
สวัสดีครับวันนี้ขอมาเล่าโครงการเลิกบุหรี่เจ๋งๆ ครับ เผื่อใครสนใจเอาไปทำ
ช่วง 3-4 ปีมานี้ เชื่อว่าหลายท่านคงเคยได้ยินคำว่า "
เลิกบุหรี่บ้านละคน" จากหลายๆ แห่ง โดยเฉพาะในสื่อที่มาจาก มูลนิธิสร้างสุขมุสลิมไทย (สสม.) หลายท่านคงสงสัยว่ารณรงค์ให้คนเลิกบุหรี่ทำไมทำเพียงแค่บ้านละคน ทำแค่นี้แล้วเมื่อไหร่บุหรี่จะหมดไปจากประเทศไทย วันนี้ลองมาฟังคำตอบจาก ศ.ดร.อิศรา ศานติศาสน์ ประธานมูลนิธิสร้างสุขมุสลิมไทย กันครับว่า แคมเปญนี้เป็นอย่างไร?
การจะเข้าใจแคมเปญนี้ ต้องเริ่มต้นทำความเข้าใจปัญหาก่อน
ปัญหาเริ่มจากการที่ประชากรมุสลิมมีอัตตราการสูบบุหรี่เยอะ เมื่อเทียบกับศาสนิกอื่น (มีงานวิจัยมากมายรองรับ) การทำให้กลุ่มมุสลิมลดการสูบบุหรี่ลงได้ ย่อมส่งผลให้อัตราการสูบบุหรี่ในภาพรวมของประเทศลดลงได้ด้วย ตรงนี้อยากจะให้เข้าใจตรงกันก่อน
แม้ทุกคนจะรู้ดีว่ามีความสูญเสียทางเศรษฐกิจที่เกิดกับครอบครัวผู้สูบบุหรี่ แต่คำตอบจริง ๆ ก็คือ เพราะบ้านเป็นที่อยู่ที่นอนของทุกคนในครอบครัว มีรายงานวิจัยการสูบบุหรี่ในห้าจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ปัตตานี ยะลา นราธิวาส สตูล และสี่อำเภอในสงขลา) ของ สสม. ที่พบว่าพื้นที่นี้มีอัตราการสูบบุหรี่สูงถึงร้อยละ 33.38 โดยร้อยละ 78 ของผู้ที่สูบบุหรี่สูบทุกวัน และร้อยละ 71 ใช้บ้านเป็นที่สูบบุหรี่ ซึ่งอัตราการใช้บ้านเป็นที่สูบบุหรี่สูงมากเหมือนกันหมด ทั้งในกลุ่มผู้นำศาสนา และบุคลากรครู
ถ้ายังปล่อยให้ยังสูบบุหรี่ที่บ้านกันต่อไปเช่นนี้ จะมีกลุ่มคนที่ไม่ได้สูบบุหรี่ แต่ต้องได้รับอันตรายและทุกข์ทรมานจากควันบุหรี่ในครัวเรือน คือ
ภรรยา บุตร และพ่อแม่ของคนสูบ (ซึ่งน่าจะเป็นคนที่ผู้สูบบุหรี่รักและห่วงใย)
และถ้าคิดจากครัวเรือนที่มีคนสูบบุหรี่อย่างน้อยหนึ่งคนประมาณร้อยละ 44 ของครัวเรือนในพื้นที่ทั้งหมดกว่า 6 แสนครัวเรือน ย่อมหมายถึงคนที่บ้านอีกไม่น้อยกว่า 1.7 ล้านคน ดังนั้นการเลิกบุหรี่จึงต้อง
เริ่มที่บ้าน และ “คนที่บ้าน” ซึ่งได้รับผลกระทบโดยตรง คือกลุ่มคนที่จะเป็นหัวหอกในการดำเนินการนี้ได้ดีที่สุด ซึ่งหมายความว่าทุก ๆ บ้านจะมีคนอีกสามหรือสี่คนคุมคนสูบบุหรี่ 1 คน
...ศึกษาเพิ่มเติม
โครงการเลิกบุหรี่เริ่มที่บ้าน
ดร.อิศราฯ กล่าวว่า
"การ เลิกบุหรี่บ้านละคน เป็นเรื่องที่สำคัญมาก ๆ เพราะเรามีงานวิจัยชี้ว่าคนมุสลิมเราประมาณ 1 ใน 4 ติดบุหรี่ ถ้า เราสามารถทำให้คนในครอบครัว
เลิกบุหรี่ได้ 1 คน มันจะลดคนสูบบุหรี่ลงประมาณ
1 ใน 4 นั้นแปลว่าอัตราการสูบบุหรี่ในในสังคมมุสลิมจะลดลงร้อยละ 25 " และยังช่วยลดอัตราการสูบบุหรี่ในภาพรวมของทั้งประเทศได้จำนวนมากอีก
มาถึงตรงนี้ หลายท่านคงมีคำถามว่า ก็ในเมื่อทำได้ ทำไมไม่เลิกให้ได้มากกว่า 1 คนละ จะเว้นคนอื่นในบ้านไว้ทำไม?
นี่แหละครับ ประเด็นสำคัญอยู่ตรงนี้ ดร.อิศราฯ กล่าวว่า
"ถ้าเราทำได้ตามนี้
ขั้นตอนแรกอัตราการสูบบุหรี่ของคนไทยมุสลิมจะน้อยกว่าอัตราการสูบบุหรี่ของคนไทยกลุ่มอื่น
ขั้นตอนที่ 2 คือเมื่อมีคนเลิกได้ 1 คนในบ้านมันต้องมีคนที่สองคนที่สามตามมาถูกไหมครับ เพราะว่าไม่มีบ้านไหนหรอกครับที่มีคนสูบบุหรี่ 3 คนเลิกได้ 1 คนแล้วปล่อยให้อีก 2 คนนั้นสูบต่อไป ทุกคนก็จะดึงให้คนที่ 2 คนที่ 3 เลิกให้ได้มันจะเป็นผลที่เป็นลูกโซ่ซึ่งท้ายที่สุดแล้วการสูบบุหรี่มันจะลดลงอย่างรวดเร็ว" คือโครงการเราหวังแค่เลิกให้ได้คนเดียวก่อน...
ปัจจุบันแคมเปญนี้ได้ถูกนำมารณรงค์ผ่านหลายโครงการภายใต้มูลนิธิฯ สสม. ได้แก่ เลิกบุหรี่เริ่มที่บ้าน สื่อสองโลกต้านบุหรี่ เด็กตาดีกาพาเลิกบุหรี่ ต้นแบบมัสยิดปลอดบุหรี่ เขตสุขภาวะมัสยิดครบวงจร ซึ่งสนับสนุนโดยสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) พร้อมขยายการดำเนินงานไปทั่วประเทศ
เพื่อนๆ เห็นว่าแนวคิดนี้เป็นไงบ้าง น่าจะทำสำเร็จได้หรือไม่ ขอบคุณที่อ่านมาถึงตรงนี้นะครับ
ทำไมต้อง "เลิกบุหรี่บ้านละคน" ?
สวัสดีครับวันนี้ขอมาเล่าโครงการเลิกบุหรี่เจ๋งๆ ครับ เผื่อใครสนใจเอาไปทำ
ช่วง 3-4 ปีมานี้ เชื่อว่าหลายท่านคงเคยได้ยินคำว่า "เลิกบุหรี่บ้านละคน" จากหลายๆ แห่ง โดยเฉพาะในสื่อที่มาจาก มูลนิธิสร้างสุขมุสลิมไทย (สสม.) หลายท่านคงสงสัยว่ารณรงค์ให้คนเลิกบุหรี่ทำไมทำเพียงแค่บ้านละคน ทำแค่นี้แล้วเมื่อไหร่บุหรี่จะหมดไปจากประเทศไทย วันนี้ลองมาฟังคำตอบจาก ศ.ดร.อิศรา ศานติศาสน์ ประธานมูลนิธิสร้างสุขมุสลิมไทย กันครับว่า แคมเปญนี้เป็นอย่างไร?
การจะเข้าใจแคมเปญนี้ ต้องเริ่มต้นทำความเข้าใจปัญหาก่อน
ปัญหาเริ่มจากการที่ประชากรมุสลิมมีอัตตราการสูบบุหรี่เยอะ เมื่อเทียบกับศาสนิกอื่น (มีงานวิจัยมากมายรองรับ) การทำให้กลุ่มมุสลิมลดการสูบบุหรี่ลงได้ ย่อมส่งผลให้อัตราการสูบบุหรี่ในภาพรวมของประเทศลดลงได้ด้วย ตรงนี้อยากจะให้เข้าใจตรงกันก่อน
แม้ทุกคนจะรู้ดีว่ามีความสูญเสียทางเศรษฐกิจที่เกิดกับครอบครัวผู้สูบบุหรี่ แต่คำตอบจริง ๆ ก็คือ เพราะบ้านเป็นที่อยู่ที่นอนของทุกคนในครอบครัว มีรายงานวิจัยการสูบบุหรี่ในห้าจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ปัตตานี ยะลา นราธิวาส สตูล และสี่อำเภอในสงขลา) ของ สสม. ที่พบว่าพื้นที่นี้มีอัตราการสูบบุหรี่สูงถึงร้อยละ 33.38 โดยร้อยละ 78 ของผู้ที่สูบบุหรี่สูบทุกวัน และร้อยละ 71 ใช้บ้านเป็นที่สูบบุหรี่ ซึ่งอัตราการใช้บ้านเป็นที่สูบบุหรี่สูงมากเหมือนกันหมด ทั้งในกลุ่มผู้นำศาสนา และบุคลากรครู
ถ้ายังปล่อยให้ยังสูบบุหรี่ที่บ้านกันต่อไปเช่นนี้ จะมีกลุ่มคนที่ไม่ได้สูบบุหรี่ แต่ต้องได้รับอันตรายและทุกข์ทรมานจากควันบุหรี่ในครัวเรือน คือ ภรรยา บุตร และพ่อแม่ของคนสูบ (ซึ่งน่าจะเป็นคนที่ผู้สูบบุหรี่รักและห่วงใย)
และถ้าคิดจากครัวเรือนที่มีคนสูบบุหรี่อย่างน้อยหนึ่งคนประมาณร้อยละ 44 ของครัวเรือนในพื้นที่ทั้งหมดกว่า 6 แสนครัวเรือน ย่อมหมายถึงคนที่บ้านอีกไม่น้อยกว่า 1.7 ล้านคน ดังนั้นการเลิกบุหรี่จึงต้องเริ่มที่บ้าน และ “คนที่บ้าน” ซึ่งได้รับผลกระทบโดยตรง คือกลุ่มคนที่จะเป็นหัวหอกในการดำเนินการนี้ได้ดีที่สุด ซึ่งหมายความว่าทุก ๆ บ้านจะมีคนอีกสามหรือสี่คนคุมคนสูบบุหรี่ 1 คน
...ศึกษาเพิ่มเติม โครงการเลิกบุหรี่เริ่มที่บ้าน
ดร.อิศราฯ กล่าวว่า
"การ เลิกบุหรี่บ้านละคน เป็นเรื่องที่สำคัญมาก ๆ เพราะเรามีงานวิจัยชี้ว่าคนมุสลิมเราประมาณ 1 ใน 4 ติดบุหรี่ ถ้า เราสามารถทำให้คนในครอบครัวเลิกบุหรี่ได้ 1 คน มันจะลดคนสูบบุหรี่ลงประมาณ 1 ใน 4 นั้นแปลว่าอัตราการสูบบุหรี่ในในสังคมมุสลิมจะลดลงร้อยละ 25 " และยังช่วยลดอัตราการสูบบุหรี่ในภาพรวมของทั้งประเทศได้จำนวนมากอีก
มาถึงตรงนี้ หลายท่านคงมีคำถามว่า ก็ในเมื่อทำได้ ทำไมไม่เลิกให้ได้มากกว่า 1 คนละ จะเว้นคนอื่นในบ้านไว้ทำไม?
นี่แหละครับ ประเด็นสำคัญอยู่ตรงนี้ ดร.อิศราฯ กล่าวว่า
"ถ้าเราทำได้ตามนี้ ขั้นตอนแรกอัตราการสูบบุหรี่ของคนไทยมุสลิมจะน้อยกว่าอัตราการสูบบุหรี่ของคนไทยกลุ่มอื่น ขั้นตอนที่ 2 คือเมื่อมีคนเลิกได้ 1 คนในบ้านมันต้องมีคนที่สองคนที่สามตามมาถูกไหมครับ เพราะว่าไม่มีบ้านไหนหรอกครับที่มีคนสูบบุหรี่ 3 คนเลิกได้ 1 คนแล้วปล่อยให้อีก 2 คนนั้นสูบต่อไป ทุกคนก็จะดึงให้คนที่ 2 คนที่ 3 เลิกให้ได้มันจะเป็นผลที่เป็นลูกโซ่ซึ่งท้ายที่สุดแล้วการสูบบุหรี่มันจะลดลงอย่างรวดเร็ว" คือโครงการเราหวังแค่เลิกให้ได้คนเดียวก่อน...
ปัจจุบันแคมเปญนี้ได้ถูกนำมารณรงค์ผ่านหลายโครงการภายใต้มูลนิธิฯ สสม. ได้แก่ เลิกบุหรี่เริ่มที่บ้าน สื่อสองโลกต้านบุหรี่ เด็กตาดีกาพาเลิกบุหรี่ ต้นแบบมัสยิดปลอดบุหรี่ เขตสุขภาวะมัสยิดครบวงจร ซึ่งสนับสนุนโดยสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) พร้อมขยายการดำเนินงานไปทั่วประเทศ
เพื่อนๆ เห็นว่าแนวคิดนี้เป็นไงบ้าง น่าจะทำสำเร็จได้หรือไม่ ขอบคุณที่อ่านมาถึงตรงนี้นะครับ