ความคิดเห็นจาก Expert Account
ความคิดเห็นที่ 2
มาแจงให้เป็นข้อๆเลยแล้วกันนะครับ
"ความจริงแล้ว iron oxide ที่เป็นสีต่างๆ นั้น มันมีอยู่แล้วในเครื่องสำอางค์และสกินแคร์เกือบทุกประเภทนะคะ และมันไม่ได้มีคุณสมบัติติดบนผิวหากIron oxide ชนิดนั้นๆไม่ได้เป็นชนิดเคลือบกันน้ำ หรือ คสอ.ตัวนั้นไม่ได้มีส่วนผสมอื่นที่กันน้ำหรืออุดตันผิว"
*** titanium dioxide และ iron oxide เป็น pigment, pigment คือสารสี ที่แขวนลอยอยู่ในตัวกลาง ไม่ละลายในตัวกลาง เมื่อผสมมาใน product ที่เข้าข่ายเป็นเครื่องสำอางค์ ทาง อย อนุญาติให้ใช้ได้รูปแบบทาเท่านั้น ไม่ได้อนุญาตให้ใช้ร่วมกับเครื่องมือ โดยเฉพาะเครื่องมือที่มีความคมเช่นปากกา microneedling การให้บริการในรูปแบบดังกล่าวจะเข้าข่ายการสัก
"รวมถึง iron oxide ที่ว่านี้ มันมีหลายแบบมากๆทั้งแบบที่เป็น ธรรมชาติและ synthetic ซึ่งในคสอ. ที่ได้มาตรฐานเค้าจะใช้ตัวที่เป็น Synthetic เพราะอะไร เพราะว่าหลีกเลี่ยงการปนเปื้อนของโลหะหนักต่างๆ ที่อันตรายต่อผิว และแน่นอนค่ะว่า iron oxide อาจจะเป็นส่วนผสมในสีสักบางชนิดเพราะว่า มันเป็นสารที่ให้สีสัน"
*** ทั้ง titanium dioxide และ iron oxide นิยมผสมในสีสัก ไม่ว่าจะธรรมชาติหรือสังเคราะห์ ก็มีความเสี่ยง เพราะความเสี่ยงไม่ได้เกิดขึ้นจากเฉพาะสิ่งเจือปนเท่านั้น แต่ความเสี่ยงเกิดจากตัวสารเอง
"แต่ไม่ได้แปลว่า สารนั้นๆจะก่อให้เกิดการอุดตัน แพ้ หรืออันตราย และทำไมเราถึงบอกว่า bb glow ไม่ใช่การสักแน่นอนน เพราะการสัก ต้องฝังสีนั้นๆ ลงไปในชั้นผิว dermis หรือชั้นหนังแท้ แต่การทำ bb glow ที่ถูกต้อง ต้องทำบริเวณ. Epidermis (ชั้นผิวกำพร้า) ค่ะ"
*** ปากกาสักสำหรับการทำบีบีโกลว แม้จะสามารถปรับระดับได้ แต่ในทางปฏิบัติ เป็นไปได้ยากมาก ที่จะจำกัดการกระจายเม็ดสีให้อยู่เฉพาะในหนังกำพร้า
ความหนาโดยเฉลี่ยของ epidermis บนผิวหน้าคือ 0.1 - 0.15 mm โดย มีลักษณะแบบนิ้วมือดังภาพ

คือมีส่วนตื้น สลับส่วนลึก ส่วนที่ตื้น ในบางครั้งมีความหนาเพียง 0.02 mm เท่านั้น
ที่เห็นว่า ความหนาโดยเฉลี่ยของ epidermis บนผิวหน้าคือ 0.1 - 0.15 mm นั้นเกิดจากการเฉลี่ยรวมในส่วนของ rete ridges
เป็นไปได้ยาก ถ้าจะใช้เข็มจำนวนมากแทงให้ทะลุชั้น stratum corneum แต่ไม่ให้ไปถึง dermis เลย
"ซึ่งนั่นเป็นสาเหตุว่าทำไม bbglow จึงไม่ติดทนถาวรเหมือนการสักอื่นๆ ทางคนล้างหน้า แปปเดียวก็หลุด ซึ่งจุดประสงค์การทำ bbglow จริงๆไม่ใช่การฝังสี แต่เป็นการผลักวิตามินสูตรต่างๆลงไป(บางร้านไม่ใช้วิตามินลงก่อน แต่ใช้ สูตร bb อย่างเดียว)ได้ลึกกว่าการทาเองด้วยมือโดยที่บาวร้านเครมว่าอยู่นาน 4 เดือนอาจจะหมายถึงเอฟเฟคท์หลังการบำรุงผิวสำหรับบางคนที่ทำต่อเนื่องไม่ได้หมายถึงการติดของสี เพราะฉะนั้นการทำ bbglow จึงต้องมีการปรับความยาวของหัว รวมไปถึงการฆ่าเชื้อที่ถูกวิธี และแน่นอนหลังการทำ bbglow ช่างต้องแนะนำให้ลูกค้างดการเลเซอร์หลังทำระยะหนึ่งอยู่แล้วค่ะ"
*** เท่าที่ทราบ การปรับความยาวหัว มักปรับอยู่ในช่วง 0.25 - 1 mm ซึ่งมีโอกาสฝังสีลงในชั้น dermis ได้ ค่อนข้างมาก ในกรณีที่ผิว intact ความหนาที่อาจนับได้ว่าจะอยู่ใน epidermis นั้นคือความหนาที่เลยชั้น stratum corneum มาเพียงเล็กน้อย ~ 10 - 15 ไมครอน นั่นคือ 0.01 mm ไม่ทราบว่าเครื่องมือทำบีบีโกลวจะละเอียดได้เท่านั้นหรือไม่ และต่อให้ทำได้เช่นนั้น ก็ไม่ได้การันตีเรื่องความผลออดภัยใดๆ ไม่ว่าจะเป็นความเสี่ยงในการติดเชื้อ ความเสี่ยงในการเกิด granuloma ความเสี่ยงจากการกระจายตัวที่ไม่สม่ำเสมอของ pigment และความเสี่ยงในการทำหัตถการอื่นๆร่วม
"ความจริงแล้ว iron oxide ที่เป็นสีต่างๆ นั้น มันมีอยู่แล้วในเครื่องสำอางค์และสกินแคร์เกือบทุกประเภทนะคะ และมันไม่ได้มีคุณสมบัติติดบนผิวหากIron oxide ชนิดนั้นๆไม่ได้เป็นชนิดเคลือบกันน้ำ หรือ คสอ.ตัวนั้นไม่ได้มีส่วนผสมอื่นที่กันน้ำหรืออุดตันผิว"
*** titanium dioxide และ iron oxide เป็น pigment, pigment คือสารสี ที่แขวนลอยอยู่ในตัวกลาง ไม่ละลายในตัวกลาง เมื่อผสมมาใน product ที่เข้าข่ายเป็นเครื่องสำอางค์ ทาง อย อนุญาติให้ใช้ได้รูปแบบทาเท่านั้น ไม่ได้อนุญาตให้ใช้ร่วมกับเครื่องมือ โดยเฉพาะเครื่องมือที่มีความคมเช่นปากกา microneedling การให้บริการในรูปแบบดังกล่าวจะเข้าข่ายการสัก
"รวมถึง iron oxide ที่ว่านี้ มันมีหลายแบบมากๆทั้งแบบที่เป็น ธรรมชาติและ synthetic ซึ่งในคสอ. ที่ได้มาตรฐานเค้าจะใช้ตัวที่เป็น Synthetic เพราะอะไร เพราะว่าหลีกเลี่ยงการปนเปื้อนของโลหะหนักต่างๆ ที่อันตรายต่อผิว และแน่นอนค่ะว่า iron oxide อาจจะเป็นส่วนผสมในสีสักบางชนิดเพราะว่า มันเป็นสารที่ให้สีสัน"
*** ทั้ง titanium dioxide และ iron oxide นิยมผสมในสีสัก ไม่ว่าจะธรรมชาติหรือสังเคราะห์ ก็มีความเสี่ยง เพราะความเสี่ยงไม่ได้เกิดขึ้นจากเฉพาะสิ่งเจือปนเท่านั้น แต่ความเสี่ยงเกิดจากตัวสารเอง
"แต่ไม่ได้แปลว่า สารนั้นๆจะก่อให้เกิดการอุดตัน แพ้ หรืออันตราย และทำไมเราถึงบอกว่า bb glow ไม่ใช่การสักแน่นอนน เพราะการสัก ต้องฝังสีนั้นๆ ลงไปในชั้นผิว dermis หรือชั้นหนังแท้ แต่การทำ bb glow ที่ถูกต้อง ต้องทำบริเวณ. Epidermis (ชั้นผิวกำพร้า) ค่ะ"
*** ปากกาสักสำหรับการทำบีบีโกลว แม้จะสามารถปรับระดับได้ แต่ในทางปฏิบัติ เป็นไปได้ยากมาก ที่จะจำกัดการกระจายเม็ดสีให้อยู่เฉพาะในหนังกำพร้า
ความหนาโดยเฉลี่ยของ epidermis บนผิวหน้าคือ 0.1 - 0.15 mm โดย มีลักษณะแบบนิ้วมือดังภาพ

คือมีส่วนตื้น สลับส่วนลึก ส่วนที่ตื้น ในบางครั้งมีความหนาเพียง 0.02 mm เท่านั้น
ที่เห็นว่า ความหนาโดยเฉลี่ยของ epidermis บนผิวหน้าคือ 0.1 - 0.15 mm นั้นเกิดจากการเฉลี่ยรวมในส่วนของ rete ridges
เป็นไปได้ยาก ถ้าจะใช้เข็มจำนวนมากแทงให้ทะลุชั้น stratum corneum แต่ไม่ให้ไปถึง dermis เลย
"ซึ่งนั่นเป็นสาเหตุว่าทำไม bbglow จึงไม่ติดทนถาวรเหมือนการสักอื่นๆ ทางคนล้างหน้า แปปเดียวก็หลุด ซึ่งจุดประสงค์การทำ bbglow จริงๆไม่ใช่การฝังสี แต่เป็นการผลักวิตามินสูตรต่างๆลงไป(บางร้านไม่ใช้วิตามินลงก่อน แต่ใช้ สูตร bb อย่างเดียว)ได้ลึกกว่าการทาเองด้วยมือโดยที่บาวร้านเครมว่าอยู่นาน 4 เดือนอาจจะหมายถึงเอฟเฟคท์หลังการบำรุงผิวสำหรับบางคนที่ทำต่อเนื่องไม่ได้หมายถึงการติดของสี เพราะฉะนั้นการทำ bbglow จึงต้องมีการปรับความยาวของหัว รวมไปถึงการฆ่าเชื้อที่ถูกวิธี และแน่นอนหลังการทำ bbglow ช่างต้องแนะนำให้ลูกค้างดการเลเซอร์หลังทำระยะหนึ่งอยู่แล้วค่ะ"
*** เท่าที่ทราบ การปรับความยาวหัว มักปรับอยู่ในช่วง 0.25 - 1 mm ซึ่งมีโอกาสฝังสีลงในชั้น dermis ได้ ค่อนข้างมาก ในกรณีที่ผิว intact ความหนาที่อาจนับได้ว่าจะอยู่ใน epidermis นั้นคือความหนาที่เลยชั้น stratum corneum มาเพียงเล็กน้อย ~ 10 - 15 ไมครอน นั่นคือ 0.01 mm ไม่ทราบว่าเครื่องมือทำบีบีโกลวจะละเอียดได้เท่านั้นหรือไม่ และต่อให้ทำได้เช่นนั้น ก็ไม่ได้การันตีเรื่องความผลออดภัยใดๆ ไม่ว่าจะเป็นความเสี่ยงในการติดเชื้อ ความเสี่ยงในการเกิด granuloma ความเสี่ยงจากการกระจายตัวที่ไม่สม่ำเสมอของ pigment และความเสี่ยงในการทำหัตถการอื่นๆร่วม
แสดงความคิดเห็น
ฝากถึงร้านทำ bb glow หลายๆร้าน