เมื่อต้นปี2561ผมมีอาการซึมเศร้าเลยอยู่แต่ในห้อง ที่อยู่แต่ในห้องนั้นเพราะรู้สึกว่าชีวิตนี้ไม่มีความสุขทั้งๆที่เมื่อปลายปีที่แล้วยังร่าเริงอยู่เลย สาเหตุที่มีอาการนี้เป็นเพราะเงินที่ลูกโอนมาหมดไปกับการกินดื่ม(กาแฟ)จะลงไปขอเงินเจ้ารัตน์ก็เกรงใจเพราะยังมีหนี้เก่าค้างอยู่หลายพัน
สิ่งที่ทำได้มากที่สุดคือนอน นอนๆๆกับกิน แต่มันก็กินอะไรไม่ได้เอาซะเลย พอเบื่อๆขึ้นมาก็ดูหนังดูละครไปดูกับมือถือเครื่องที่เจ้ารัตน์ให้มา ที่ดูส่วนใหญ่คือละคร มันช่วยได้มากจริงๆกับการที่อยู่คนเดียวในห้องสี่เหลี่ยม
ช่วงนั้นผมสังเกตว่าที่ห้องข้างบนห้องมีเสียงตำครก เสียงลากวัตถุหนักๆ คงเป็นเตียง
เวลาผ่านไปถึงปลายเดือนมกราคม
เช้าวันหนึ่งผมหายจากอาการซึมเศร้าเลยลงไปข้างล่างเพื่อถามไถ่สารทุกข์สุกดิบเจ้ารัตน์แคชเชียร์กะดึก
ระหว่างที่นั่งคุยอยู่กับเจ้ารัตน์ ที่เก้าอี้นั่งเล่นหน้าออฟฟิศ จู่ๆก็มีหญิงสาวคนหนึ่งเอากระดาษมิเตอร์มาจะยื่นให้เจ้ารัตน์ แต่ผมยื่นมือออกไปรับแทนแล้วเงยหน้ามองเธอ
เธอส่งกระดาษแผ่นนั้นให้ผมผมเงยหน้ามองเธอหน้าเธอยิ้มครับยิ้มของเธอสวยมากเพราะเธอมีฟันที่เรียงเป็นระเบียบรับกับโครงหน้าที่สวยเบ่งบานเหมือนดอกไม้ในทุ่งทานตะวันแรกแย้มยามเช้า นี่ฟังๆไปเหมือนผมว่าเธอว่าเธอเป็นสาวหน้าบานนะเนี่ย
ในกระดาษแผ่นที่ผมรับมานั้นคือกระดาษจดมิเตอร์น้ำระบุไว้ว่าเธออยู่ห้อง 510 ซึ่งคือห้องที่ตรงกับชั้นบนของผม(410)
จากวันนั้นมาผมเฝ้าแต่คิดถึงใบหน้าของเธอ อยากรู้จักเธออยากพูดคุยกับเธอแต่ใจมันไม่กล้าเพราะผมเคยอกหักมาจากหญิงสาวที่ซอยลาดพร้าว 112
มีอยู่วันหนึ่งผมนั่งอยู่ข้างล่าง เห็นเธอกลับมาจากทำงาน พอเธอเดินผ่านหน้าไประหว่างที่เธอรอลิฟต์นั้นผมรีบวิ่งตามเข้าไป
ในประตูหน้าห้องลิฟต์นั้นผมเห็นเธอยืนหันหลังให้ประตูห้องลิฟต์เธอหันหน้ามาแล้วยิ้มให้
ผมเปิดประตูห้องลิฟต์เข้าไปเธอเข้าไปก่อนผมตามเข้าไปอีกที
ในลิฟต์เธอกดเลขชั้น 5 แต่ไม่ยักกะถามผมว่าชั้นไหนคะนี่เธอไม่รู้จักมารยาทสังคมของการอยู่การใช้อาคารร่วมกันหรือไง แต่ก็ไม่ถือโทษหรอกเพราะเธออายุยังน้อยและที่สำคัญเธอสวยครับสวยแบบที่ผมชอบเลยเลยยกประโยชยน์ให้ก็ดันชอบเธอเข้าไปแล้วเธอจะทำอะไรก็ไม่ว่าเธอหรอก
พอลิฟต์ถึงชั้นของผมผมก็เดินออกจากลิฟต์ไปแล้วเดินไปได้สิบยี่สิบก้าวก็หยุดแล้วถามตัวเองว่านี่เรามันทำบ้าอะไรวะเนี่ย
เช้าวันหนึ่งผมรู้ว่าเธอต้องออกไปทำงาน
ใกล้แปดโมงเช้า
ผมนั่งอยู่ที่ข้างกำแพงทางขึ้นชั้นบน ผมย้ายไปนั่งที่เสาบริเวณที่จอดมอเตอไซค์ ไม่กี่นาทีเธอต่อมาเธอออกมาจากลิฟต์กำลังจะเดินผ่านหน้าผมไปผมยิ้มให้เธอเธอส่งยิ้มกลับมาแล้วเธอเดินไปที่รถของเธอ
เธอกำลังจะเคลื่อนรถของเธอผมเห็นก้อนหินวางขวางล้อหน้ารถด้านขวาของเธออยู่เลยรีบวิ่งไปเคาะกระจกด้านคนขับที่เธอเป็นคนขับเอง กระจกถูกเลื่อนลงผมก้มลงไปหาเธอแล้วถามว่าเห็นหินขวางอยู่มั้ยครับเธอตอบเห็นค่ะ
ผมเลยไปเขี่ยหินก้อนนั้นให้พ้นทางล้อรถของเธอ (มีต่อ)
คนเก่าไปตนใหม่มา
สิ่งที่ทำได้มากที่สุดคือนอน นอนๆๆกับกิน แต่มันก็กินอะไรไม่ได้เอาซะเลย พอเบื่อๆขึ้นมาก็ดูหนังดูละครไปดูกับมือถือเครื่องที่เจ้ารัตน์ให้มา ที่ดูส่วนใหญ่คือละคร มันช่วยได้มากจริงๆกับการที่อยู่คนเดียวในห้องสี่เหลี่ยม
ช่วงนั้นผมสังเกตว่าที่ห้องข้างบนห้องมีเสียงตำครก เสียงลากวัตถุหนักๆ คงเป็นเตียง
เวลาผ่านไปถึงปลายเดือนมกราคม
เช้าวันหนึ่งผมหายจากอาการซึมเศร้าเลยลงไปข้างล่างเพื่อถามไถ่สารทุกข์สุกดิบเจ้ารัตน์แคชเชียร์กะดึก
ระหว่างที่นั่งคุยอยู่กับเจ้ารัตน์ ที่เก้าอี้นั่งเล่นหน้าออฟฟิศ จู่ๆก็มีหญิงสาวคนหนึ่งเอากระดาษมิเตอร์มาจะยื่นให้เจ้ารัตน์ แต่ผมยื่นมือออกไปรับแทนแล้วเงยหน้ามองเธอ
เธอส่งกระดาษแผ่นนั้นให้ผมผมเงยหน้ามองเธอหน้าเธอยิ้มครับยิ้มของเธอสวยมากเพราะเธอมีฟันที่เรียงเป็นระเบียบรับกับโครงหน้าที่สวยเบ่งบานเหมือนดอกไม้ในทุ่งทานตะวันแรกแย้มยามเช้า นี่ฟังๆไปเหมือนผมว่าเธอว่าเธอเป็นสาวหน้าบานนะเนี่ย
ในกระดาษแผ่นที่ผมรับมานั้นคือกระดาษจดมิเตอร์น้ำระบุไว้ว่าเธออยู่ห้อง 510 ซึ่งคือห้องที่ตรงกับชั้นบนของผม(410)
จากวันนั้นมาผมเฝ้าแต่คิดถึงใบหน้าของเธอ อยากรู้จักเธออยากพูดคุยกับเธอแต่ใจมันไม่กล้าเพราะผมเคยอกหักมาจากหญิงสาวที่ซอยลาดพร้าว 112
มีอยู่วันหนึ่งผมนั่งอยู่ข้างล่าง เห็นเธอกลับมาจากทำงาน พอเธอเดินผ่านหน้าไประหว่างที่เธอรอลิฟต์นั้นผมรีบวิ่งตามเข้าไป
ในประตูหน้าห้องลิฟต์นั้นผมเห็นเธอยืนหันหลังให้ประตูห้องลิฟต์เธอหันหน้ามาแล้วยิ้มให้
ผมเปิดประตูห้องลิฟต์เข้าไปเธอเข้าไปก่อนผมตามเข้าไปอีกที
ในลิฟต์เธอกดเลขชั้น 5 แต่ไม่ยักกะถามผมว่าชั้นไหนคะนี่เธอไม่รู้จักมารยาทสังคมของการอยู่การใช้อาคารร่วมกันหรือไง แต่ก็ไม่ถือโทษหรอกเพราะเธออายุยังน้อยและที่สำคัญเธอสวยครับสวยแบบที่ผมชอบเลยเลยยกประโยชยน์ให้ก็ดันชอบเธอเข้าไปแล้วเธอจะทำอะไรก็ไม่ว่าเธอหรอก
พอลิฟต์ถึงชั้นของผมผมก็เดินออกจากลิฟต์ไปแล้วเดินไปได้สิบยี่สิบก้าวก็หยุดแล้วถามตัวเองว่านี่เรามันทำบ้าอะไรวะเนี่ย
เช้าวันหนึ่งผมรู้ว่าเธอต้องออกไปทำงาน
ใกล้แปดโมงเช้า
ผมนั่งอยู่ที่ข้างกำแพงทางขึ้นชั้นบน ผมย้ายไปนั่งที่เสาบริเวณที่จอดมอเตอไซค์ ไม่กี่นาทีเธอต่อมาเธอออกมาจากลิฟต์กำลังจะเดินผ่านหน้าผมไปผมยิ้มให้เธอเธอส่งยิ้มกลับมาแล้วเธอเดินไปที่รถของเธอ
เธอกำลังจะเคลื่อนรถของเธอผมเห็นก้อนหินวางขวางล้อหน้ารถด้านขวาของเธออยู่เลยรีบวิ่งไปเคาะกระจกด้านคนขับที่เธอเป็นคนขับเอง กระจกถูกเลื่อนลงผมก้มลงไปหาเธอแล้วถามว่าเห็นหินขวางอยู่มั้ยครับเธอตอบเห็นค่ะ
ผมเลยไปเขี่ยหินก้อนนั้นให้พ้นทางล้อรถของเธอ (มีต่อ)