.
“ขอบคุณมาก ๆ ค่ะที่คุยเป็นเพื่อนตลอดทาง” เมธีโพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก แอบถ่ายรูปของเธอขณะกำลังหลับที่เบาะข้าง ๆ คนขับ ไม่พอแถมยังติดแท็กให้เธออีกด้วย
เมื่อถึงปั๊มน้ำมันข้างทางแวะพักรถสักหน่อย พรนภาลืมตาตื่นเพราะรถจอด หน้าบึ้งตึงเปิดประตูลงจากรถเพราะต้องการทำธุระส่วนตัว โดยมีสายตาของเมธีเมียงมองมาอย่างคนพอใจปนรู้สึกผิด ยิ้มที่มุมปากนิดหน่อยอย่างคนยอมรับผิด
“ไม่ต้องมายิ้ม ไม่รับ! ฮ่วย” พรนภายังหน้าบึ้งใส่คนข้าง ๆ ไม่เลิก เธอทราบเหตุผลที่เขาทำแบบนี้ดี และเข้าใจดี เธอแค่อยากงอน แค่อยากไม่เข้าใจเฉย ๆ ทำไมมันต้องเป็นแบบนี้ด้วย อันที่จริงไม่ได้งอนเมธี แต่เธองอนดินฟ้าอากาศต่างหาก ก่อนจะแกะสายเข็มขัดนิรภัยออกจากตัวและเปิดประตูลงจากรถ
“เอ๋า น้องนภา ก็เหนือมันไปไม่ได้ มันมีโควิด” เมธีพูดเสียงอ่อย เหมือนคนรู้สึกผิด พร้อมส่งยิ้มหวานให้กับเธอ “ไม่ใช่พี่ไม่อยากพาไป พี่เคยขัดใจนภาเหรอคะ นภาก็รู้นิสัยพี่ดี”
เธอรู้ว่าเมธีไม่ได้รู้สึกผิดจริง ๆ แค่เสแสร้งแกล้งทำไปอย่างนั้นเอง ไอ้โรคโควิดที่พูดถึงอยู่ที่จังหวัดเชียงรายต่างหาก หาใช่จังหวัดน่านที่ไหน
“ก็นั่นมันเชียงราย แต่ที่นภาจะไปมันคือน่าน! จังหวัดน่าน! ไม่ใช่กาฬสินธุ์ ฮ่วย! ไม่อยากคุยกับพี่เมธีแล้ว ไปเข้าห้องน้ำดีกว่า ชิ!” พรนภามองค้อน หน้าบึ้งก่อนจะปิดประตูรถแรง ๆ กระทบเมธีและเดินเข้าห้องน้ำไป
เมธีมองตาม ส่ายหัวให้กับความเอาแต่ใจของพรนภา ถึงอย่างไรเขาก็รัก ต่างคนต่างทำธุระส่วนตัว เมื่อพักให้หายเมื่อยแล้วจึงออกเดินทางกันต่อ จุดมุ่งหมายแต่เดิมคือภาคเหนือ พอมีข่าวโรคระบาดแพร่กระจายมา จุดหมายจึงเปลี่ยนมาเป็นภาคตะวันออกเฉียงเหนือแทน
พรนภาก็ยังหน้าบึ้งอยู่อย่างนั้น “น้องนภายิ้มให้พี่หน่อยค่ะ “ เมธีหันมาคุยกับเธอคณะขับรถ “หน้าบูดไม่สวยเลย นะ ๆ ยิ้มหน่อยค่ะ พี่ไม่มีแรงขับรถเลย”
“ยิ้ม!” พรนภาฉีกยิ้ม ยกมือขึ้นมาใช้นิ้วฉีกยิ้มตัวเองที่มุมปากสองข้าง หันไปยิ้มให้เมธี
เมธีหัวเราะลั่น “เล่นอะไรเป็นเด็ก ๆ ไปได้ นึกว่าลิพูล ฮา ลิพูลมันชอบทำแบบนี้เวลาพี่บังคับมันยิ้ม” เมธีพูดถึงลูกชายคนเดียวของตนกับอดีตภรรยา “ยิ้มดี ๆ ให้พี่ไม่ได้เหรอคะ พี่ขอโทษ ไม่ใช่พี่ไม่อยากพาไป น่านก็เหนือเหมือนกัน ปลอดภัยไว้ก่อนไง นะคะน้องนภา หายงอนพี่นะคะ”
“พี่เมธีก็เลยพานภาไปกาฬสินธุ์แทน”
“เขาวงก็ภูเขาเหมือนกันเด้ล่ะ อากาศดีเหมือนกัน ที่เที่ยวก็มี เดี๋ยวพี่พาไปกลางเต็นท์นอน เอ๊ะ!หรือเรานะไปภูพานดี” เมธีพูดพลางขับรถไปพลาง อย่างคนอารมณ์ดี เปิดเพลงฟังในรถสบาย ๆ ขับเรื่อย ๆ ไม่รีบร้อน ปลอดภัยในการเดินทางไว้ก่อนเสมอ
“พี่เมธี!” พรนภาลากเสียงยาว ๆ หันไปมองค้อนอีกรอบแบบหมั่นไส้ “ นั่นมันภูเขาไม่ใช่ดอย ฮ่วย!”
“ก็คิดว่ามันเป็นดอยซี้ ดอยก็ภูเขาเหมือนกัน นาน้องนภา นะคะ! รอบหน้านะ รอบนี้กลับบ้านกัน” ทั้งคู่พูดคุยกันอีกคนพยายามง้อ อีกคนงอนตลอดทางกลับบ้าน บวกกับเสียงเพลงที่เปิดตลอดทางทำให้บรรยากาศไม่เงียบเหงาง่วงนอนเหมือนเมื่อครู่ เพราะพรนภาตื่นแล้ว
“ต่างกันลาวฟ้ากับเหวเลย! ไปถึงเขาวงขนาดนั้น แวะบ้านนภามั้ยอ่ะ ทางผ่านพอดีเลย” พรนภาอยากพูดประชดไปอย่างนั้นเอง ไม่ได้จะพาไปจริงอย่างที่พูด
“ก็ดีนะครับ ยิ้มให้พี่ได้ยัง ยิ้มหน่อยเร็ว ให้มีกำลังใจครับรถหน่อย” พอเมธีพูดจบพรนภาก็ทำเป็นยิ้มให้อย่างตลก เมธีหัวร่อกับท่าทางการยิ้มของเธอ “เอออย่างนี้หน่อย ค่อยเป็นนภาของพี่เมธี รอบหน้านะคะเด็กน้อยของพี่” พร้อมยกมือข้างซ้ายขึ้นมายีผมของเธอก่อนจะตั้งใจขับรถต่อไป
“สัญญาแล้วนะ” พรนภายกนิ้วชี้ขึ้นขู่แบบตลกไม่ได้จะจริงจังอะไรเช่นกัน
“ค่ะ พี่สัญญา น้องนภาเปลี่ยนเพลงดิ๊ เพลงอะไรของหนูเนี่ย”
“พี่เมธีจะฟังเพลงอะไร” เพลงที่เธอเปิดเป็นเพลงที่ตนเองชอบคนเดียวทั้งนั้น ล้วนแต่เป็นเพลงลูกทุ่งยอดฮิตสมัยใหม่ นักร้องวัยรุ่นร่วมรุ่นกับเธอ
“แม่ของเจ้าเป็นผู้สาวเก่าอ้ายตั้วน้อนาง! พรศักดิ์ ส่องแสง ฮา เร็ว ๆ เอาเพลงนี้ค่ะ “ เมธีหัวเราะกับคำพูดของตัวเองทันทีที่พูดจบ
“ฮา! “ พรนภาเองก็อดขำไม่ได้กับสิ่งที่เมธีทำเมื่อครู่ “ได้ ๆ เดี๋ยวนภาจัดให้ สำพอได้เป็นลูกเขยกันล่ะน้อ ชอบเหมือน ๆ กัน” พูดแล้วก็ตลกตัวเอง ขำกับคำพูดของตัวเอง เมื่อมองหน้าเมธีและนึกถึงใบหน้าของพ่อตนเอง พรนภาก็ยิ้มและหัวเราะเบา ๆ
“ขำทำไมคะ พ่อเกิด พ.ศ. อะไร ฮา”
“น้องอยู่ พี่เมธีเป็นน้องอยู่ พ่อเลขห้าแล้ว ห้าต้น ๆ ”
“แม่อ่ะ แม่อายุเท่าไหร่”
“อือ!...” พรนภาทำท่าทางครุ่นคิด “ไม่แน่ใจนะว่าพี่เมธีกับแม่ใครเกิดก่อนใคร ฮา” พรนภาหัวเราะออกมาอย่างเสียงดัง ไม่ได้รังเกียจอะไรในตัวเขา ในความเป็นเขาเลย หรือรู้สึกอะไรต่อความสัมพันธ์ของเธอกับเขาเลยสักนิด ยิ่งนานวันยิ่งรัก และรู้สึกโชคดีที่ได้ใช้ชีวิตคู่กับเขา
ทั้งสองคนขับรถไปคุยกันไป เกือบ ๆ แปดชั่วโมงได้กว่าจะถึงบ้านของเมธี และเธอก็เปิดเพลงที่เมธีขอให้ฟังจริง ๆ ฟัง ๆ ไปก็ไพเราะดี ฟังไปมองหน้าเขาไปพลาง ๆ เป็นความบังเอิญเหลือเกิน ที่เธอและเขามาจากภูมิลำเนาที่เดียวกัน ต่างกันก็แค่อำเภอ
“นภา! นภาตื่นลูกไหนบอกจะทำข้าวจี่” เสียงแม่เคาะประตูห้องนอน เสียงดังสนั่น ทำให้เธอต้องสะดุ้งผวาตื่น นึกเสียดายกำลังฝันดี ๆ อยู่เลยเชียว ฝันถึงพี่เมธีอีกแล้ว คนในฝันของเธอ
ไม่ได้ฝันถึงเขาทุกคืน แต่ทุก ๆ ครั้งที่ฝันถึง มันมีความสุขที่สุด บางครั้งก็เป็นเรื่องเป็นราว ฝันเป็นตุเป็นตะ บางครั้งก็จับต้นชนปลายไม่ถูก ทว่าทุกทีที่ฝันถึงเธอมีความสุขที่สุด ความสุขที่อธิบายเป็นคำพูดไม่ได้ สุขมันล้นเอ่อที่หัวใจ
“จ้า! “ พรนภาตะโกนตอบผู้เป็นแม่จากในห้องนอน ร่างกายยังนอนขดอยู่ใต้ผ้าห่มนวมผืนหนาเพราะอากาศหนาว “แม่นะแม่! ขัดความสุขนภาจังเลย “ เธอบ่นอุบอิบ พอนึกถึงฝันเมื่อเช้าก็ทำเอายิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว
“ฝันตอนเช้าโบราณว่าจะเกิดขึ้นจริงมั้ยน๊า” บ่นคนเดียวเบา ๆ พร้อมยิ้มที่ปนไปด้วยความสุข แต่ทันใดนั้นใบหน้าของพี่โค๊กก็ลอยเข้ามาในหัว ทำให้ยิ้มที่แสนสุขต้องหุบลงในทันที พี่โค๊กคือความจริงของเธอต่างหากล่ะ
“ความจริงก็คือความจริง ส่วนความฝันก็คือความฝันนภา ไม่มีวันได้เกิดขึ้นจริงหรอก ฝันตอนเช้าก็เป็นฝันกลางวันดี ๆ นี่แหละ ไม่มีทางเกิดขึ้นจริงหรอก” พรนภาบ่นกับตัวเอง ถอนหายใจเบา ๆ ก่อนจะลุกจากเตียงนอน เดินออกจากห้องนอนไปจี่ข้าวจี่ในตอนเช้ามืด
เช้ามืดที่แสนหนาวเหน็บ ตอนนี้ที่บ้านเกิดของเธอหนาวมาก พรนภากลับมาทำธุระสี่วัน เธอเดินทางมาคนเดียว พี่โค๊กไม่ได้ตามมาด้วย เพราะฉะนั้นแล้ว เธอสามารถคุยกับพี่เมธีได้ตลอด 24 ชั่วโมง ตลอดระยะเวลาสี่วันนี้ได้เลย
ระหว่างนั่งจี่ข้าวจี่หน้าเตาไฟ พรนภาก็ส่งสติ๊กเกอร์ไปทักทายสวัสดีตอนเช้าแก่เมธี เป็นการปลุกให้ตื่นไปทำงานในตัวซะเลย
เหมือนว่าเมธีจะลังเล เพราะปกติไม่ได้คุยกันในเวลานี้ ถึงจะคลาดเคลื่อนนิดหน่อยก็ไม่ใช่ช่วงเช้า ๆ แบบนี้แน่นอน เมธีอ่านแต่ไม่ตอบกลับ
“พี่เมธีนภาเองค่ะ ฮา นภาถึงบ้านแล้ว” เธอส่งข้อความและรูปถ่าย ณ ขณะนั้นให้เมธีดูเพื่อยืนยันว่าเป็นเธอเอง ไม่ใช่คนอื่น
“ค่ะ พี่รู้แล้ว พี่แค่แปลกใจ น้องนภาตื่นเช้า”
“แม่ปลุก มากินข้าวจี่ค่ะพี่เมธี” พร้อมส่งรูปให้ดู “พี่เมธี นภาไม่งอนพี่กับผู้หญิงคนนั้นแล้วก็ได้” พร้อมส่งสติ๊กเกอร์หัวเราะให้
“เย้! ว่าแต่ทำไมคะ” เมธีพิมพ์ตอบกลับมาทันที คงจะอยากคุยกันมากสิท่า
“เอ๋า บอกว่าไม่งอนก็ไม่งอนสิ หรือให้ต้องกลับไปงอน ฮึ?” พรนภาหัวเราะคนเดียวให้หน้าจอโทรศัพท์ ข้าง ๆ เตาไฟ พร้อมย่างข้าวจี่ไปด้วย ถัดไปเป็นชามไข่ เอาไว้โรยข้าวจี่เพิ่มความอร่อยอีกเท่าตัว “แต่ห้ามทักก่อนนะ ถ้าเห็นเข้าไปทักก่อนงอน!”
“เอ๋า ไหนบอกไม่งอนแล้วไง”
“ก็ไม่งอนไง แต่พี่เมธีห้ามคุยกับเธอก่อน ให้เธอคุยกับพี่เมธีได้ จับได้งอน เลิก! ไม่คุยด้วยเลย อย่างว่าแหละ นางก็สวยน้อ น่ารัก นิสัยดี พูดก็เพราะ เก่งก็เก่งมีแต่คนอยากเข้าหา รวมถึงพี่เมธีอีกคนด้วย เดี๋ยวเหอะ! ดูนภาดิมีอะไร คนละตาวเลยอ่ะ” พรนภาพิมพ์ยืดยาว เมธีไม่เชื่อเมธีก็ลองดูสิ หึหึ
“นภาก็คือนภาค่ะ พี่รักนภา พี่ไม่ได้รักเธอ ต่อให้เธอจะประกวดนางงามชนะเลิศมา ตะโกนบอกรักพี่ ขอพี่เป็นแฟน พี่ก็รักนภาคนนี้ค่ะ” ความหมายคำว่ารักของเมธีเขารู้ดี รักที่เป็นจริงไม่ได้ รักที่ใจแม้จะจับต้องไม่ได้ก็ตาม
“บู้ย! พูดคือแท้ ฮา คิดถึงนะคะ ฝันถึงด้วย”
“ว่า!...”
เธอนั่งคุยกับเมธีหน้าเตาไฟ ย่างข้าวจี่ไปด้วย พิมพ์ไปด้วย แม้จะทุลักทุเลก็ไม่ใช่ปัญหา ไม่ต้องการจะโทรคุย เพราะมันไม่ควร เหมือนคำพูดที่ว่า ผิดที่ผิดเวลานั่นเอง แค่แชทก็เพียงพอต่อใจแล้ว
เมธีเป็นความสุขของเธอ สุขที่ได้คิดถึง สุขที่ได้นึกถึง สุขที่ได้วาดฝันและจินตนาการ เมธีจะอยู่ในจินตนาการของเธอตลอดไป
แค่ได้คิด แค่ได้ฝัน เท่านั้นก็เพียงพอ ทำไมเราจะต้องห้ามตัวเองไม่ให้ฝัน ถ้าสิ่งนั้นมันคือความสุข ถึงแม้จะผิดแค่ไหนก็ตาม ทรยศตัวเองบ้างก็ได้ถ้าเป็นคนดีแล้วมันมีความทุกข์
ขอแค่ได้ฝันฉันหวังเท่านี้เอง คนในจินตนาการ...
จบบท...
ฝันหวาน (Sweet dream)8
.
“ขอบคุณมาก ๆ ค่ะที่คุยเป็นเพื่อนตลอดทาง” เมธีโพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก แอบถ่ายรูปของเธอขณะกำลังหลับที่เบาะข้าง ๆ คนขับ ไม่พอแถมยังติดแท็กให้เธออีกด้วย
เมื่อถึงปั๊มน้ำมันข้างทางแวะพักรถสักหน่อย พรนภาลืมตาตื่นเพราะรถจอด หน้าบึ้งตึงเปิดประตูลงจากรถเพราะต้องการทำธุระส่วนตัว โดยมีสายตาของเมธีเมียงมองมาอย่างคนพอใจปนรู้สึกผิด ยิ้มที่มุมปากนิดหน่อยอย่างคนยอมรับผิด
“ไม่ต้องมายิ้ม ไม่รับ! ฮ่วย” พรนภายังหน้าบึ้งใส่คนข้าง ๆ ไม่เลิก เธอทราบเหตุผลที่เขาทำแบบนี้ดี และเข้าใจดี เธอแค่อยากงอน แค่อยากไม่เข้าใจเฉย ๆ ทำไมมันต้องเป็นแบบนี้ด้วย อันที่จริงไม่ได้งอนเมธี แต่เธองอนดินฟ้าอากาศต่างหาก ก่อนจะแกะสายเข็มขัดนิรภัยออกจากตัวและเปิดประตูลงจากรถ
“เอ๋า น้องนภา ก็เหนือมันไปไม่ได้ มันมีโควิด” เมธีพูดเสียงอ่อย เหมือนคนรู้สึกผิด พร้อมส่งยิ้มหวานให้กับเธอ “ไม่ใช่พี่ไม่อยากพาไป พี่เคยขัดใจนภาเหรอคะ นภาก็รู้นิสัยพี่ดี”
เธอรู้ว่าเมธีไม่ได้รู้สึกผิดจริง ๆ แค่เสแสร้งแกล้งทำไปอย่างนั้นเอง ไอ้โรคโควิดที่พูดถึงอยู่ที่จังหวัดเชียงรายต่างหาก หาใช่จังหวัดน่านที่ไหน
“ก็นั่นมันเชียงราย แต่ที่นภาจะไปมันคือน่าน! จังหวัดน่าน! ไม่ใช่กาฬสินธุ์ ฮ่วย! ไม่อยากคุยกับพี่เมธีแล้ว ไปเข้าห้องน้ำดีกว่า ชิ!” พรนภามองค้อน หน้าบึ้งก่อนจะปิดประตูรถแรง ๆ กระทบเมธีและเดินเข้าห้องน้ำไป
เมธีมองตาม ส่ายหัวให้กับความเอาแต่ใจของพรนภา ถึงอย่างไรเขาก็รัก ต่างคนต่างทำธุระส่วนตัว เมื่อพักให้หายเมื่อยแล้วจึงออกเดินทางกันต่อ จุดมุ่งหมายแต่เดิมคือภาคเหนือ พอมีข่าวโรคระบาดแพร่กระจายมา จุดหมายจึงเปลี่ยนมาเป็นภาคตะวันออกเฉียงเหนือแทน
พรนภาก็ยังหน้าบึ้งอยู่อย่างนั้น “น้องนภายิ้มให้พี่หน่อยค่ะ “ เมธีหันมาคุยกับเธอคณะขับรถ “หน้าบูดไม่สวยเลย นะ ๆ ยิ้มหน่อยค่ะ พี่ไม่มีแรงขับรถเลย”
“ยิ้ม!” พรนภาฉีกยิ้ม ยกมือขึ้นมาใช้นิ้วฉีกยิ้มตัวเองที่มุมปากสองข้าง หันไปยิ้มให้เมธี
เมธีหัวเราะลั่น “เล่นอะไรเป็นเด็ก ๆ ไปได้ นึกว่าลิพูล ฮา ลิพูลมันชอบทำแบบนี้เวลาพี่บังคับมันยิ้ม” เมธีพูดถึงลูกชายคนเดียวของตนกับอดีตภรรยา “ยิ้มดี ๆ ให้พี่ไม่ได้เหรอคะ พี่ขอโทษ ไม่ใช่พี่ไม่อยากพาไป น่านก็เหนือเหมือนกัน ปลอดภัยไว้ก่อนไง นะคะน้องนภา หายงอนพี่นะคะ”
“พี่เมธีก็เลยพานภาไปกาฬสินธุ์แทน”
“เขาวงก็ภูเขาเหมือนกันเด้ล่ะ อากาศดีเหมือนกัน ที่เที่ยวก็มี เดี๋ยวพี่พาไปกลางเต็นท์นอน เอ๊ะ!หรือเรานะไปภูพานดี” เมธีพูดพลางขับรถไปพลาง อย่างคนอารมณ์ดี เปิดเพลงฟังในรถสบาย ๆ ขับเรื่อย ๆ ไม่รีบร้อน ปลอดภัยในการเดินทางไว้ก่อนเสมอ
“พี่เมธี!” พรนภาลากเสียงยาว ๆ หันไปมองค้อนอีกรอบแบบหมั่นไส้ “ นั่นมันภูเขาไม่ใช่ดอย ฮ่วย!”
“ก็คิดว่ามันเป็นดอยซี้ ดอยก็ภูเขาเหมือนกัน นาน้องนภา นะคะ! รอบหน้านะ รอบนี้กลับบ้านกัน” ทั้งคู่พูดคุยกันอีกคนพยายามง้อ อีกคนงอนตลอดทางกลับบ้าน บวกกับเสียงเพลงที่เปิดตลอดทางทำให้บรรยากาศไม่เงียบเหงาง่วงนอนเหมือนเมื่อครู่ เพราะพรนภาตื่นแล้ว
“ต่างกันลาวฟ้ากับเหวเลย! ไปถึงเขาวงขนาดนั้น แวะบ้านนภามั้ยอ่ะ ทางผ่านพอดีเลย” พรนภาอยากพูดประชดไปอย่างนั้นเอง ไม่ได้จะพาไปจริงอย่างที่พูด
“ก็ดีนะครับ ยิ้มให้พี่ได้ยัง ยิ้มหน่อยเร็ว ให้มีกำลังใจครับรถหน่อย” พอเมธีพูดจบพรนภาก็ทำเป็นยิ้มให้อย่างตลก เมธีหัวร่อกับท่าทางการยิ้มของเธอ “เอออย่างนี้หน่อย ค่อยเป็นนภาของพี่เมธี รอบหน้านะคะเด็กน้อยของพี่” พร้อมยกมือข้างซ้ายขึ้นมายีผมของเธอก่อนจะตั้งใจขับรถต่อไป
“สัญญาแล้วนะ” พรนภายกนิ้วชี้ขึ้นขู่แบบตลกไม่ได้จะจริงจังอะไรเช่นกัน
“ค่ะ พี่สัญญา น้องนภาเปลี่ยนเพลงดิ๊ เพลงอะไรของหนูเนี่ย”
“พี่เมธีจะฟังเพลงอะไร” เพลงที่เธอเปิดเป็นเพลงที่ตนเองชอบคนเดียวทั้งนั้น ล้วนแต่เป็นเพลงลูกทุ่งยอดฮิตสมัยใหม่ นักร้องวัยรุ่นร่วมรุ่นกับเธอ
“แม่ของเจ้าเป็นผู้สาวเก่าอ้ายตั้วน้อนาง! พรศักดิ์ ส่องแสง ฮา เร็ว ๆ เอาเพลงนี้ค่ะ “ เมธีหัวเราะกับคำพูดของตัวเองทันทีที่พูดจบ
“ฮา! “ พรนภาเองก็อดขำไม่ได้กับสิ่งที่เมธีทำเมื่อครู่ “ได้ ๆ เดี๋ยวนภาจัดให้ สำพอได้เป็นลูกเขยกันล่ะน้อ ชอบเหมือน ๆ กัน” พูดแล้วก็ตลกตัวเอง ขำกับคำพูดของตัวเอง เมื่อมองหน้าเมธีและนึกถึงใบหน้าของพ่อตนเอง พรนภาก็ยิ้มและหัวเราะเบา ๆ
“ขำทำไมคะ พ่อเกิด พ.ศ. อะไร ฮา”
“น้องอยู่ พี่เมธีเป็นน้องอยู่ พ่อเลขห้าแล้ว ห้าต้น ๆ ”
“แม่อ่ะ แม่อายุเท่าไหร่”
“อือ!...” พรนภาทำท่าทางครุ่นคิด “ไม่แน่ใจนะว่าพี่เมธีกับแม่ใครเกิดก่อนใคร ฮา” พรนภาหัวเราะออกมาอย่างเสียงดัง ไม่ได้รังเกียจอะไรในตัวเขา ในความเป็นเขาเลย หรือรู้สึกอะไรต่อความสัมพันธ์ของเธอกับเขาเลยสักนิด ยิ่งนานวันยิ่งรัก และรู้สึกโชคดีที่ได้ใช้ชีวิตคู่กับเขา
ทั้งสองคนขับรถไปคุยกันไป เกือบ ๆ แปดชั่วโมงได้กว่าจะถึงบ้านของเมธี และเธอก็เปิดเพลงที่เมธีขอให้ฟังจริง ๆ ฟัง ๆ ไปก็ไพเราะดี ฟังไปมองหน้าเขาไปพลาง ๆ เป็นความบังเอิญเหลือเกิน ที่เธอและเขามาจากภูมิลำเนาที่เดียวกัน ต่างกันก็แค่อำเภอ
“นภา! นภาตื่นลูกไหนบอกจะทำข้าวจี่” เสียงแม่เคาะประตูห้องนอน เสียงดังสนั่น ทำให้เธอต้องสะดุ้งผวาตื่น นึกเสียดายกำลังฝันดี ๆ อยู่เลยเชียว ฝันถึงพี่เมธีอีกแล้ว คนในฝันของเธอ
ไม่ได้ฝันถึงเขาทุกคืน แต่ทุก ๆ ครั้งที่ฝันถึง มันมีความสุขที่สุด บางครั้งก็เป็นเรื่องเป็นราว ฝันเป็นตุเป็นตะ บางครั้งก็จับต้นชนปลายไม่ถูก ทว่าทุกทีที่ฝันถึงเธอมีความสุขที่สุด ความสุขที่อธิบายเป็นคำพูดไม่ได้ สุขมันล้นเอ่อที่หัวใจ
“จ้า! “ พรนภาตะโกนตอบผู้เป็นแม่จากในห้องนอน ร่างกายยังนอนขดอยู่ใต้ผ้าห่มนวมผืนหนาเพราะอากาศหนาว “แม่นะแม่! ขัดความสุขนภาจังเลย “ เธอบ่นอุบอิบ พอนึกถึงฝันเมื่อเช้าก็ทำเอายิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว
“ฝันตอนเช้าโบราณว่าจะเกิดขึ้นจริงมั้ยน๊า” บ่นคนเดียวเบา ๆ พร้อมยิ้มที่ปนไปด้วยความสุข แต่ทันใดนั้นใบหน้าของพี่โค๊กก็ลอยเข้ามาในหัว ทำให้ยิ้มที่แสนสุขต้องหุบลงในทันที พี่โค๊กคือความจริงของเธอต่างหากล่ะ
“ความจริงก็คือความจริง ส่วนความฝันก็คือความฝันนภา ไม่มีวันได้เกิดขึ้นจริงหรอก ฝันตอนเช้าก็เป็นฝันกลางวันดี ๆ นี่แหละ ไม่มีทางเกิดขึ้นจริงหรอก” พรนภาบ่นกับตัวเอง ถอนหายใจเบา ๆ ก่อนจะลุกจากเตียงนอน เดินออกจากห้องนอนไปจี่ข้าวจี่ในตอนเช้ามืด
เช้ามืดที่แสนหนาวเหน็บ ตอนนี้ที่บ้านเกิดของเธอหนาวมาก พรนภากลับมาทำธุระสี่วัน เธอเดินทางมาคนเดียว พี่โค๊กไม่ได้ตามมาด้วย เพราะฉะนั้นแล้ว เธอสามารถคุยกับพี่เมธีได้ตลอด 24 ชั่วโมง ตลอดระยะเวลาสี่วันนี้ได้เลย
ระหว่างนั่งจี่ข้าวจี่หน้าเตาไฟ พรนภาก็ส่งสติ๊กเกอร์ไปทักทายสวัสดีตอนเช้าแก่เมธี เป็นการปลุกให้ตื่นไปทำงานในตัวซะเลย
เหมือนว่าเมธีจะลังเล เพราะปกติไม่ได้คุยกันในเวลานี้ ถึงจะคลาดเคลื่อนนิดหน่อยก็ไม่ใช่ช่วงเช้า ๆ แบบนี้แน่นอน เมธีอ่านแต่ไม่ตอบกลับ
“พี่เมธีนภาเองค่ะ ฮา นภาถึงบ้านแล้ว” เธอส่งข้อความและรูปถ่าย ณ ขณะนั้นให้เมธีดูเพื่อยืนยันว่าเป็นเธอเอง ไม่ใช่คนอื่น
“ค่ะ พี่รู้แล้ว พี่แค่แปลกใจ น้องนภาตื่นเช้า”
“แม่ปลุก มากินข้าวจี่ค่ะพี่เมธี” พร้อมส่งรูปให้ดู “พี่เมธี นภาไม่งอนพี่กับผู้หญิงคนนั้นแล้วก็ได้” พร้อมส่งสติ๊กเกอร์หัวเราะให้
“เย้! ว่าแต่ทำไมคะ” เมธีพิมพ์ตอบกลับมาทันที คงจะอยากคุยกันมากสิท่า
“เอ๋า บอกว่าไม่งอนก็ไม่งอนสิ หรือให้ต้องกลับไปงอน ฮึ?” พรนภาหัวเราะคนเดียวให้หน้าจอโทรศัพท์ ข้าง ๆ เตาไฟ พร้อมย่างข้าวจี่ไปด้วย ถัดไปเป็นชามไข่ เอาไว้โรยข้าวจี่เพิ่มความอร่อยอีกเท่าตัว “แต่ห้ามทักก่อนนะ ถ้าเห็นเข้าไปทักก่อนงอน!”
“เอ๋า ไหนบอกไม่งอนแล้วไง”
“ก็ไม่งอนไง แต่พี่เมธีห้ามคุยกับเธอก่อน ให้เธอคุยกับพี่เมธีได้ จับได้งอน เลิก! ไม่คุยด้วยเลย อย่างว่าแหละ นางก็สวยน้อ น่ารัก นิสัยดี พูดก็เพราะ เก่งก็เก่งมีแต่คนอยากเข้าหา รวมถึงพี่เมธีอีกคนด้วย เดี๋ยวเหอะ! ดูนภาดิมีอะไร คนละตาวเลยอ่ะ” พรนภาพิมพ์ยืดยาว เมธีไม่เชื่อเมธีก็ลองดูสิ หึหึ
“นภาก็คือนภาค่ะ พี่รักนภา พี่ไม่ได้รักเธอ ต่อให้เธอจะประกวดนางงามชนะเลิศมา ตะโกนบอกรักพี่ ขอพี่เป็นแฟน พี่ก็รักนภาคนนี้ค่ะ” ความหมายคำว่ารักของเมธีเขารู้ดี รักที่เป็นจริงไม่ได้ รักที่ใจแม้จะจับต้องไม่ได้ก็ตาม
“บู้ย! พูดคือแท้ ฮา คิดถึงนะคะ ฝันถึงด้วย”
“ว่า!...”
เธอนั่งคุยกับเมธีหน้าเตาไฟ ย่างข้าวจี่ไปด้วย พิมพ์ไปด้วย แม้จะทุลักทุเลก็ไม่ใช่ปัญหา ไม่ต้องการจะโทรคุย เพราะมันไม่ควร เหมือนคำพูดที่ว่า ผิดที่ผิดเวลานั่นเอง แค่แชทก็เพียงพอต่อใจแล้ว
เมธีเป็นความสุขของเธอ สุขที่ได้คิดถึง สุขที่ได้นึกถึง สุขที่ได้วาดฝันและจินตนาการ เมธีจะอยู่ในจินตนาการของเธอตลอดไป
แค่ได้คิด แค่ได้ฝัน เท่านั้นก็เพียงพอ ทำไมเราจะต้องห้ามตัวเองไม่ให้ฝัน ถ้าสิ่งนั้นมันคือความสุข ถึงแม้จะผิดแค่ไหนก็ตาม ทรยศตัวเองบ้างก็ได้ถ้าเป็นคนดีแล้วมันมีความทุกข์
ขอแค่ได้ฝันฉันหวังเท่านี้เอง คนในจินตนาการ...
จบบท...