เมื่อวานที่ออสเตรเลีย เห็นเมะเรื่องนี้พึ่งเข้าโรงเลยจัดซะหน่อย ส่วนตัวหลังจากได้ดูอนิเมะฉบับ tv ซีรีย์ไปแล้วรู้สึกค้างคามาก และ movie ภาคนี้ก็ไม่ทำให้ผิดหวัง
เนื้อเรื่องภาคนี้เป็นเนื้อเรื่องต่อจากใน tv ซีรีย์และเป็นภาคจบของอนิเมะเรื่องนี้
สปอยเนื้อเรื่อง
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้เรื่องเริ่มฉายมาที่บ้านของครอบครัวๆนึงที่พึ่งจะกลับมาจากงานศพของคุณยาย เด็กสาววัยรุ่นชื่อ เดซี่ เธอกำลังคุยกับพ่อแม่ของเธอ แต่เธอนั่นเข้ากับพ่อแม่ได้ไม่ค่อยดีเท่าไร ระหว่างที่คุยกันอยู่เธอก็เดินไปรอบๆบ้านและเจอเข้ากับกล่องๆนึง หลังจากเปิดกล่องออกมาเธอก็เจอกับกองจดหมายมากมาย แม่ของเธอบอกว่านั่นเป็นจดหมายที่คุณย่าทวดเขียนให้กับคุณย่า แม้ว่าคุณย่าทวดจะเสียไปตั้งแต่คุณย่ายังเด็กๆ ใช่แล้วครับคุณย่าคนนี้ก็คือ แอนเด็กผู้หญิงที่ได้รับจดหมายจากแม่ของเธอเป็นเวลา 50 ปีนั่นเอง หลังจากนั้นพ่อกับแม่ของเดซี่ก็บอกว่าเดี๋ยวต้องไปทำงานในเมือง แต่เดซี่ก็ปฏิเสธและบอกว่าจะขออยู่บ้านนี้อีกสักพัก หลังจากพ่อกับแม่ของเดซี่ออกจากบ้านไปแล้ว เดซี่ก็ได้อ่านจดหมายทั้งหมดและก็ได้รู้ว่าคนที่เขียนจดหมายทั้งหมดนี้คือ ไวโอเล็ต ทำให้เดซี่ออกเดินทางตามหาเรื่องราวของผู้หญิงคนนี้
ฉากตัดกลับมาที่อดีต ไวโอเล็ต ได้รับเลือกให้เขียนบทกลอนสำหรับงานเทศกาลๆนึง (ผมไม่แน่ใจแต่เหมือนเป็นเทศกาลใหญ่เกี่ยวกับการขอบคุณทะเลอะไรสักอย่าง) หลังจากนั้นไวโอเล็ตและเพื่อนๆที่ทำงานก็ไปเดินเล่นกันในงานเทศกาล ก่อนที่ไวโอเล็ตจะขอตัวกลับก่อนเพราะว่ายังมีงานที่ค้างคาจากลูกค้าอยู่
ฉากตัดมาที่ชายคนนึง กำลังเดินอยู่บนเกาะแห่งหนึ่งพร้อมกับเด็กๆอีก 4-5 คน และก็มีเด็กคนนึงขอให้ผู้ชายคนนี้เขียนจดหมายเพื่อส่งให้พ่อของเขาที่ออกไปรบให้หน่อย ชายคนนี้ก็เขียนจดหมายให้
วันต่อมาที่สำนักไปรษณีย์ CH ทุกคนก็ทำงานกันตามปกติ และเอริก้าก็บ่นๆว่าในอนาคตต้องตกงานแน่เลยเพราะเมื่อไรที่เมืองตั้งเสาโทรศัพท์เสร็จคนก็คงเลิกใช้บริการ ดอลล์เขียนจดหมายหมด หลังจากนั้นเพื่อนของผู้พัน (คลาวเดีย โฮดกิ้นส์) ก็พูดขึ้นมาว่าพรุ่งนี้เป็นวันหยุดสุดสัปดาห์มีใครสนใจไปเล่นเทนนิสด้วยกันไหม ผู้หญิงทุกคนก็บอกว่ามีแผนอยู่แล้วว่าจะไปทำอะไร รวมถึงไวโอเล็ตด้วย
วันต่อมาโฮดกิ้นส์เลยได้ไปตีเทนนิสกับเบเนดิกต์ 2 ต่อ 2 แล้วทั้งคู่ก็สงสัยว่า ไวโอเล็ตไปอยู่ที่ไหนนะเพราะไม่บ่อยนักที่จะเห็นว่าไวโอเล็ตมีแผนจะไปไหนมาไหน
ตัดมาที่ไวโอเล็ตที่กำลังนำดอกไม้มาวางหน้าหลุมศพคุณแม่ของผู้พันกิลเบิร์ท ทันใดนั้นเองพี่ชายของผู้พันก็โผล่มาและก็ได้พูดคุยกับไวโอเล็ต หลังจากนั้นไวโอเล็ตก็ขอตัว แล้วพี่ชายผู้พันก็สังเกตเห็นริบบิ้นของไวโอเล็ตตกอยู่ใกล้ๆหลุมศพ แต่ยังไม่ทันจะทักพอเงยหน้าขึ้นมาไวโอเล็ตก็หายตัวไปแล้ว
ไวโอเล็ตกลับมาที่บริษัท CH และได้รับโทรศัพท์จากเด็กผู้ชายคนนึงว่าอยากให้มาช่วยเขียนจดหมายหน่อย (ถ้าเป็นคนอื่นรับ คงไม่ไปแน่ๆ 555) ด้วยความที่เป็นไวโอเล็ต เธอเลยเดินทางไปหาเด็กคนดังกล่าว เด็กคนดังกล่าวนั้นป่วยและรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล หลังจากทั้งคู่ได้เจอกันก็ได้แนะนำตัว และก็ได้รู้ว่าเด็กคนนี้ชื่อ ยูริ ระหว่างที่กำลังคุยกันอยู่ เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น ยูริบอกให้ไวโอเล็ตนั้นไปซ่อนตัวก่อน ไวโอเล็ตเลยไปหลบอยู่ใต้เตียงที่ยูรินอนอยู่ และคนที่เข้ามาในห้องก็คือครอบครัวของยูริประกอบไปด้วย พ่อ แม่ และน้องชายที่อายุ 5 ขวบ พวกเขามาเยี่ยมยูรินั่นเอง
หลังจากพ่อแม่มาเยี่ยมเสร็จ ไวโอเล็ตก็ออกมาคุยงานต่อ ยูริบอกว่าเขาอยากจะให้ช่วยเขียนจดหมายให้กับ พ่อ แม่ น้องชาย และเพื่อนของเขาชื่อ
ริวกะ โดยให้มอบจดหมายให้ครอบครัวเขาหลังจากที่เขาเสียชีวิตลง แต่เนื่องจากยูริมีเงินเก็บไม่มากพอ เลยทำให้เขียนจดหมายได้แค่สำหรับครอบครัวเขา หลังจากที่ไวโอเล็ตเขียนจดหมายเสร็จและกำลังจะเดินออกจากห้อง ยูริก็เรียกไวโอเล็ตว่าช่วยเขียนจดหมายให้ริวกะให้หน่อย ไวโอเล็ตก็บอกว่า ควรจะบอกความรู้สึกที่มีกับคนที่ยังมีชีวิตเองนะ เพราะเธอไม่ได้สามารถทำได้แล้ว
ตัดกลับมาที่หน้าบริษัท CH โฮดกิ้นส์กำลังคุยกับเบเนดิกต์ และไวโอเล็ตก็กลับมาพอดีเลยจะชวนไวโอเล็ตไปกินข้าวเย็นด้วยกัน และตอนนั้นเอง พี่ชายของผู้พันก็โผล่มาพอดี เพื่อที่จะนำริบบิ้นมาคืนให้กับไวโอเล็ต หลังจากนั้นทั้ง 3 คนก็ไปกินข้าวเย็น หลังจากกินข้าวเสร็จไวโอเล็ตก็กลับบ้าน ส่วนอีก 2 คนกลับไปที่บริษัท และไปเดินหาอะไรบางอย่างในที่เก็บจดหมาย แล้วโฮดกิ้นส์ก็ไปเห็น จดหมายฉบับนึงบนชั้นวางจดหมายที่กำลังจะถูกตีกลับหาผู้ส่งเพราะที่อยู่ผู้รับไม่ชัดเจน โฮดกิ้นส์ก็ต้องประหลาดใจกับจดหมายฉบับนี้เพราะลายมือผู้เขียนหน้าซองนั่นมันคล้ายกับลายมือผู้พัน เพื่อนของเขานั่นเอง
เช้าวันถัดมา โฮดกิ้นส์ ได้ไปหาพี่ชายผู้พันและเอาจดหมายให้ดู พี่ชายผู้พันเองก็ตกใจเหมือนกัน และในคืนนั้นเอง โฮดกิ้นส์ ก็ตัดสินใจไปหาไวโอเล็ตที่บ้านและบอกกับไวโอเล็ตว่า อาจจะเป็นไปได้ที่ผู้พันกิลเบิร์ทยังมีชีวิตอยู่
วันถัดมา โฮดกิ้นส์ กับไวโอเล็ตตัดสินใจเดินทางไปยังที่อยู่ในจดหมาย ซึ่งเป็นเกาะที่ห่างไกลออกไปจากเมืองไลเดนอย่างมาก เมื่อทั้งคู่ไปถึงที่หมาย ก็พบว่าที่อยู่นั่นเป็นเหมือนโรงเรียน มีอาคารอยู่หลายหลัง โฮดกิ้นส์ บอกกับไวโอเล็ตว่าให้รออยู่ข้างนอกเขาจะเข้าไปดูก่อนว่าใช่ผู้พันไหม ระหว่างที่โฮดกิ้นส์กำลังเดินเข้าไปในโรงเรียน โรงเรียนก็เลิกพอดีและเด็กๆก็กำลังจะกลับบ้าน ระหว่างนั้นไวโอเล็ตที่รออยู่ข้างนอกก็ได้เจอกับเด็กๆและถามถึงคุณครูของเขาว่ามีรูปร่างยังไง คำตอบจากเด็กๆทำให้ไวโอเล็ตมั่นใจว่าเป็นผู้พันแน่นอน และขอให้เด็กๆเล่าเรื่องของเขาให้ฟัง เมื่อโฮดกิ้นส์เดินไปถึงห้องเรียนก็เจอกับผู้พันกิลเบิร์ทที่เสียตาข้างขวากับแขนขวาไป โฮดกิ้นส์ก็ถามว่ารอดมาได้ยังไง ผู้พันก็บอกว่าหลังจากที่ตัวเองนอนอยู่ใต้ซากหิน พอรู้สึกตัวอีกทีก็มาอยู่ที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งและได้รักษาตัวอยู่ที่นั่น แต่เพราะรู้สึกว่าตัวเองได้ทำผิดร้ายแรงลงไปที่ใช้เด็กสาวคนนึงเป็นเครื่องมือแถมยังทำให้เด็กสาวคนนั้นต้องเสียแขนไปอีก ทำให้เขาไม่กล้าที่จะเจอหน้าเธออีก และได้ตัดสินใจมาอยู่ที่เกาะนี้โดยใช้ชื่อว่ากิลเบต โฮดกิ้นส์ก็พูดว่ารู้ไหมว่าไวโอเล็ตต้องรอมานานขนาดไหน กิลเบิร์ทก็บอกว่าเขาไม่อยากเจอไวโอเล็ต และบอกให้โฮดกิ้นส์กลับไปซะส่วนเขาจะขออยู่ที่นี่ตลอดไป โฮดกิ้นส์ก็ต้องกลับไปแบบไม่เต็มใจ
แล้วฉากก็ตัดมาที่เดซี่ พ่อแม่ของเดซี่ได้กลับมาที่บ้านตอนเย็นและได้ข้อความที่เดซี่ทิ้งไว้ว่า จะเดินทางไปเมืองไลเดน เดซี่ได้มาถึงเมืองไลเดนและมาถึงสำนักไปรษณีย์ CH ซึ่งในตอนนี้ได้กลายเป็นพิพิธภัณฑ์ของเก่าไปเรียบร้อยแล้ว เดซี่ได้เดินดูรอบๆแล้วก็ไปสะดุดเข้ากับสแตมป์อันนึง เดซี่จึงถามพนักงานว่าแสตมป์นี่เป็นแสตมป์มาจากที่ไหน พนักงานบอกว่าเป็นแสตมป์ประจำของเกาะแห่งหนึ่งที่อยู่ห่างไกลจากเมืองไลเดน
กลับมาที่โรงเรียนบนเกาะ โฮดกิ้นส์เดินออกมาแล้วบอกกับไวโอเล็ตว่าผู้พันไม่อยากเจอเธอและขอให้กลับไปซะ ไวโอเล็ตจึงรีบวิ่งไปตามหาผู้พัน แต่ผู้พันก็ไม่อยู่ที่โรงเรียนแล้ว สักพักโฮดกิ้นส์ก็มาบอกไวโอเล็ตว่าเขารู้แล้วว่าผู้พันอยู่ที่ไหน หลังจากนั้นฝนก็เริ่มตกหนัก
ทั้งคู่จึงเดินทางไปบ้านผู้พัน เมื่อไปถึงหน้าบ้าน ไวโอเล็ตบอกกับผู้พันว่าคิดถึงและอยากจะเห็นหน้าผู้พันท่ามกลางฝนที่ตกหนัก แต่ผู้พันที่อยู่ในบ้านก็พูดว่า เขารู้สึกผิดที่ทำให้เด็กสาวคนนึงต้องทนทุกข์ทรมานและยังทำให้เธอต้องเสียแขนทั้งสองข้างไป กิลเบิร์ลที่เธอรู้จักนะได้ตายไปแล้ว และขอให้ไวโอเล็ตกลับไปซะ ไวโอเล็ตรู้สึกเสียใจที่ได้ยินแบบนั้นจึงวิ่งหนีไป ส่วนโฮดกิ้นส์ ก็ตะโกนด่าผู้พันไปดอกนึงว่า ไอโง่เอ๊ย และก็วิ่งตามไวโอเล็ตไป
ไวโอเล็ตวิ่งออกมาและก็สะดุดล้มลง จนทำให้โฮดกิ้นส์วิ่งตามมาทัน และทั้งคู่ก็ได้ไปขอพักอาศัยอยู่ที่ประภาคารของเกาะเพราะที่เกาะแห่งนี้ไม่มีโรงแรมให้พัก ขณะที่ไวโอเล็ตกำลังนั่งเสียใจอยู่ที่เตียงนั้น ผู้ดูแลประภาคารก็มาบอกทั้งคู่ว่าได้รับข้อความวิทยุมาจากไลเดนว่า ยูริอาการทรุดอย่างหนัก อยากให้ไวโอเล็ตมาเขียนจดหมายให้กับริวกะ ไวโอเล็ตจึงบอกว่าเธอจะกลับไปไลเดน แต่โฮดกิ้นส์ก็ห้ามไว้เพราะว่า ข้างนอกมีพายุแรงแถมตอนนี้ก็ไม่มีเรือ และกว่าจะกลับถึงไลเดนก็ใช้เวลาตั้ง 3 วัน แล้วไหนจะเรื่องผู้พันอีก ทำให้หน้าที่เขียนจดหมายตกเป็นของเอริก้า และเบเนดิกต์ ทั้งคู่รีบไปที่โรงพยาบาลและ ระหว่างที่เอริก้ากำลังจะเขียนจดหมายให้ยูริ ยูริอาการก็ทรุดตัวหนักลงไปอีกทำให้ เอริก้ากับเบเนดิกต์ต่อสายโทรศัพท์ให้ยูริกับริวกะได้คุยกัน (ฉากนี้น้ำตาแตกมาก
) สุดท้ายทั้งคู่ก็ได้พูดคุยและปรับความเข้าใจกัน หลังจากคุยเสร็จไม่นานยูริก็ได้เสียชีวิตลง เอริก้าก็ได้มอบจดหมาย 3 ฉบับให้กับครอบครัวของยูริ
เช้าวันต่อมา ไวโอเล็ตและโฮดกิ้นส์ก็ตัดสินใจเดินทางกลับไลเดน ระหว่างที่เดินทางกลับก็ได้ไปเห็นชาวบ้านกำลังดีใจที่รอกขนส่งกลับมาทำงานได้อีกครั้ง คือที่เกาะนี้เขาปลูกองุ่นเป็นงานหลัก แล้วพื้นที่ปลูกมันเป็นเหมือนเขา ตอนแรกรอกขนส่งมันพังทำให้เวลาเก็บเกี่ยวมันลำบาก โดยคนที่ซ่อมให้ก็คือผู้พันนั่นเองแต่ผู้พันอยู่ที่ตีนเขา ส่วนไวโอเล็ตอยู่ที่ยอดเขาทำให้ทั้งคู่ไม่ได้เจอกัน ไวโอเล็ตได้ฝากจดหมายฉบับนึงให้กับนักเรียนของผู้พันและบอกว่าให้นำไปมอบให้ผู้พัน จดหมายฉบับนี้เป็นจดหมายฉบับสุดท้ายที่ไวโอเล็ตตัดสินใจเขียนให้กับผู้พัน หลังจากนั้นทั้งคู่ก็เดินทางเพื่อไปรอขึ้นเรือกลับไลเดน
ตัดมาที่ผู้พันที่อยู่ตีนเขาคุณลุงคนนึงก็ขอบใจผู้พันที่ช่วยซ่อมรอกให้และบอกว่า ควรจะปล่อยวาง แผลจากสงครามนะมันไม่ใช่ความผิดที่ใครคนใดคนนึงควรแบกรับไว้หรอกนะ ก่อนจะเดินจากไป และตอนที่ผู้พันหันหลังกลับมาก็เจอกับพี่ชายตัวเอง พี่ชายก็บอกว่าให้เขานะปล่อยวางและใช้ชีวิตอย่างอิสระเถอะ เขาจะเป็นคนดูแลกิจการของตระกูลต่อเอง แน่นอนว่าผู้พันก็ยังคงหัวแข็งไม่ยอมฟัง ระหว่างนั้นเองรอกที่อยู่ด้านบนก็กลับมาข้างล่างและข้างในรอกก็มีจดหมายฉบับนึงวางไว้ มันจ่าหน้าถึงกิลเบิร์ท หลังจากกิลเบิร์ทได้เปิดอ่านก็รีบวิ่งขึ้นเขาไปหาไวโอเล็ต แต่ก็สายไปแล้วเพราะไวโอเล็ตได้ขึ้นเรือและเรือออกไปเรียบร้อยแล้ว กิลเบิร์ทรีบวิ่งสุดชีวิตและตะโกนเรียกไวโอเล็ต ไวโอเล็ตที่อยู่บนเรือเมื่อได้ยินเสียงของผู้พันจึงวิ่งและกระโดดลงเรือทันทีส่วนกิลเบิร์ทก็วิ่งลงจากเขา และทั้งคู่ก็ได้มาเจอกันที่ริมทะเล กิลเบิร์ทได้บอกรักและกอดไวโอเล็ตเอาไว้ภายใต้แสงจันทร์ (ฉากนี้ผมชอบมาก แสงและสี งามสุดๆเลยละ)
ตัดกลับมาที่ไลเดนที่บริษัท CH ทุกคนกำลังออกมาเดินเล่นในงานเทศกาล แต่มีคนๆนึงหายไปก็คือไวโอเล็ตนั่นเอง และก็มีฉากพลุสวยๆให้ดู (ไวโอเล็ตไปใช้ชีวิตอยู่กับผู้พันที่เกาะนั่นละ)
ตัดกลับมาที่เดซี่ เดซี่ได้เดินทางมาถึงเกาะและไปยังสำนักไปรษณีย์ของเกาะ และพนักงานก็เล่าว่า เมื่อก่อนไวโอเล็ตได้ทำงานและตั้งสำนักไปรษณีย์ขึ้นที่เกาะนี้พร้อมทั้งให้ดูสแตมป์ประจำเกาะ ซึ่งก็คือรูปของไวโอเล็ตกำลังถือกระเป๋ากับร่มนั่นเอง จบ...
มี End Credit เป็นรูปไวโอเล็ตและผู้พันเกี่ยวก้อยกันด้วย
รวมๆ แล้วถือว่าเป็นตอนจบที่ลงตัวเลยละ เรื่องของ ภาพ สี แสง และดนตรีประกอบก็ยังทำได้ดีเหมือนกับใน tv ซีรีย์
ผมให้ 9.5/10 ใครเป็นแฟนๆเรื่องนี้ก็อย่าลืมไปดูกันนะ เข้าโรงที่ไทย ฉายรอบพิเศษ 16-17 มกราคม และรอบปกติ 28 มกราคม 2564
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ตัดคะแนน เพราะไม่มีฉากผู้พันกับไวโอเล็ตใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน กับเนื้อเรื่องส่วนของเดซี่ผมว่ามันดูขัดๆยังไงไม่รู้ เห็นคนเขียนจดหมายแล้วอยากออกตามหาเรื่องราวของคนเขียนจดหมาย
ปล. หนังยาวมาก 2 ชั่วโมงกว่าอาจจะมีเรียงลำดับผิดพลาดบางจุด เพราะผมจำได้ไม่หมดจริงๆ
[Spoil] Violet Evergarden: The Movie จดหมายฉบับสุดท้าย...แด่เธอผู้เป็นที่รัก
เนื้อเรื่องภาคนี้เป็นเนื้อเรื่องต่อจากใน tv ซีรีย์และเป็นภาคจบของอนิเมะเรื่องนี้
สปอยเนื้อเรื่อง
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
รวมๆ แล้วถือว่าเป็นตอนจบที่ลงตัวเลยละ เรื่องของ ภาพ สี แสง และดนตรีประกอบก็ยังทำได้ดีเหมือนกับใน tv ซีรีย์
ผมให้ 9.5/10 ใครเป็นแฟนๆเรื่องนี้ก็อย่าลืมไปดูกันนะ เข้าโรงที่ไทย ฉายรอบพิเศษ 16-17 มกราคม และรอบปกติ 28 มกราคม 2564
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ปล. หนังยาวมาก 2 ชั่วโมงกว่าอาจจะมีเรียงลำดับผิดพลาดบางจุด เพราะผมจำได้ไม่หมดจริงๆ