดยเราต้องคอยถามตัวเองอยู่เสมอหลังจากที่เราได้เขียนแต่ละย่อหน้าไป Is your writing clear? Does it flow โดยเราต้องจัดหน้า essay ให้เป็นมิตรต่อผู้อ่านให้มากที่สุด
2. Be consistent ทำให้แน่ใจว่าสิ่งที่เราเขียนใน essay นั้นสอดคล้องไปในทางเดียวกัน และแสดงออกถึงสิ่งที่เราต้องการจะสื่อ
3. Make an impact อาจจะให้คนที่เราเชื่อถือช่วยอ่าน essay ของเรา และขอความเห็น บางทีเราอาจจะลืมไปว่า essay ที่เราเขียนนั้นมันมี impact ต่อผู้อื่นหรือไม่ นอกจากนี้การที่ลองคิดว่าตัวเองเป็นกรรมการที่ต้องตัดสิน และต้องอ่าน essay จำนวนมาก ๆ ก็ทำให้เราสามารถพัฒนาเนื้อหาใน essay ของเราให้น่าสนใจและโดดเด่นกว่าผู้อื่นได้
.
หลังจากเขียนเสร็จแล้วก็คือการรีวิวผลงานของเรา และดูว่ายังมีจุดบกพร่องตรงไหนหรือไม่ ผู้เขียนแนะนำมาดังนี้
1. Read again หลังจากเราเขียน First draft ให้เราลองอ่านมันอีกที และดูว่ายังมีตรงไหนที่เรายังพัฒนาได้อีก
2. Walk away ลองเดินออกจาก essay ของเราและให้จิตใจเราได้คิดเรื่องอื่นนอกจาก essay บ้าง
3. Read it again หลังจาก 2-3 วันให้ลองกลับมาอ่าน essay ของเราอีกที เราอาจจะมีความคิด หรือไอเดียใหม่ๆ ที่มองการเขียนของเราต่างออกไปจากเดิม และพัฒนามันให้ดีขึ้น
4. Walk away again ทำขั้นตอนนี้ซ้ำ ๆ จนเราคิดว่าได้ solid essay แล้ว
5. Seek other’s feedback ลองถามความคิดเห็นจากผู้อื่นดู ว่าคิดยังไงกับ Final essay ของเรา และมีจุดไหนที่เรายังสามารถพัฒนามันได้อีก เราอาจจะได้มุมมองที่แตกต่าง โดยคนเขียนแนะนำว่าให้ลองถามทีละคน โดยเอาแต่ละความคิดเห็นมาพัฒนา จากนั้นให้เริ่มถามคนถัดไป จนกระทั่งเราได้ feedback ไปในทางที่ดี เพราะนี่อาจหมายถึงว่ากรรมการอาจจะมีความรู้สึกที่ดีต่อ essay ของเราได้
.
ท้ายสุดนี้ ผู้เขียนฝากมาบอกว่า It is perfectly fine to be shameless when sharing your accomplishment on scholarship application กรรมการนั้นไม่มีโอกาสจะได้เจอตัวเราเป็นๆ ดังนั้นอย่าอายที่จะบอกให้กรรมการเหล่านั้นรู้ว่าเราคือใคร และเราเหมาะจะเป็นผู้รับทุนอย่างยิ่ง !!
.
หมิวหวังว่ากระทู้นี้จะมีประโยชน์ไม่มากก็น้อยแก่ผู้อ่าน สามารถแนะนำหรือติชมการเขียนมาได้เลยนะคะ อ่านแล้วอาจจะแปลกๆหน่อย เพราะแปลและสรุปมาจากในหนังสืออีกที ทั้งนี้ทั้งนั้นขอบคุณที่อ่านมาจนจบนะคะ 😊 คงจะไม่ได้มาตั้งกระทู้ใหม่ในพันทิพแล้ว แต่ถ้าใครสนใจติดตามเรื่องราวชีวิตในสวีเดนของหมิวก็ฝากติดตาม/ไลค์เพจด้วยนะฮ้าบบ โดยในเพจจะเป็นเรื่องราวการใช้ชีวิตของหมิวในสวีเดน อีกทั้งเป็นเพจให้แรงบันดาลใจไปในตัวด้วย ^^
และใครมีคำถามสามารถส่งมาทาง Inbox ตามเพจด้านล่างได้เลยนะคะ ไม่ต้องเกรงใจ😊
ลิงค์เพจ https://www.facebook.com/My-story-in-Sweden-111389177380707