Command & Conquer หรือชื่อย่อว่า C&C นั้นเป็นเกมแนว Real Time Strategy (RTS) ที่ถูกพัฒนาโดยบริษัท Westwood Studio (ต่อไปจะเรียกสั้น ๆ ว่า Westwood) ซึ่งเป็นบริษัทลูกของ Virgin Games หรือต่อมามีการเปลี่ยนชื่อเป็น Virgin Interactive Entertainment (VIE) ออกวางจำหน่ายครั้งแรกเมื่อปี 1995 บนเครื่อง PC
สำหรับผู้เขียนแล้ว เกมนี้มีความสำคัญในฐานะสิ่งที่ทำให้ผู้เขียนได้เข้าสู่โลกของ Computer ร่วมถึงได้เรียนรู้อะไรต่าง ๆ อีกมากมายจากการใช้ Computer เพื่อเล่นเกม
บทความในคราวนี้ผู้เขียนจะเล่าถึงเกม C&C นี้จากมุมของแฟนเกมคนหนึ่ง ตั้งแต่เริ่มต้น รุ่งเรืองและร่วงโรย
ผู้เขียนได้เห็นเกม C&C ครั้งแรกจากบ้านญาติที่มีคอมพิวเตอร์และนี่มีส่วนทำให้ได้เครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องแรกในชีวิตมาใช้งาน
CPU 486 DX2 66MHz, Ram 8 MB, Harddisk ขนาดเท่าไหร่จำไม่ได้แล้ว และมี CD Drive ความเร็วเท่าไหร่ก็ไม่รู้
ที่ไม่รู้อะไรมากเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์เพราะยังมือใหม่มาก มากชนิดที่มองคอมพิวเตอร์ก็คือคอมพิวเตอร์ ไม่เห็นจะต่างกันตรงไหน เรื่องยี่ห้อรุ่นของส่วนประกอบต่าง ๆ ที่ใส่มาไม่มีความรู้เลย
ตอนนั้นสนแค่ว่าเล่น C&C ได้เป็นพอ
ในยุคนั้น (1990s) เกมคอมพิวเตอร์แนว RTS กำลังเป็นที่นิยมจากการมาของเกม Dune II: The Building of a Dynasty ที่ออกวางจำหน่ายเมื่อเดือนธันวาคม 1992 พัฒนาโดยบริษัท Westwood ซึ่งเกมนี้จุดประกายให้บริษัทเกมอื่น ๆ สร้างเกมแนวเดียวกันนี้ออกมาบ้าง ที่โดดเด่นเป็นพิเศษก็เช่น Warcraft ที่พัฒนาโดยบริษัท Blizzard ซึ่งปัจจุบันนี้กลายเป็นเกมแนว massively multiplayer online role-playing game (MMORPG) ที่ฮิตทั่วโลกไปแล้ว
เมื่อเข้าสู่ปี 1995 เกมแนว RTS เกมใหม่ของ Westwood ก็ออกวางตลาด นั้นคือเกม Command & Conquer หรือชื่อย่อว่า C&C นี้นั้นเอง โดยมีคู่แข่งที่น่ากลัวคือ Warcraft 2 ของ Blizzard
ในรูปคือหนังสือสอนการใช้งานคอมพิวเตอร์เล่มแรกในชีวิต เป็นการ์ตูนสอนวิธีการใช้งาน MS-Dos ซึ่งเป็น OS หลักในสมัยนั้นและจำเป็นมากในการติดตั้งและเล่นเกม
(รูปมาจาก internet หนังสือตัวจริงยังมีอยู่แต่ไม่สะดวกที่จะค้นออกมา)
หากให้เทียบระหว่าง C&C กับ Warcraft 2 ผู้เขียนในสมัยนั้นชอบ C&C มากกว่าด้วยสาเหตุ 3 ประการ
1. C&C มี Setting อยู่ในโลกปัจจุบันแบบ Sci-Fi ซึ่งผู้เขียนในช่วงนั้นชอบแนวนี้มากกว่าแนวแฟนตาซี
2. C&C ไม่จำกัดจำนวนยูนิตที่สร้างได้ทำให้เล่นง่ายกว่า Warcraft ที่นอกจากจะจำกัดจำนวนยูนิตแล้วยังต้องสร้างสิ่งก่อสร้างที่ช่วยขยายขนาดของกองทัพอีก สำหรับผู้เขียนช่วงนั้นที่ยังเด็กแล้วระบบนี้มันค่อยข้างยุ่งยากและชวนจุกจิก
3. C&C มีภาพยนตร์คนแสดงเป็น Cut screen ประกอบการเล่าเรื่องทุกด่านซึ่งมันเท่มากในยุคนั้น
4. Kane หัวหน้าของฝ่าย NOD ซึ่งเป็นตัวร้ายในเกมนั้นนำแสดงโดย Joseph David Kucan (โจเซฟ เดวิส คูแคน) และเพราะอะไรไม่รู้ตัวละคร Kane ที่แสดงโดนโจเซฟนั้นมีเสนห์อย่างประหลาดซึ่งต่อมามีผลให้เค้ากลายเป็นตัวละครสัญลักษณ์ของ C&C ไป และนี่ทำให้เมื่อ C&C ภาคใหม่ออกผู้เขียนจะเล่นฝ่าย NOD ที่นำโดย Kane ก่อนเสมอ
FOR KANE.
ข้างล่างนี้คือ Link ฉากเปิดตัว Kane ครั้งแรกในเกม C&C
https://www.youtube.com/watch?v=goQiwNZzoVA
เมื่อเข้าสู่เดือนพฤศจิกายน 1996 Westwood ก็ได้ส่งภาคแยกของ C&C ลงสนามในชื่อว่า Command and Conquer: Red Alert โดนแผนเดิมนั้นตั้งใจจะให้ภาคนี้เป็นภาคก่อนเกิดเหตุการใน C&C Original และเป็นภาคแรกที่มีการนำทัพเรือมาไว้ในเกม ส่วนตัวแล้วถือเป็น C&C ที่มียูนิตเอกลักษณ์โดดเด่นหลายตัวแม้หลายยูนิตเป็นการรียูตจาก C&C แล้วเพิ่มลูกเล่นเล็กน้อยก็ตาม ยูนิตที่โดดเด่นก็เช่น Tanya, Spy, Guard Dog และ Chronosphere สิ่งก่อสร้างที่สามารถย้ายยูนิตพาหนะไปยังที่ใดในแผนที่ก็ได้.
ในปี 1998 นั้นได้เกิดจุดเปลี่ยนสำคัญขึ้น นั้นคือ VIE บริษัทแม่ของ Westwood นั้นประสบปัญหาทางการเงินอย่างมากจนต้องขายทรัพย์สินหรือบริษัทในเครือบางส่วนออกไป
Westwood เองก็เป็นหนึ่งในนั้น
นี่ทำให้ Electronic Arts หรือ EA ซึ่งเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ในวงการเกมสนใจและได้ทำการเข้าซื้อ Westwood และ Burst Studios ซึ่งเป็นบริษัทสาขาของ Westwood ไปในราคา 122.5 ล้าน USD ในเดือนสิงหาคม 1998
แต่ในปีเดียวกันนั้น Westwood ก็ต้องเจอกับคู่ต่อสู้ที่น่ากลัวจาก Blizzard ซึ่งส่งเกม RTS ชื่อ StarCraft ลงแข่งขัน ด้วยระบบการเล่นที่สมดุลกว่า, สิ่งก่อสร้างและยูนิตรวมถึงแนวการเล่นของแต่ละฝ่ายที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงและเนื้อเรื่องที่เข้มข้นทำให้ StarCraft ได้รับความนิยมอย่างถล่มหลายและกลายเป็นเกมยอดนิยมเกมหนึ่งสำหรับการแข่งขันอยู่หลายปี รวมถึงมีการจัดแข่ง StarCraft ด้วย AI อีกด้วย จนกระทั้ง StarCraft 2 ออกวางจำหน่ายเมื่อปี 2010 แฟน ๆ StarCraft จึงเริ่มย้ายมาเล่นภาค 2 แทน
Westwood จึงโต้กลับด้วยเกมภาคต่อของ C&C ภาคหลักชื่อว่า Command & Conquer: Tiberian Sun ออกวางจำหน่ายเมื่อเดือนสิงหาคม 1999 โดยเป็น C&C ภาคสุดท้ายที่กล่องแปะป้ายผู้พัฒนา Westwood เพียงบริษัทเดียว
แม้ว่าผลตอบรับจะดีแต่น่าเสียดายที่ความยิ่งใหญ่ของ StarCraft นั้นกลบรัศมีของ Tiberian Sun เสียมิด
เสียงของผู้เล่น StarCraft ดังกว่าและเป็นที่สนใจของสื่อต่าง ๆ มากกว่า
ปี 2000 Westwood จึงโต้กลับอีกครั้งด้วยภาคต่อของ C&C Red Alert
ซึ่งต่อมาได้รับการยอมรับว่าเป็นภาคที่ดีที่สุดของC&C
Command & Conquer: Red Alert 2 ออกวางจำหน่ายเมื่อเดือนตุลาคม 2000 โดยกล่องนั้นมีติดป้ายผู้พัฒนาเป็น EA แล้วโดยชื่อ Westwood นั้นถูกปรับให้เด่นน้อยลงโดนถูกแปะหลบออกไปทางมุมขวาล่างของกล่อง
ด้วยการใช้สีกราฟิกแบบอเมริกันคอมมิค, สิ่งก่อสร้างและยูนิตที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวและหลากหลายพร้อมทั้งลูกเล่นที่แพรวพราวทำให้ C&C ภาคนี้ได้รับความนิยมสูงมาก ยิ่งเมื่อ Expansion ที่ชื่อ Yuri's Revenge ออกวางจำหน่ายในปีต่อมาก็ยิ่งทำให้เกมมีลูกเล่นที่หลากหลายและสนุกยิ่งขึ้น ความสำเร็จของ Expansion สูงในขนาดที่ว่าทำให้ผู้เล่นในไทยแค่พูดชื่อ Yuri ก็เป็นอันรู้กันว่าเกมไหน
(Expansion เป็นส่วนต่อขยายหรือเนื้อหาเสริมของเกมโดยจะขายเป็นแผ่นเกมแยกต่างหาก ในปัจจุบันรู้จักในชื่อว่า DLC )
Red Alert 2 คือจุดสูงสุดของ Westwood และ C&C ก็ว่าได้
หลังจากนั้นทาง Westwood ก็ได้วางจำหน่ายเกมอีก 2 เกมคือ Command & Conquer: Renegade ซึ่งเป็นแนว FPS ในโลกของ C&C วางจำหน่ายเมื่อปี 2002 และเป็น C&C ภาคสุดท้ายที่พัฒนาในนาม Westwood
สำหรับภาคนี้ ปกติแล้วผู้เขียนไม่นิยมเกมแนว FPS แต่ซื้อเพราะมันคือ C&C และแนวคิดที่ให้ผู้เล่นลงไปอยู่ในโลกของ C&C สามารถเข้าไปสำรวจสิ่งก่อสร้างต่าง ๆ รวมถึงขึ้นไปขับยานพาหนะที่มีใน C&C ได้นั้นเป็นอะไรที่น่าสนใจมาก
ต่อมา Command & Conquer: Generals ซึ่งเป็น C&C แนว RTS ที่แสดงผลแบบ 3D โพลีกอนภาคแรกก็ออกวางจำหน่ายในปี 2003 ซึ่งภาคนี้นอกจากจะเป็นภาคที่พัฒนาภายใต้ EA โดย EA Pacific (Burst Studios และ Westwood ที่ควบรวมกันแล้วเปลี่ยนชื่อ) แล้วยังเป็นภาคที่มีความสมจริงของยูนิตและอาวุธยุทโธปกรณ์ทางทหารมากที่สุดแต่ก็เป็นภาคที่ผู้เขียนมองข้ามมากที่สุดเช่นกันเพราะไม่มี Movie คนแสดงประกอบและคิดว่า C&C แบบสมจริงนั้นไม่น่าจะ Work
หลังจากนั้น C&C ก็ห่างหายไปถึง 3 ปี (ไม่นับรวม Command & Conquer: The First Decade ที่เป็นการเอาเกมทุกภาคของ C&C มาขายแบบมัดรวม)
ตอนนั้นผู้เขียนยังไม่รู้ว่านี่คือสัญญาณของความตกต่ำที่กำลังจะแสดงออกมาให้เห็นแบบเป็นรูปร่างในอนาคต
ปล.ตอนนี้ผมได้เปิด Facebook Page “บทความตามใจฉัน”
โดยบทความจะหลายหลากคละประเภทกันไปความตามความสนใจนั้นขณะนั้น ถ้าสนใจก็กดติดตามได้ครับ
https://www.facebook.com/uptomejournal/
บทความตามใจฉัน “C&C รุ่งเรืองถึงร่วงโรยจากมุมมองของแฟนเกม” Part 1
สำหรับผู้เขียนแล้ว เกมนี้มีความสำคัญในฐานะสิ่งที่ทำให้ผู้เขียนได้เข้าสู่โลกของ Computer ร่วมถึงได้เรียนรู้อะไรต่าง ๆ อีกมากมายจากการใช้ Computer เพื่อเล่นเกม
บทความในคราวนี้ผู้เขียนจะเล่าถึงเกม C&C นี้จากมุมของแฟนเกมคนหนึ่ง ตั้งแต่เริ่มต้น รุ่งเรืองและร่วงโรย
ผู้เขียนได้เห็นเกม C&C ครั้งแรกจากบ้านญาติที่มีคอมพิวเตอร์และนี่มีส่วนทำให้ได้เครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องแรกในชีวิตมาใช้งาน
CPU 486 DX2 66MHz, Ram 8 MB, Harddisk ขนาดเท่าไหร่จำไม่ได้แล้ว และมี CD Drive ความเร็วเท่าไหร่ก็ไม่รู้
ที่ไม่รู้อะไรมากเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์เพราะยังมือใหม่มาก มากชนิดที่มองคอมพิวเตอร์ก็คือคอมพิวเตอร์ ไม่เห็นจะต่างกันตรงไหน เรื่องยี่ห้อรุ่นของส่วนประกอบต่าง ๆ ที่ใส่มาไม่มีความรู้เลย
ตอนนั้นสนแค่ว่าเล่น C&C ได้เป็นพอ
ในยุคนั้น (1990s) เกมคอมพิวเตอร์แนว RTS กำลังเป็นที่นิยมจากการมาของเกม Dune II: The Building of a Dynasty ที่ออกวางจำหน่ายเมื่อเดือนธันวาคม 1992 พัฒนาโดยบริษัท Westwood ซึ่งเกมนี้จุดประกายให้บริษัทเกมอื่น ๆ สร้างเกมแนวเดียวกันนี้ออกมาบ้าง ที่โดดเด่นเป็นพิเศษก็เช่น Warcraft ที่พัฒนาโดยบริษัท Blizzard ซึ่งปัจจุบันนี้กลายเป็นเกมแนว massively multiplayer online role-playing game (MMORPG) ที่ฮิตทั่วโลกไปแล้ว
เมื่อเข้าสู่ปี 1995 เกมแนว RTS เกมใหม่ของ Westwood ก็ออกวางตลาด นั้นคือเกม Command & Conquer หรือชื่อย่อว่า C&C นี้นั้นเอง โดยมีคู่แข่งที่น่ากลัวคือ Warcraft 2 ของ Blizzard
ในรูปคือหนังสือสอนการใช้งานคอมพิวเตอร์เล่มแรกในชีวิต เป็นการ์ตูนสอนวิธีการใช้งาน MS-Dos ซึ่งเป็น OS หลักในสมัยนั้นและจำเป็นมากในการติดตั้งและเล่นเกม
(รูปมาจาก internet หนังสือตัวจริงยังมีอยู่แต่ไม่สะดวกที่จะค้นออกมา)
หากให้เทียบระหว่าง C&C กับ Warcraft 2 ผู้เขียนในสมัยนั้นชอบ C&C มากกว่าด้วยสาเหตุ 3 ประการ
1. C&C มี Setting อยู่ในโลกปัจจุบันแบบ Sci-Fi ซึ่งผู้เขียนในช่วงนั้นชอบแนวนี้มากกว่าแนวแฟนตาซี
2. C&C ไม่จำกัดจำนวนยูนิตที่สร้างได้ทำให้เล่นง่ายกว่า Warcraft ที่นอกจากจะจำกัดจำนวนยูนิตแล้วยังต้องสร้างสิ่งก่อสร้างที่ช่วยขยายขนาดของกองทัพอีก สำหรับผู้เขียนช่วงนั้นที่ยังเด็กแล้วระบบนี้มันค่อยข้างยุ่งยากและชวนจุกจิก
3. C&C มีภาพยนตร์คนแสดงเป็น Cut screen ประกอบการเล่าเรื่องทุกด่านซึ่งมันเท่มากในยุคนั้น
4. Kane หัวหน้าของฝ่าย NOD ซึ่งเป็นตัวร้ายในเกมนั้นนำแสดงโดย Joseph David Kucan (โจเซฟ เดวิส คูแคน) และเพราะอะไรไม่รู้ตัวละคร Kane ที่แสดงโดนโจเซฟนั้นมีเสนห์อย่างประหลาดซึ่งต่อมามีผลให้เค้ากลายเป็นตัวละครสัญลักษณ์ของ C&C ไป และนี่ทำให้เมื่อ C&C ภาคใหม่ออกผู้เขียนจะเล่นฝ่าย NOD ที่นำโดย Kane ก่อนเสมอ
FOR KANE.
ข้างล่างนี้คือ Link ฉากเปิดตัว Kane ครั้งแรกในเกม C&C
https://www.youtube.com/watch?v=goQiwNZzoVA
เมื่อเข้าสู่เดือนพฤศจิกายน 1996 Westwood ก็ได้ส่งภาคแยกของ C&C ลงสนามในชื่อว่า Command and Conquer: Red Alert โดนแผนเดิมนั้นตั้งใจจะให้ภาคนี้เป็นภาคก่อนเกิดเหตุการใน C&C Original และเป็นภาคแรกที่มีการนำทัพเรือมาไว้ในเกม ส่วนตัวแล้วถือเป็น C&C ที่มียูนิตเอกลักษณ์โดดเด่นหลายตัวแม้หลายยูนิตเป็นการรียูตจาก C&C แล้วเพิ่มลูกเล่นเล็กน้อยก็ตาม ยูนิตที่โดดเด่นก็เช่น Tanya, Spy, Guard Dog และ Chronosphere สิ่งก่อสร้างที่สามารถย้ายยูนิตพาหนะไปยังที่ใดในแผนที่ก็ได้.
ในปี 1998 นั้นได้เกิดจุดเปลี่ยนสำคัญขึ้น นั้นคือ VIE บริษัทแม่ของ Westwood นั้นประสบปัญหาทางการเงินอย่างมากจนต้องขายทรัพย์สินหรือบริษัทในเครือบางส่วนออกไป
Westwood เองก็เป็นหนึ่งในนั้น
นี่ทำให้ Electronic Arts หรือ EA ซึ่งเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ในวงการเกมสนใจและได้ทำการเข้าซื้อ Westwood และ Burst Studios ซึ่งเป็นบริษัทสาขาของ Westwood ไปในราคา 122.5 ล้าน USD ในเดือนสิงหาคม 1998
แต่ในปีเดียวกันนั้น Westwood ก็ต้องเจอกับคู่ต่อสู้ที่น่ากลัวจาก Blizzard ซึ่งส่งเกม RTS ชื่อ StarCraft ลงแข่งขัน ด้วยระบบการเล่นที่สมดุลกว่า, สิ่งก่อสร้างและยูนิตรวมถึงแนวการเล่นของแต่ละฝ่ายที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงและเนื้อเรื่องที่เข้มข้นทำให้ StarCraft ได้รับความนิยมอย่างถล่มหลายและกลายเป็นเกมยอดนิยมเกมหนึ่งสำหรับการแข่งขันอยู่หลายปี รวมถึงมีการจัดแข่ง StarCraft ด้วย AI อีกด้วย จนกระทั้ง StarCraft 2 ออกวางจำหน่ายเมื่อปี 2010 แฟน ๆ StarCraft จึงเริ่มย้ายมาเล่นภาค 2 แทน
Westwood จึงโต้กลับด้วยเกมภาคต่อของ C&C ภาคหลักชื่อว่า Command & Conquer: Tiberian Sun ออกวางจำหน่ายเมื่อเดือนสิงหาคม 1999 โดยเป็น C&C ภาคสุดท้ายที่กล่องแปะป้ายผู้พัฒนา Westwood เพียงบริษัทเดียว
แม้ว่าผลตอบรับจะดีแต่น่าเสียดายที่ความยิ่งใหญ่ของ StarCraft นั้นกลบรัศมีของ Tiberian Sun เสียมิด
เสียงของผู้เล่น StarCraft ดังกว่าและเป็นที่สนใจของสื่อต่าง ๆ มากกว่า
ปี 2000 Westwood จึงโต้กลับอีกครั้งด้วยภาคต่อของ C&C Red Alert
ซึ่งต่อมาได้รับการยอมรับว่าเป็นภาคที่ดีที่สุดของC&C
Command & Conquer: Red Alert 2 ออกวางจำหน่ายเมื่อเดือนตุลาคม 2000 โดยกล่องนั้นมีติดป้ายผู้พัฒนาเป็น EA แล้วโดยชื่อ Westwood นั้นถูกปรับให้เด่นน้อยลงโดนถูกแปะหลบออกไปทางมุมขวาล่างของกล่อง
ด้วยการใช้สีกราฟิกแบบอเมริกันคอมมิค, สิ่งก่อสร้างและยูนิตที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวและหลากหลายพร้อมทั้งลูกเล่นที่แพรวพราวทำให้ C&C ภาคนี้ได้รับความนิยมสูงมาก ยิ่งเมื่อ Expansion ที่ชื่อ Yuri's Revenge ออกวางจำหน่ายในปีต่อมาก็ยิ่งทำให้เกมมีลูกเล่นที่หลากหลายและสนุกยิ่งขึ้น ความสำเร็จของ Expansion สูงในขนาดที่ว่าทำให้ผู้เล่นในไทยแค่พูดชื่อ Yuri ก็เป็นอันรู้กันว่าเกมไหน
(Expansion เป็นส่วนต่อขยายหรือเนื้อหาเสริมของเกมโดยจะขายเป็นแผ่นเกมแยกต่างหาก ในปัจจุบันรู้จักในชื่อว่า DLC )
Red Alert 2 คือจุดสูงสุดของ Westwood และ C&C ก็ว่าได้
หลังจากนั้นทาง Westwood ก็ได้วางจำหน่ายเกมอีก 2 เกมคือ Command & Conquer: Renegade ซึ่งเป็นแนว FPS ในโลกของ C&C วางจำหน่ายเมื่อปี 2002 และเป็น C&C ภาคสุดท้ายที่พัฒนาในนาม Westwood
สำหรับภาคนี้ ปกติแล้วผู้เขียนไม่นิยมเกมแนว FPS แต่ซื้อเพราะมันคือ C&C และแนวคิดที่ให้ผู้เล่นลงไปอยู่ในโลกของ C&C สามารถเข้าไปสำรวจสิ่งก่อสร้างต่าง ๆ รวมถึงขึ้นไปขับยานพาหนะที่มีใน C&C ได้นั้นเป็นอะไรที่น่าสนใจมาก
ต่อมา Command & Conquer: Generals ซึ่งเป็น C&C แนว RTS ที่แสดงผลแบบ 3D โพลีกอนภาคแรกก็ออกวางจำหน่ายในปี 2003 ซึ่งภาคนี้นอกจากจะเป็นภาคที่พัฒนาภายใต้ EA โดย EA Pacific (Burst Studios และ Westwood ที่ควบรวมกันแล้วเปลี่ยนชื่อ) แล้วยังเป็นภาคที่มีความสมจริงของยูนิตและอาวุธยุทโธปกรณ์ทางทหารมากที่สุดแต่ก็เป็นภาคที่ผู้เขียนมองข้ามมากที่สุดเช่นกันเพราะไม่มี Movie คนแสดงประกอบและคิดว่า C&C แบบสมจริงนั้นไม่น่าจะ Work
หลังจากนั้น C&C ก็ห่างหายไปถึง 3 ปี (ไม่นับรวม Command & Conquer: The First Decade ที่เป็นการเอาเกมทุกภาคของ C&C มาขายแบบมัดรวม)
ตอนนั้นผู้เขียนยังไม่รู้ว่านี่คือสัญญาณของความตกต่ำที่กำลังจะแสดงออกมาให้เห็นแบบเป็นรูปร่างในอนาคต
ปล.ตอนนี้ผมได้เปิด Facebook Page “บทความตามใจฉัน”
โดยบทความจะหลายหลากคละประเภทกันไปความตามความสนใจนั้นขณะนั้น ถ้าสนใจก็กดติดตามได้ครับ
https://www.facebook.com/uptomejournal/