ดอกชมพูภูคา
คำว่าพงศาวดาร มาจากคำว่า พงศ + อวตาร เป็นงานเขียนที่เน้นให้ความสำคัญของกษัตริย์ผู้ปกครอง
จาก ประชุมพงษาวดารภาคที่ 10 เรื่อง ราชวงษปกรณ์ พงศาวดารเมืองน่าน ฉบับพระเจ้าสุริยพงษ์ผริตเดช พระเจ้านครน่านยังให้แต่งไว้สำหรับบ้านเมือง
เริ่มต้นที่
---
พญาภูคาครองเมืองย่าง - ลุ่มน้ำย่าง
มีพรานล่าเนื้อไปถึงตีนดอยภูคา ได้พบไข่สองใบลูกเท่ามะพร้าว จึงนำมาถวายพญาภูคา
พญาภูคานำไปฟักในก๋วยงิ้ว 1 ฟอง (ก๋วย=ตะกร้า, งิ้ว=นุ่น) และก๋วยฝ้าย 1 ฟอง
ฟักออกมาเป็นคนผู้ชาย ก๋วยงิ้วผู้พี่ชื่อ เจ้าขุนนุ่น ก๋วยฝ้ายผู้น้องชื่อ เจ้าขุนฟอง
---
เมื่อเจ้าขุนนุ่นอายุ 18 ปี เจ้าขุนฟองอายุ 16 อยากปกครองเมือง
พญาภูคาจึงให้ไปหา พระยาเถรแต๋ง (น่าจะเป็นภาษาไทยว่า นักบวชที่ยิ่งใหญ่ชื่อแตง)
พระยาเถรแต๋ง ให้ผู้พี่ไปสร้างเมืองทางตะวันออกของแม่น้ำโขง
เอาไม้เท้าขีดเป็นจันทพยุหะ - ตั้งชื่อเมืองว่าจันทบุรี คือเมืองหลวงพระบาง
ให้ผู้น้องกลับมาทางตะวันตกเฉียงเหนือ ห้างแม่น้ำน่าน 5000 วา
เอาไม้เท้าขีดเป็นเตชะกะพยุหะ - ตั้งชื่อเมืองว่าวรนคร
ให้ทั้งคู่กวาดคนรอบ ๆ ให้มาเป็นบริวาร
ร่องรอยกำแพงเมืองวรนคร
ขุนฟองที่วรนคร มีความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา
จึงได้สร้างเจดีย์คู่กับเมืองไว้บนลานกว้าง ห่างจากเมืองไป 200 เมตร ครอบบ่อที่อยู่ตรงกลางลาน
ปากบ่อไม่มีหญ้าขึ้น เมื่อแหย่ไม้รวกลงไปไม้ก็หักเป็นท่อน ๆ >> สกัด
และในงานฉลองมีแสงดั่งพระจันทร์ทรงกลดพุ่งออกมาจากพระธาตุ วนเวียนไปรอบพระธาตุ ส่งแสงสว่างไสว >> เป็ง (เพ็ญ) >> เบ็ง
ตั้งชื่อวัดว่า
พระธาตุเบ็งสกัด
ขุนฟองมีลูกชื่อเจ้าเก้าเถื่อน
เมื่อเจ้าเก้าเถือนขึ้นเป็นเจ้าเมืองวรนคร บ้านเมืองเจริญดี
พญาภูคาจึงให้เจ้าเก้าเถื่อนไปปกครองเมืองย่าง
ให้พญาท้าวคำปินเจ้าแม่มืองวรนคร ครองเมืองแทนขณะกำลังตั้งครรภ์
พญางำเมืองทราบช่าว จึงยกทัพมาตีเมืองวรนครได้
พญาท้าวคำปิน หนีไปได้และ คลอดเป็นโอรส
พระโอรส ได้เป็นบุตรบุญธรรมพญางำเมือง รับราชการจนได้ตั้งเป็นขุนใส่ยศ เจ้าเมืองปราด
พญางำเมืองได้หญิงชาววรนครชื่อนางอั้วสิมเป็นชายา มีโอรสองค์หนึ่ง ให้ทั้งคู่อยู่ที่วรนคร
นางอั้วสิม มีเรื่องแหนงใจกับพญางำเมือง และมีใจกับขุนใส่ยศ จึงอภิเษกสมรสกัน
พญางำเมืองยกทัพมา แต่เห็นลูกชายตนเองจึงเปลี่ยนใจยกทัพกลับ
ชาววรนครจึงยกพ่อขุนใส่ยศเป็นเจ้าเมืองวรนคร หรือเมืองพลัว หรือเมืองปัวพระนามว่า " พญาผานอง"
จารึกหลักที่ 1 พ่อขุนรามคำแหง พ.ศ. 1835 ปรากฎชื่อเมือง พลัว หรือเมืองปัว ในจารึก
พ.ศ.1899 พญาการเมือง (โอรสพญาผานอง)ได้รับเชิญจากพญาลิไท ให้ไปร่วมสร้างวัดอภัย
ได้รับพระบรมสารีริกธาตุมา จึงสร้างวัดพระธาตุแช่แห้ง - อิทธิพลสุโขทัย ลังกาวงศ์ ( นิยมพระธาตุ) เริ่มเข้ามาสู่เมืองน่าน
และสร้างเมืองภูเพียงแช่แห้งเป็นที่ฝั่งตะวันออกของแม่น้ำน่าน
พ.ศ. 1911 สมัยพญาผากอง เมืองภูเพียงแล้ง
จึงย้ายเมืองมายังฝั่งตะวันตกของจังหวัดน่าน >>> เวียงใต้
พญาผากอง ถึงแก่พิราลัย >>> พญาคำตันขึ้นครองน่าน
ปรากฏจารึกปู่สบถ พ.ศ. 1935 โดยพญาคำตัน และพญาไสลือไท
ซึ่งแสดงว่าอาจเป็นเครือญาติกันทางปู่และหลานก็ได้
ได้ให้สัตย์สาบานว่าจะช่วยเหลือกันเมื่อเกิดสงคราม
พระยาแพร่ 2 องค์ ก็ยกทัพมาตีเมืองน่าน >>> พ.ศ. 1950 เจ้าปู่เข่งตีคืนมาได้
เจ้าปู่เข่งได้สร้างวัดพระธาตุช้างค้ำวรวิหาร, วัดพระธาตุเขาน้อย, วัดพญาภู
ซึ่งวัดพญาภูนั้นสร้างไม่เสร็จถึงแก่พิราลัยก่อน
พญางั่วฬารผาสุม
ได้สร้างได้สร้างวัดพญาภูต่อจนเสร็จ
ได้สร้างพระพุทธรูปทองคำปางลีลา คือ พระพุทธนันทบุรีศรีศากยมุนี
ประดิษฐานอยู่ในวิหารวัดพระธาตุช้างค้ำวรวิหาร
พ.ศ. 1993 น่านได้ถูกผนวกเข้ากับล้านนา
เพราะพระเจ้าติโลกอยากได้บ่อเกลือจึงยกทัพมาน่าน - อิทธิพลจากล้านนาสมัยพระเจ้าติโลกเข้ามา
ได้สร้างวัดสวนตาล - แสดงชัยชนะ,
ได้สร้างวัดพญาวัด - เจดีย์เหลี่ยมแบบหริภุญไชย แต่ซุ้มพระเจ้าแบบสมัยพระเจ้าติโลก
พญาแก่นท้าวเจ้าเมืองน่านหนีไปเมืองเชลียง
พ.ศ. 2101-2326 บุเรงนองตีได้ล้านนา น่านจึงตกเป็นของพม่าไปด้วย - อิทธิพลพม่าเข้ามา
พ.ศ. 2134-2146 เจ้าเจตบุตรพรหมินทร์ ครองเมืองน่าน
สร้างวัดดอนแท่นที่เมืองป้อ (อำเภอเวียงสา)
สร้างวัดพรหมินทร์ >>> วัดภูมินทร์
เจ้าเจตบุตรพรหมินทร์ได้พยายามแข็งเมืองกับพม่า แต่ไม่สำเร็จ
จึงถูกจับไปประหารชีวิตที่เชียงใหม่ ในปี พ.ศ. 2146 (ตรงกับสมัยของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช)
น่านถูกทิ้งร้างในสมัยพระเจ้ากรุงธนบุรีขับไล่พม่าออกจากเชียงใหม่ เพราะพม่ากวาดต้อนผู้คนไปเชียงแสน
พ.ศ. 2328 กองกำลังพื้นเมืองล้านนาขับไล่พม่าออกไปสำเร็จ น่านจึงรวมเข้าอยู่ในอาณาจักรสยาม
มีเจ้าฟ้าอัตถวรปัญโญ เป็นเจ้าผู้ครองนครเมืองน่าน
และแต่งตั้งเจ้าสุมนเทวราชขึ้นเป็นเจ้าพระยาหอหน้าฯ
ได้รวบรวมเมืองน่านขึ้นโดยร่วมกับเมืองเชียงใหม่และลำปาง
ตีเมืองเชียงแสนคืนจากพม่า ไปจนถึงสิบสองปันนา เชียงรุ้ง
บูรณะ พัฒนาเมืองน่านและเวียงป้อ
บูรณะ วัดพระธาตุแช่แห้ง วัดบุญยืน(เวียงสา) สร้างและบูรณะกำแพงเมืองน่าน - เวียงใต้
พ.ศ. 2360 เกิดน้ำท่วมครั้งใหญ่
กำแพงเมืองทางด้านทิศตะวันตกพังทลายลงทั้งแถบ บ้านเรือนวัดวาเสียหาย
พ.ศ. 2362 พญาสุมนเทวราช เจ้าผู้ครองนครน่าน จึงได้ย้ายเมืองไปอยู่ที่ดอนน้ำท่วมไม่ถึง
ทางทิศเหนือของเมืองเดิม เรียกว่า เวียงเหนือ ห่างจากเวียงใต้ประมาณ 2 กิโลเมตร
ต่อมาแม่น้ำน่านเปลี่ยนเส้นทางเบี่ยงห่างจากกำแพงเวียงใต้ไปมาก
พ.ศ. 2387 เจ้าอนันตวรฤิทธิเดชฯ ผู้ครองนครน่าน
ได้ย้ายกลับมายังเมืองใต้ ณ ที่ตั้งปัจจุบัน
สมัยเจ้าสุริยพงษ์ผริตเดชฯ เป็นเจ้าผู้ครองนครน่าน
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ได้ทรงส่งข้าหลวงประจำเมืองมากำกับดูแลการบริหารบ้านเมืองของเจ้าผู้ครองนคร
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชดำริว่า
เจ้าสุริยพงษ์ผริตเดชฯ เจ้าผู้ครองนครน่านได้ประกอบคุณงามความดีแก่ราชการบ้านเมือง
เป็นที่รักใคร่นับถือของเจ้านายท้าวพระยาและพลเมืองโดยทั่วไป
จึงทรงมีพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนาให้เจ้าสุริยพงษ์ผลิตเดชฯ เป็น "พระเจ้านครน่าน" มีพระนามปรากฏตามสุพรรณปัฏว่า
"พระเจ้าสุริยพงษ์ผลิตเดช กุลเชษฐมหันต์ ไชยนันทบุรมหาราชวงศาธิบดี สุริตจารีราชนุภาวรักษ์ วิบูลยศักดิ์กิติไพศาล ภูบาลบพิตรสถิตย์ ณ นันทราชวงษ์ พระเจ้านครน่าน"
พระเจ้าสุริยพงษ์ผริตเดชฯ ได้สร้าง หอคำ (คุ้มหลวง) ขึ้นแทนหลังเดิมซึ่งสร้างในสมัยของ เจ้าอนันตวรฤิทธิเดชฯ
พ.ศ. 2511 จังหวัดน่าน ได้มอบหอคำให้กรมศิลปากร ใช้เป็น พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติน่าน
วัดพระธาตุเบ็งสกัด
เชื่อว่าบริเวณเป็นศูนย์กลางของเมืองปัวในอดีต
เจดีย์
อยู่ในกำแพงแก้ว
ตั้งอยู่บนฐานเขียงที่ยกสูง
ฐานบัวคง่ำ บัวหงาย สองชั้น ยกเก็จ
ชุดฐานบัวรับองค์ระฆังเป็นรูปแปดเหลี่ยม
เป็นที่นิยมสมัยพญาแก้วกษัตริย์ล้านนาราชวงศ์มังรายลำดับที่ 11
วิหารไทลื้อมีสองแบบคือ ไทลื้อฮ่างหงส์ และ ไทลื้อทรงโรง
วัดเบ็งสะกัดเป็นวิหารไทลื้อแบบทรงโรง
ผังรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ขนาด 5 ห้อง ห้องด้านหน้าเป็นระเบียงหรือมุข
ผนังวิหารเตี้ย ก่ออิฐฉาบปูน มีความสูงของวิหารต่างกันในแต่ละด้าน
หลังคาคลุมต่ำ ทรงโรง 2 ซด 2 ตับ
หลังคา 2 ซด (ซ้อนด้านหน้า 1 ,หลัง 1) จั่วซ้อนทับ 2 ชั้น ... สองตับ
... การซ้อนชั้นของหลังคาเพื่อการขยายขนาดของอาคาร แบบแผนสำคัญของวิหารล้านนา
การขยายความยาว ทำโดยลดชั้นด้าน หน้า - หลัง เรียก ซด
การขยายความกว้าง ทำโดยลดชั้นด้านข้าง เรียก ตับ ...
หน้าแหนบหรือหน้าบันกรุแผ่นไม้ปิดไว้แบบฝาปะกน
หัวบันไดเป็นเทพพนม
คันทวยหรือนาคทันต์ เป็นรูปนาคม้วนหางขึ้นด้านบน
ฐานบัวลูกแก้ว หรือ บัวคว่ำ บัวหงาย ยกวิหารให้สูงขึ้น
บันไดตัวเหงา ด้านข้างสำหรับพระสงฆ์
เจาะช่องหน้าต่างไม่ใหญ่มาก
ลวดลายบานประตู
เสาในวิหารเขียนลายคำ มีซุ้มสืบชะตาอยู่กลางวิหาร
พระประธานปางมารวิชัย ศิลปะไทลื้อคือเรียบง่ายแบบงานศิลปะพื้นถิ่น
พระเกษาสีดำเท่ากันตลอด มีไรพระศก
ดวงพระพักตร์สัณฐานยาวรูปไข่
พระกรรณมีสัณฐานยาวเหมือนกลีบดอกบัว
นิ้วพระหัตถ์ยาวเรียวเสมอกัน
พระวรกายบริบูรณ์ดุจกึ่งท่อนหน้าแห่งพระยาราชสีห์ พระปฤษฎางค์(หลัง)ราบเสมอกัน
ฝ่าพระบาทราบเสมอกัน ส้นพระบาทยาว
ประทับบนแท่นแก้วประดับปูนปั้นลวดลายหยดย้อย ผนังด้านหลังประดับกระจก 3 แผ่น
ด้านหน้ามีสัตตภัณฑ์ (เชิงเทียนจุดบูชาพระเจ้า)
ด้านข้างมีเครื่องสูง หรือ เครื่องเทียมยศ ... พระพุทธเจ้าทรงเป็นกษัตริย์
ต๋าแหลว หมายถึง ดวงตาของนกเหยี่ยวที่สามารถมองเห็นเหยื่อได้ในระยะไกล
เวลาเห็นเหยื่อ เหยี่ยวจะบินวน หรือบินอยู่นิ่ง ๆ จนถูกเรียกว่านกปักหลัก
ชาวล้านนาจึงคิดสร้างต๋าแหลวไม้ขึ้นมา
เพื่อสอดส่องดูแลสิ่งอาถรรพ์ขึด เสนียด

มิให้เข้ามา
โดยใช้ไม้ไผ่มาจักเป็นตอก ลบคม สานเป็นวงกลม ปล่อยปลายเส้นตอกพุ่งออกจากศูนย์กลาง
ที่แขวนอยู่นี้คือ ตาแหลวหลวง
หลวงแปลว่าใหญ่ จึงเป็นตาแหลวที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในบรรดาตาแหลวทั้งหมด
วิวดอยภูคา ที่วัดเบ็งสกัด
เมื่อเดือนมีนาคม 2561
.
.
วิหารไทลื้อ ... วัดพระธาตุเบ็งสกัด อำเภอปัว จังหวัดน่าน
จาก ประชุมพงษาวดารภาคที่ 10 เรื่อง ราชวงษปกรณ์ พงศาวดารเมืองน่าน ฉบับพระเจ้าสุริยพงษ์ผริตเดช พระเจ้านครน่านยังให้แต่งไว้สำหรับบ้านเมือง
เริ่มต้นที่
---
พญาภูคาครองเมืองย่าง - ลุ่มน้ำย่าง
มีพรานล่าเนื้อไปถึงตีนดอยภูคา ได้พบไข่สองใบลูกเท่ามะพร้าว จึงนำมาถวายพญาภูคา
พญาภูคานำไปฟักในก๋วยงิ้ว 1 ฟอง (ก๋วย=ตะกร้า, งิ้ว=นุ่น) และก๋วยฝ้าย 1 ฟอง
ฟักออกมาเป็นคนผู้ชาย ก๋วยงิ้วผู้พี่ชื่อ เจ้าขุนนุ่น ก๋วยฝ้ายผู้น้องชื่อ เจ้าขุนฟอง
---
เมื่อเจ้าขุนนุ่นอายุ 18 ปี เจ้าขุนฟองอายุ 16 อยากปกครองเมือง
พญาภูคาจึงให้ไปหา พระยาเถรแต๋ง (น่าจะเป็นภาษาไทยว่า นักบวชที่ยิ่งใหญ่ชื่อแตง)
พระยาเถรแต๋ง ให้ผู้พี่ไปสร้างเมืองทางตะวันออกของแม่น้ำโขง
เอาไม้เท้าขีดเป็นจันทพยุหะ - ตั้งชื่อเมืองว่าจันทบุรี คือเมืองหลวงพระบาง
ให้ผู้น้องกลับมาทางตะวันตกเฉียงเหนือ ห้างแม่น้ำน่าน 5000 วา
เอาไม้เท้าขีดเป็นเตชะกะพยุหะ - ตั้งชื่อเมืองว่าวรนคร
ให้ทั้งคู่กวาดคนรอบ ๆ ให้มาเป็นบริวาร
จึงได้สร้างเจดีย์คู่กับเมืองไว้บนลานกว้าง ห่างจากเมืองไป 200 เมตร ครอบบ่อที่อยู่ตรงกลางลาน
ปากบ่อไม่มีหญ้าขึ้น เมื่อแหย่ไม้รวกลงไปไม้ก็หักเป็นท่อน ๆ >> สกัด
และในงานฉลองมีแสงดั่งพระจันทร์ทรงกลดพุ่งออกมาจากพระธาตุ วนเวียนไปรอบพระธาตุ ส่งแสงสว่างไสว >> เป็ง (เพ็ญ) >> เบ็ง
ตั้งชื่อวัดว่า พระธาตุเบ็งสกัด
ขุนฟองมีลูกชื่อเจ้าเก้าเถื่อน
เมื่อเจ้าเก้าเถือนขึ้นเป็นเจ้าเมืองวรนคร บ้านเมืองเจริญดี
พญาภูคาจึงให้เจ้าเก้าเถื่อนไปปกครองเมืองย่าง
ให้พญาท้าวคำปินเจ้าแม่มืองวรนคร ครองเมืองแทนขณะกำลังตั้งครรภ์
พญางำเมืองทราบช่าว จึงยกทัพมาตีเมืองวรนครได้
พญาท้าวคำปิน หนีไปได้และ คลอดเป็นโอรส
พระโอรส ได้เป็นบุตรบุญธรรมพญางำเมือง รับราชการจนได้ตั้งเป็นขุนใส่ยศ เจ้าเมืองปราด
พญางำเมืองได้หญิงชาววรนครชื่อนางอั้วสิมเป็นชายา มีโอรสองค์หนึ่ง ให้ทั้งคู่อยู่ที่วรนคร
นางอั้วสิม มีเรื่องแหนงใจกับพญางำเมือง และมีใจกับขุนใส่ยศ จึงอภิเษกสมรสกัน
พญางำเมืองยกทัพมา แต่เห็นลูกชายตนเองจึงเปลี่ยนใจยกทัพกลับ
ชาววรนครจึงยกพ่อขุนใส่ยศเป็นเจ้าเมืองวรนคร หรือเมืองพลัว หรือเมืองปัวพระนามว่า " พญาผานอง"
จารึกหลักที่ 1 พ่อขุนรามคำแหง พ.ศ. 1835 ปรากฎชื่อเมือง พลัว หรือเมืองปัว ในจารึก
พ.ศ.1899 พญาการเมือง (โอรสพญาผานอง)ได้รับเชิญจากพญาลิไท ให้ไปร่วมสร้างวัดอภัย
ได้รับพระบรมสารีริกธาตุมา จึงสร้างวัดพระธาตุแช่แห้ง - อิทธิพลสุโขทัย ลังกาวงศ์ ( นิยมพระธาตุ) เริ่มเข้ามาสู่เมืองน่าน
และสร้างเมืองภูเพียงแช่แห้งเป็นที่ฝั่งตะวันออกของแม่น้ำน่าน
จึงย้ายเมืองมายังฝั่งตะวันตกของจังหวัดน่าน >>> เวียงใต้
พญาผากอง ถึงแก่พิราลัย >>> พญาคำตันขึ้นครองน่าน
ปรากฏจารึกปู่สบถ พ.ศ. 1935 โดยพญาคำตัน และพญาไสลือไท
ซึ่งแสดงว่าอาจเป็นเครือญาติกันทางปู่และหลานก็ได้
ได้ให้สัตย์สาบานว่าจะช่วยเหลือกันเมื่อเกิดสงคราม
พระยาแพร่ 2 องค์ ก็ยกทัพมาตีเมืองน่าน >>> พ.ศ. 1950 เจ้าปู่เข่งตีคืนมาได้
เจ้าปู่เข่งได้สร้างวัดพระธาตุช้างค้ำวรวิหาร, วัดพระธาตุเขาน้อย, วัดพญาภู
ซึ่งวัดพญาภูนั้นสร้างไม่เสร็จถึงแก่พิราลัยก่อน
พญางั่วฬารผาสุม
ได้สร้างได้สร้างวัดพญาภูต่อจนเสร็จ
ได้สร้างพระพุทธรูปทองคำปางลีลา คือ พระพุทธนันทบุรีศรีศากยมุนี
ประดิษฐานอยู่ในวิหารวัดพระธาตุช้างค้ำวรวิหาร
พ.ศ. 1993 น่านได้ถูกผนวกเข้ากับล้านนา
เพราะพระเจ้าติโลกอยากได้บ่อเกลือจึงยกทัพมาน่าน - อิทธิพลจากล้านนาสมัยพระเจ้าติโลกเข้ามา
ได้สร้างวัดสวนตาล - แสดงชัยชนะ,
ได้สร้างวัดพญาวัด - เจดีย์เหลี่ยมแบบหริภุญไชย แต่ซุ้มพระเจ้าแบบสมัยพระเจ้าติโลก
พญาแก่นท้าวเจ้าเมืองน่านหนีไปเมืองเชลียง
พ.ศ. 2101-2326 บุเรงนองตีได้ล้านนา น่านจึงตกเป็นของพม่าไปด้วย - อิทธิพลพม่าเข้ามา
พ.ศ. 2134-2146 เจ้าเจตบุตรพรหมินทร์ ครองเมืองน่าน
สร้างวัดดอนแท่นที่เมืองป้อ (อำเภอเวียงสา)
สร้างวัดพรหมินทร์ >>> วัดภูมินทร์
เจ้าเจตบุตรพรหมินทร์ได้พยายามแข็งเมืองกับพม่า แต่ไม่สำเร็จ
จึงถูกจับไปประหารชีวิตที่เชียงใหม่ ในปี พ.ศ. 2146 (ตรงกับสมัยของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช)
น่านถูกทิ้งร้างในสมัยพระเจ้ากรุงธนบุรีขับไล่พม่าออกจากเชียงใหม่ เพราะพม่ากวาดต้อนผู้คนไปเชียงแสน
พ.ศ. 2328 กองกำลังพื้นเมืองล้านนาขับไล่พม่าออกไปสำเร็จ น่านจึงรวมเข้าอยู่ในอาณาจักรสยาม
มีเจ้าฟ้าอัตถวรปัญโญ เป็นเจ้าผู้ครองนครเมืองน่าน
และแต่งตั้งเจ้าสุมนเทวราชขึ้นเป็นเจ้าพระยาหอหน้าฯ
ได้รวบรวมเมืองน่านขึ้นโดยร่วมกับเมืองเชียงใหม่และลำปาง
ตีเมืองเชียงแสนคืนจากพม่า ไปจนถึงสิบสองปันนา เชียงรุ้ง
บูรณะ พัฒนาเมืองน่านและเวียงป้อ
บูรณะ วัดพระธาตุแช่แห้ง วัดบุญยืน(เวียงสา) สร้างและบูรณะกำแพงเมืองน่าน - เวียงใต้
พ.ศ. 2360 เกิดน้ำท่วมครั้งใหญ่
กำแพงเมืองทางด้านทิศตะวันตกพังทลายลงทั้งแถบ บ้านเรือนวัดวาเสียหาย
พ.ศ. 2362 พญาสุมนเทวราช เจ้าผู้ครองนครน่าน จึงได้ย้ายเมืองไปอยู่ที่ดอนน้ำท่วมไม่ถึง
ทางทิศเหนือของเมืองเดิม เรียกว่า เวียงเหนือ ห่างจากเวียงใต้ประมาณ 2 กิโลเมตร
พ.ศ. 2387 เจ้าอนันตวรฤิทธิเดชฯ ผู้ครองนครน่าน
ได้ย้ายกลับมายังเมืองใต้ ณ ที่ตั้งปัจจุบัน
สมัยเจ้าสุริยพงษ์ผริตเดชฯ เป็นเจ้าผู้ครองนครน่าน
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ได้ทรงส่งข้าหลวงประจำเมืองมากำกับดูแลการบริหารบ้านเมืองของเจ้าผู้ครองนคร
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชดำริว่า
เจ้าสุริยพงษ์ผริตเดชฯ เจ้าผู้ครองนครน่านได้ประกอบคุณงามความดีแก่ราชการบ้านเมือง
เป็นที่รักใคร่นับถือของเจ้านายท้าวพระยาและพลเมืองโดยทั่วไป
จึงทรงมีพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนาให้เจ้าสุริยพงษ์ผลิตเดชฯ เป็น "พระเจ้านครน่าน" มีพระนามปรากฏตามสุพรรณปัฏว่า
"พระเจ้าสุริยพงษ์ผลิตเดช กุลเชษฐมหันต์ ไชยนันทบุรมหาราชวงศาธิบดี สุริตจารีราชนุภาวรักษ์ วิบูลยศักดิ์กิติไพศาล ภูบาลบพิตรสถิตย์ ณ นันทราชวงษ์ พระเจ้านครน่าน"
พระเจ้าสุริยพงษ์ผริตเดชฯ ได้สร้าง หอคำ (คุ้มหลวง) ขึ้นแทนหลังเดิมซึ่งสร้างในสมัยของ เจ้าอนันตวรฤิทธิเดชฯ
พ.ศ. 2511 จังหวัดน่าน ได้มอบหอคำให้กรมศิลปากร ใช้เป็น พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติน่าน
อยู่ในกำแพงแก้ว
ตั้งอยู่บนฐานเขียงที่ยกสูง
ฐานบัวคง่ำ บัวหงาย สองชั้น ยกเก็จ
ชุดฐานบัวรับองค์ระฆังเป็นรูปแปดเหลี่ยม
เป็นที่นิยมสมัยพญาแก้วกษัตริย์ล้านนาราชวงศ์มังรายลำดับที่ 11
วัดเบ็งสะกัดเป็นวิหารไทลื้อแบบทรงโรง
ผังรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ขนาด 5 ห้อง ห้องด้านหน้าเป็นระเบียงหรือมุข
ผนังวิหารเตี้ย ก่ออิฐฉาบปูน มีความสูงของวิหารต่างกันในแต่ละด้าน
หลังคาคลุมต่ำ ทรงโรง 2 ซด 2 ตับ
หลังคา 2 ซด (ซ้อนด้านหน้า 1 ,หลัง 1) จั่วซ้อนทับ 2 ชั้น ... สองตับ
... การซ้อนชั้นของหลังคาเพื่อการขยายขนาดของอาคาร แบบแผนสำคัญของวิหารล้านนา
การขยายความยาว ทำโดยลดชั้นด้าน หน้า - หลัง เรียก ซด
การขยายความกว้าง ทำโดยลดชั้นด้านข้าง เรียก ตับ ...
หน้าแหนบหรือหน้าบันกรุแผ่นไม้ปิดไว้แบบฝาปะกน
หัวบันไดเป็นเทพพนม
คันทวยหรือนาคทันต์ เป็นรูปนาคม้วนหางขึ้นด้านบน
บันไดตัวเหงา ด้านข้างสำหรับพระสงฆ์
เจาะช่องหน้าต่างไม่ใหญ่มาก
พระเกษาสีดำเท่ากันตลอด มีไรพระศก
ดวงพระพักตร์สัณฐานยาวรูปไข่
พระกรรณมีสัณฐานยาวเหมือนกลีบดอกบัว
นิ้วพระหัตถ์ยาวเรียวเสมอกัน
พระวรกายบริบูรณ์ดุจกึ่งท่อนหน้าแห่งพระยาราชสีห์ พระปฤษฎางค์(หลัง)ราบเสมอกัน
ฝ่าพระบาทราบเสมอกัน ส้นพระบาทยาว
ประทับบนแท่นแก้วประดับปูนปั้นลวดลายหยดย้อย ผนังด้านหลังประดับกระจก 3 แผ่น
ด้านหน้ามีสัตตภัณฑ์ (เชิงเทียนจุดบูชาพระเจ้า)
ด้านข้างมีเครื่องสูง หรือ เครื่องเทียมยศ ... พระพุทธเจ้าทรงเป็นกษัตริย์
เวลาเห็นเหยื่อ เหยี่ยวจะบินวน หรือบินอยู่นิ่ง ๆ จนถูกเรียกว่านกปักหลัก
ชาวล้านนาจึงคิดสร้างต๋าแหลวไม้ขึ้นมา
เพื่อสอดส่องดูแลสิ่งอาถรรพ์ขึด เสนียด
โดยใช้ไม้ไผ่มาจักเป็นตอก ลบคม สานเป็นวงกลม ปล่อยปลายเส้นตอกพุ่งออกจากศูนย์กลาง
ที่แขวนอยู่นี้คือ ตาแหลวหลวง
หลวงแปลว่าใหญ่ จึงเป็นตาแหลวที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในบรรดาตาแหลวทั้งหมด