ขอถามหน่อยค่ะ โรคไม่มั่นใจในตนเอง imposter syndrome แสดงออกทางกายได้มั้ยคะ

สวัสดีค่ะ กำลังหาข้อมูลประกอบการสร้างวิทยานิพนธ์ ตอนนี้กำลังสนใจเรื่อง imposter syndrome อยู่ค่ะ
ถ้ามีแหล่งข้อมูลหรือมีผู้รู้ทางจิตวิทยาที่ถามได้ แล้วต้องการให้ข้อมูลจะขอบคุณมากเลยค่ะ

1. อยากทราบว่า สามารถเชื่อมโยงโรคนี้กับความไม่มั่นใจทางร่างกายประกอบไปด้วยได้มั้ยคะ อาทิ การถูก body shaming 
2.ที่เลือกเรื่องนี้เพราะจริงๆคิดว่าตนเองก็เป็นแต่เหมือนเพิ่งรู้ตัว 😢 ความไม่มั่นใจ ไม่เชื่อมั่นในตนเอง ปมด้อย อยากเชื่อมโยงกัน

ถ้าไม่ใช่โรคนี้ มีชื่อโรคอื่นอีกไหมคะที่ผสานทั้งกายและใจ 

ขอบคุณล่วงหน้านะคะ มีใครเป็นแบบเราอีกชวนคุยกันได้นะคะ

**** อัพเดตนะคะ ตอนนี้ซื้อหนังสือทฤษฎีอ่านเรียบร้อยแล้วค่ะ จบการศึกษาผ่านไปได้ด้วยดีค่ะ และได้ทราบว่า

ตอบ (1.) โรคนี้เกิดจากภาวะสิ่งแวดล้อมที่ทำให้บุคคลเกิดความรู้สึกแย่กับตนเอง
          เมื่อผู้คนรายล้อมชื่นชมหรือเห็นด้านดีและความสามารถ แต่ตัวเรายังรู้สึกว่ายังไม่คู่ควรที่จะได้รับคำชม beauty standard สามารถเกี่ยวข้องได้ แต่ะจะเกิดจากการดูถูกตนเองรู้สึกถึงจุดบกพร่องตนเองมากกว่า
ตอบ (2.) imposter syndrome นี่เกิดขึ้นได้ทุกคนนะ ไม่ใช่แค่ในคนที่รู้สึกไม่เก่งสักทาง แบบที่ชอบเรียกกันว่าเหมือนเป็ด แต่คนที่เรียนได้ท็อป แนวหน้ารุ่น หรือพ่อแม่ตัวอย่าง นักวิชาการ ผู้บริหารเก่งๆน่ะเป็น 70% ส่วนมากเกิดขึ้นในผู้หญิง เพราะเพศหญิงโดนขับออกจากกลุ่มในการสืบพันธุ์ แฝงมาในพันธุกรรมตั้งแต่สมัยที่ค้นพบ วิวัฒนการมนุษย์ดึกดำบรรพ์จนสุ่ยุคปัจจุบัน (นักวิจัยยกตัวอย่าง วัฒนธรรมของการแต่งงาน ฝ่ายหญิงถูกออกจากครอบครัวตนเองเข้าไปเป็นครอบครัวในบ้านฝ่ายชาย) อันนี้มันมีมาตั้งแต่ยุคโบราณเลยนะ ทำให้ฝ่ายหญิงฝังในสัญชาตญาณในการอ่อนไหวต่อการถูกปฏิเสธ หากตนไม่มีความสามารถเพียงพอ อันนี้อ่านในหนังสือที่เขียนประกอบจากงานวิจัยตปท.เลยเอามาแชร์เผื่อมีคนสนใจโรคนี้มากขึ้น หาอ่านหนังสือแปลเพิ่มได้นะคะหากคิดว่าตนเองมีอาการเพื่อเข้าใจอย่างละเอียดมากขึ้น มีงานวิจัยยกตัวอย่าง "Imposter syndrome ทำมากแค่ไหนก็รู้สึกเก่งไม่พอ.." ของ Dr. Sandi Mann

ตามที่วาเลอรี ยัง ผู้เขียนหนังสือเรื่อง The Secret Thoughts of Successful Women: Why Capable People Suffer from the Impostor Syndrome and How to Thrive in Spite of It (สำนักพิมพ์คราวน์,2011) ระบุว่าลักษณะของบุคคลตังต่อไปนี้คือผู้มีความเสี่ยงสูง
1.      นักเรียน มักจะมองดูผู้อื่นว่ามีความสามารถ เป็นผู้ใหญ่ และทำงานหนักกว่าพวกเขาอยู่บ่อยครั้ง อาจรู้สึกว่าตัวเองไม่เหมาะสมหรือไม่คู่ควรกับสถานศึกษาที่ตัวเองเรียนอยู่
2.      นักวิชาการและบุคลากรในสายงานที่ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์ ซึ่งต้องคอยเปรียบเทียบตัวเองกับคนเก่ง ๆ มากมายในหลาย ๆ ด้าน
3.      บุคคลที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงและผู้ที่ประสบความสำเร็จในอาชีพตั้งแต่อายุยังน้อย บุคคลเหล่านี้มักถูกจัดอยู่ในประเภทอัจฉริยะที่คิดว่าตัวเองไม่เก่ง คนในครอบครัวที่ได้ทำงาน เข้าเรียนมหาวิทยาลัย หรือเรียนต่อในระดับบัณฑิตศึกษา ความคาดหวังที่มีต่อบุคคลซึ่งถือเป็นคนแรกของครอบครัวหรือวงศ์ตระกูลที่จะทำสิ่งเหล่านี้ได้สำเร็จนั้นสูง ต้องพยายามอย่างหนักเพื่อที่จะพิสูจน์ตัวเอง แต่อาจจะทำได้ต่ำกว่ามาตรฐานที่ครอบครัวคาดหวังไว้
4.      ผู้ที่เข้าสู่ตำแหน่งด้วยเส้นทางหรือวิธีที่แตกต่างจากผู้อื่น คนกลุ่มนี้มีแนวโน้มว่าจะยกประโยซน์เรื่องความสำเร็จที่เกิดขึ้นให้กับโชคชะตามากกว่าความพยายาม
5.      กลุ่มบุคคลที่ถูกลดทอนความสำคัญ (ผู้หญิง ชนกลุ่มน้อย LGBTQ คนพิการ กลุ่มผู้นับถือศาสนาเฉพาะ ฯลฯ) แรงกดดันที่พวกเขาได้รับในการเป็นตัวแทนที่จะนำเสนอภาพของกลุ่มหรือเผ่าพันธุ์ สามารถนำไปสู่ความรู้สึกว่าตัวเองไม่เก่งหรือไม่ใช่ตัวจริงได้
6.      ผู้ที่มีพ่อแม่ประสบความสำเร็จอย่างสูง ถูกคาดหวังให้เป็นแบบอย่างให้กับลูก
7.      เจ้าของธุรกิจหรือผู้ที่ทำงานคนเดียว คนกลุ่มนี้มักให้ความเชื่อถือการสื่อสารผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งเป็นรูปแบบการสื่อสารที่ลดทอนอารมณ์และความรู้สึก ด้วยเหตุนี้จึงทำให้คนทำงานประเภทนี้ยากที่จะรู้ว่าตนเองทำได้ดีแค่ไหนหรือมีผลงานที่ได้ตามมาตรฐานที่ตั้งเอาไว้
 
ปัจจัยที่ส่งผลต่อการกระตุ้นภาวะรู้สึกแย่และไม่มั่นใจในตนเอง
1.      การเปรียบเทียบทางสังคมจากโซเชียลมีเดีย
มนุษย์มีความต้องการขั้นพื้นฐานที่จะเปรียบเทียบตัวเองกับผู้อื่นอยู่เป็นสัญชาตญาณโดยธรรมชาติ ที่จะตัดสินความก้าวหน้าหรือความสำเร็จในชีวิตด้วยการจับคู่เปรียบเทียบสิ่งที่เราทำกับสิ่งที่ผู้อื่นทำ นี่คือสิ่งที่นักจิตวิทยา ลีออน เฟสติงเกอร์ได้อธิบายไว้ใน 'ทฤษฎีการเปรียบเทียบทางสังคม' เมื่อปี 1950 การเปรียบเทียบทางสังคมนี้ช่วยทำหน้าที่หลายประการ เช่น การเติมเต็มความต้องการที่จะผูกพัน การสร้างหรือรักษาความสัมพันธ์ทางสังคม การประเมินตัวเอง การช่วยในการตัดสินใจด้วยการแสวงหามุมมองของผู้อื่นหรือสร้างแรงบันดาลใจ เป็นต้น
2.      ความเชื่อทางศาสนา 
ความรู้สึกที่ว่าพวกเขามีบาปก็สามารถเป็นจุดเริ่มต้นของความเชื่อที่ว่าไม่คู่ควรกับการได้รับสิ่งที่ดีในชีวิตได้เช่นกัน
3.       การถูกเปรียบเทียบอย่างไม่น่าพึงประสงค์กับผู้อื่น 
ข้อนี้มักหมายถึงการถูกเปรียบเทียบกันระหว่างพี่น้อง แต่ก็อาจหมายถึงการถูกเปรียบเทียบกับบุคคลอื่นหรือแม้กระทั่งเพื่อน
4.      รูปร่างหน้าตา 
รูปร่างหน้าตาของเราสามารถกลายเป็นปัจจัยสำคัญในการพัฒนาการมองเห็นคุณค่าในตัวเองที่ดี(หรือไม่ดี) ได้ คนที่ไม่ชอบรูปร่างหน้าตาของตัวเอง สามารถแปลความหมายจาก 'ฉันหน้าตาไม่ดีพอ' ไปเป็น 'ฉันไม่ดีพอได้'
5.      การถูกทำร้าย 
เด็ก ๆ ที่ทนทุกข์กับการถูกทำร้ายสามารถโตขึ้นมาพร้อมความเชื่อที่ว่าสมควรแล้วที่ถูกปฏิบัติแย่ ๆ ใส่ เพราะพวกเขาไม่มีค่าพอสำหรับอะไรที่ดีกว่านี้สิ่งนี้สามารถนำไปอธิบายกับผู้ใหญ่ที่มีประสบการณ์การถูกทำร้ายได้ด้วยเช่นกัน
6.      การถูกพ่อแม่ผู้ปกครองควบคุมมากเกินไป
การเติบโตขึ้นพร้อมกับการโดนบอกว่าสิ่งที่ทำนั้นไม่ดีพอนำไปสู่ความเชื่อนั้นๆและรู้สึกฝังใจ แม้ไม่ได้รับการยอมรับเพียงแค่ด้านหนึ่ง แต่ก็สามารถถูกนำไปใช้เหมารวมกับเรื่องอื่นๆในชีวิตด้วย สิ่งนี้สามารถนำไปสู่การมองเห็นคุณค่าในตัวเองต่ำได้
 
โดยรวมจากภาวะรู้สึกแย่กับตนเอง (Imposter Syndrome) ที่ข้าพเจ้าเป็น ทำให้ความทุกข์และรู้สึกบกพร่องทางร่างกายและจิตใจที่ส่งผลให้เกิด

ไม่อยากให้เหมารวมว่าคือโรคซึมเศร้านะคะ เพราะอาการนี้มันแยกออกไปต่างหาก
เหมือนเป็นคนที่ยินดีกับความสำเร็จของคนรอบข้างคนทั้งโลก ยกเว้นตนเอง
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่