สวัสดี ชาวพันทิพค่ะ วันนี้เรามีประสบการณ์การฝากท้อง แล้วก็คลอดลูกที่ออสเตรเลียมาเล่าสู่กันฟัง
ตอนนี้ที่เราเขียนกระทู้นี้ เรายังไม่คลอดนะคะ อายุครรภ์ 34 สัปดาห์เป็นท้องแรกด้วยจ้า
จะบอกว่ากระบวนการฝากท้องที่นี่ต่างกับที่ไทยมากกกกกกก มาเริ่มกันเลย
เราก่อนอื่นเราเป็น PR (Permanant Resident) ของที่นี่ เพราะฉะนั้นสิทธิ์การรักษาอาจจะต่างกับคนที่มี วีซ่าอื่นๆ เช่น วีซ่านักเรียน วีซ่า Work and holiday
เราแต่งงานกับแฟนมาได้ 2 ปี (แฟนเราเป็นคนอินโดไม่ใช่คนออสซี่) จริงๆ แพลนของเราทั้งคู่คือจะไม่มีลูก เพราะเป็นคนชอบท่องเที่ยวแล้วเราก็ไม่ค่อยอินกับเด็กเท่าไหร่ ประกอบกันฮอร์โมนเราก็ไม่ปกติ ทำให้เราต้องกินยาคุมเพื่อให้ประจำเดือนมาสม่ำเสมอ
แต่ระหว่างที่อยู่ด้วยกันก็มีบางช่วงที่เราหยุดยาคุม แล้วแฟนก็หลั่งใน แต่ก็ไม่เคยท้องเลย
จนกระทั่งต้นปีที่ผ่านมา อยู่ดีๆ เราก็ขยันไปออกกำลังกายกับกลุ่มเพื่อน 2-3 วันต่อสัปดาห์เป็นเวลากว่า 3 เดือน
ระหว่างนี้แฟนเราไปทำงานที่สิงคโปร์ ไปๆกลับๆ จนสุดท้ายเค้าต้องกลับมาที่ออสถาวร เพราะสิงคโปร์กำลังจะปิดประเทศเนื่องจาก COVID
จุดเริ่มต้นก็เริ่มจากตรงนี้แหละค่ะ เรามีอะไรกันแค่ครั้งเดียวและเป็นช่วงที่เรากินยาคุมหมดพอดี
หลังจากนั้นเราก็ไม่ได้คิดอะไร แต่มีอาการคัดเต้านม ปวดท้องน้อย ซึ่งเราก็คิดว่าเป็นอาการของคนที่กำลังจะมีประจำเดือนปกติ
ผ่านไปเกือบเดือนประจำเดือนก็ไม่มาซักที ตอนนี้เริ่มมีอาการเพลียๆ บางวันก็มึนๆ จนแฟนแซวว่าท้องรึป่าวเนี่ย
เริ่มใจไม่ดีเลยไปซื้อที่ตรวจครรภ์มาตรวจ แล้วก็เซอร์ไพส์จ้าาา ขึ้น 2 ขีด จำได้ว่าตอนนั้นนั่งมึนอยู่ในห้องน้ำ
ร้องไห้ แต่ไม่ใช่ร้องไห้ดีใจนะ ความคิดในหัวคือ หมดกันแพลนชีวิตทั้งหมดที่มีแค่เรากับแฟน มันพังหมด แล้วต้องทำยังไงต่อ
อารมณ์เหมือนชั้นกำลังท้องในวัยเรียน ฮ่าๆๆ
วันรุ่งขึ้นเลยตัดสินใจไปตรวจกับหมอให้มั่นใจอีกที ที่นี่ใครป่วยเป็นอะไร ต้องไปหา GP (Gerneral Practice) อารมณ์คือหมอทั่วไป
ที่คลีนิกใกล้บ้านก่อนนะคะ ไม่สามารถตรงที่ไป รพ แบบบ้านเราได้เลย
สำหรับคนที่เป็น Citizen หรือ PR จะมีบัตรที่เรียกว่า Medicare Card เราจะต้องโชว์บัตรนี้ทุกครั้งที่ไปหาหมอ ส่วนค่ารักษาคือ "ฟรี" จ้า
นอกจากจะไปหาหมอที่เป็น Specialist เช่น หมอตา หมอหัวใจ หมอกระดูก ... ก็จะมีค่าใช้จ่ายนิดหน่อย
อันนี้เป็นคลีนิกใกล้บ้านที่เราไปหา GP
พอมาหาหมอ เค้าก็ให้เราไปเก็บปัสสาวะ เก็บเลือด เราจะรู้ผลคือวันถัดไปนะ ไม่เหมือนที่ไทยว่านั่งรอ 1-2 ชม รู้ผลเลย
วันต่อมากลับมาหาหมออีกรอบ ใจก็ลุ้นว่า อย่าท้องเลยยยย พอหมอเปิดผลดู Congratulations you are pregnant ฮ่าๆๆ
เรานี่ไม่รู้จะต้องยิ้มหรือทำหน้ายังไงดี ฮ่าๆ
จากนั้นก็ส่งเราไปเจาะเลือดตรวจพวกโรคต่างๆ เช่น HIV, ตับอักเสบ เราว่าอันนี้น่าจะเหมือนที่เมืองไทย แล้วก็ไปทำ Dating Scan
ก็คือการ ultrasound ดูว่ามีถุงตั้งครรภ์มั้ย มีเด็กมั้ย ท้องจริงไม่ใช่ท้องลม แล้วก็เป็นการคำนวณวันกำหนดคลอดด้วย
ที่นี่การ ultrasound จะทำโดยนักเทคนิคการแพทย์นะคะ เรียกว่า Sonographer ไม่ใช่หมอ โดยเค้าจะมีหน้าที่ Capture รูปที่ซาวได้
แล้วส่งไปให้หมอวิเคราะห์อีกที ซึ่งผลของการซาว ก็ต้องรอไปอีก 24 ชม จ้า Sonographer ไม่สามารถบอกผลเราได้ว่าเป็นยังไง
ครั้งแรกที่เห็นในจออัลตราซาวคือ อะไรบางอย่างเป็นเม็ดกลมๆ คล้ายๆ ถั่ว ผลจากการซาวก็คือเราตั้งครรภ์ได้ 5 สัปดาห์
กำหนดคลอดประมาณวันที่ 6 มค 64
จากนี้ก็คือยังไปหา GP อยู่นะคะ เค้าก็จะส่งเราไปซาวเป็นระยะ แล้วก็ให้เรากินวิตามินรวม วิตามินไปซื้อเองได้ตามร้านขายยาเค้าแค่บอกชื่อยี่ห้อมา
ระหว่างนี้ใครแพ้ท้อง เจ็บป่วยอะไร จะฉีดวัคซีน ก็คือกลับไปหา GP คนเดิม ไปเรื่อยๆ จนกว่าอายุครรภ์จะครบ 3 เดือน
ช่วงระหว่าง 3 เดือน หมอก็จะแนะนำให้ตรวจดาวน์ซินโดรม เป็น option เสริมนะ จะตรวจก็ได้ไม่ตรวจก็ได้ แต่ถ้ามีกำลังทรัพย์จ่ายไหว เราแนะนำให้ตรวจนะ
ที่เมืองไทยก็มีเหมือนกัน
โดยมี 2 แบบ คือการทำ
1. Ultrasould เรียกว่า Nuchal Translucency อันนี้จะตรวจเฉพาะดาวน์ซินโดรม
2. Hamony test ก็คือการเจาะเลือดแม่ ไปตรวจหาโครโมโซมที่ผิดปกติที่ไม่ใช่เฉพาะแต่ดาวน์ซินโดรม
สามารถตรวจโครโมโซมคู่อื่นได้อีกเช่น โรคเอ็ดเวิร์ด ซินโดรม เราจำไม่ค่อยได้แล้วว่ามีอะไรอีก แล้วก็สามารถตรวจเพศลูกได้ด้วยซึ่งแม่นยำ
กว่าการทำ ultrasound
สองอันนี้เราต้องเสียค่าตรวจเอง อันแรกเราเสียไปประมาณ $130 AUD ประมาณ 2,600 กว่าบาท ส่วน Hamony test เสียไปประมาณ $700 ก็ประมาณ 14,000 บาท
ผลก็คือปกติดีจ้า แล้วก็รู้เพศน้องด้วย
พอครบ 3 เดือน หมอก็จะเขียนใบส่งตัวให้เราไปยื่นกับ รพ ใกล้บ้าน เพื่อฝากครรภ์
ซึ่งฝากครรภ์ที่นี่ ส่วนมากก็จะฝากกับ รพ รัฐ เพราะฟรีทุกอย่าง รวมถึงค่าห้อง
เพียงแต่ว่าเราเลือกหมอไม่ได้ แล้วก็เลือกห้องพักไม่ได้ เท่านั้นเอง
น้อยคนที่จะฝากกับ รพ เอกชน เพราะเราต้องซื้อประกันสุขภาพเพิ่ม Medicare ไม่ครอบคลุม จริงๆ รพ รัฐที่นี่ก็ดีมากกก
รพ สะอาด บริการดี คล้ายกับเอกชนบ้านเราเลย
และการคลอดลูกที่นี่ก็ไม่สามารถเลือกได้ด้วยว่าจะผ่า หรือคลอดเอง
รพ รัฐ ที่เราไปฝากครรภ์
เราจะไปคลอดก็ต่อเมื่อมีสัญญาณของการจะคลอดแล้ว เช่น น้ำเดิน มีมูกเลือด หรือเจ็บท้องถี่ๆ
ซึ่งเค้าก็จะพิจารณาดูอีกที ณ วันนั้นว่า เราสามารถคลอดเองได้มั้ย ถ้าไม่ใช่เคสฉุกเฉินเช่น รกพันคอ เด็กไม่กลับหัว ฯลฯ เค้าก็จะไม่ผ่าให้
การฝากครรภ์ที่ รพ เราจะต้องเตรียมผลการตรวจเลือด ตรวจอัลตราซาว ในช่วงที่เราไปหา GP ให้เรียบร้อยแนบพร้อมกับใบส่งตัว แล้วก็ส่งให้ทาง รพ
หลังจากนั้น รพ ก็จะนัดเราเข้าไปทำ ultrasound รอบสุดท้าย เรียกว่า Anomaly scan ในช่วงตั้งครรภ์ 20 สัปดาห์ เพื่อวิเคราะห์ดูการเจริญเติบโตของเด็ก
ในครรภ์ อันนี้เค้าก็จะวัดหมดเลย ศรีษะ เส้นเลือด หัวใจ ตับ ไต มือ เท้า เพื่อดูว่าเด็กสมบูรณ์มั้ย
จากนั้นก็จะเป็นการนัดไปเจอ พยาบาลผดุงครรภ์ หรือเรียกว่า Midwife
แทรกนิดนึง การ ultrasound กับหมอที่นี่จะมีแค่ 3 ครั้ง ใครอยากเหนหน้าตัวเล็กมากกว่านี้ต้องไปเสียเงินซาวข้างนอกเอาเอง
มีพวก ร้าน Studio เสียเงินให้ไปซาว 3มิติ 4 มิติ โดยไม่ต้องมีใบส่งตัวจากหมอ ได้รูปครบ ได้ฟังเสียงหัวใจ เราก็ไปซาว 4 มิติมาตอน 30 สัปดาห์
อดใจไม่ไหว อยากเห็นว่าตัวเล็กพัฒนาการไปถึงไหนแล้ว
ที่นี่ถ้าเราปกติดี เราจะไม่ได้เจอหมอสูตินะ ทุกครั้งที่ไป รพ ก็คือจะไปเจอ Midwife อย่างเดียว เค้าก็จะถามเราว่าอาการช่วงนี้เป็นยังไง
มีอะไรผิดปกติมั้ย แล้วก็จะคอยให้คำแนะนำ ในแต่ละช่วงก็การตั้งครรภ์ว่าเราจะอาการยังไงในช่วงไตรมาสนี้ ดูแลตัวเองยังไง
ทุกครั้งก็จะมีเช็คความดัน ชั่งน้ำหนัก ฟังเสียงหัวใจลูก วัดขนาดมดลูก (วัดจากหน้าท้องเรา จากยอดมดลูกถึงกระดูกหัวหน่าว)
ระหว่างตั้งครรภ์ ถ้ามีอาการผิดปกติ เช่น เลือดออก ก็โทรไปถามที่แผนกได้ตลอด 24 ชม
นี่เราก็ไปหา midwife เรื่อยๆ ตามนัดจนตอนนี้อายุครรภ์ได้ 34 สัปดาห์ละ ทุกอย่างปกติดี
ตอนนี้ก็นับวันรอเจอหน้าตัวแสบในท้อง เดี๋ยวจะมาอัพเดทเรื่อยๆนะคะ
จริงๆ มีเรื่องอื่นอยากจะแชร์อีก เช่น อาหารการกินของที่นี่ อุปกรณ์ เสื้อผ้า เด็กเล็ก
วันนี้ขอมาอัพเดทเรื่องของใช้เด็กต่อนะคะ
ที่นี่จะมีกรุ๊ปในเฟสบุ๊ค สำหรับคนที่อยากส่งต่อของใช้มือสองสำหรับเด็ก เช่น ที่นอน Capsule, Carseat, เสื้อผ้า, รถเข็น
ซึ่งเราว่าบางอย่างเราสามารถใช้ของมือถือสองได้ เลือกดูสภาพที่โอเค ราคานี่ถูกกว่าไปซื้อใหม่เยอะมากก
อย่างเช่น เตียงนอนเด็ก ราคามือหนึ่งคือ $500 กว่า ประมาณ 10,000 บาท อัพ แต่เราได้มาในราคา $50 (1,000 นิดๆ) ซึ่งสภาพโอเคมาก
เพราะคนที่ขายเค้าทาสีให้ใหม่
แล้วก็ได้ Capsule สำหรับเด็กแรกเกิด สำหรับ Capsule คืออะไร แล้วต่างกับ Carseat ยังไง
Capsule จะคล้ายๆ Carseat แต่จะเหมาะสำหรับเด็กแรกเกิด จนถึงประมาณ 6 เดือน ติดตั้งในรถเหมือน Carseat แต่จะถอดออกจากตัวฐานได้คล้ายๆ ตะกร้า
หิ้วไปหิ้วมาได้ ซึ่งมันจะสะดวกกับเด็กแรกเกิดมากกว่า แล้วบางรุ่นก็สามารถใช้กับรถเข็นลูกได้
แต่ก็แล้วแต่พ่อแม่ บางคนเห็นว่ามันใช้ได้แค่ถึง 6 เดือน ไม่คุ้ม สู้ซื้อ Carseat ไปเลยดีกว่า เพราะราคาใกล้เคียงกัน แต่ Carseat สามารถใช้ได้ถึง
อายุ 4 ขวบ อันนี้แล้วแต่ความสะดวกของพ่อแม่แต่ละคนเลย
ส่วนคาร์ซีทมันจะถอดออกจากฐานไม่ได้
หน้าตาของ Baby capsule
เราได้ Capsule มือ 2 มา สภาพดี ในราคา $50 ซึ่งราคามือ 1 คือ $200 ขึ้นไป ก็ประมาณ 6,000 ไปจนถึงหลักหมื่น
ที่นี่มีกฎหมายเคร่งครัด เด็กที่นั่งในรถจะต้องนั่งใน Carseat พ่อแม่ไม่สามารถอุ้มไว้บนตักได้เหมือนที่บ้านเรา
ส่วนเสื้อผ้า ผ้าอ้อม ครอบครัวเราส่งมาให้จากที่เมืองไทย แล้วก็มีบางส่วนที่แม่แฟนเราส่งมาให้จากอินโด
เราไม่ค่อยชินกับของใช้เด็กที่ขายที่นี่เท่าไหร่ 555
ไม่รุ้ว่าผ้าอ้อมที่นี่เค้าใช้กันแบบไหน ราคาที่ไทยก็ถูกกว่าที่นี่เยอะมาก ถึงแม้จะรวมค่าส่งมาแล้วก็ยังถูกกว่า
แชร์ประสบการณ์ ฝากท้อง คลอดลูก ที่ออสเตรเลีย
ตอนนี้ที่เราเขียนกระทู้นี้ เรายังไม่คลอดนะคะ อายุครรภ์ 34 สัปดาห์เป็นท้องแรกด้วยจ้า
จะบอกว่ากระบวนการฝากท้องที่นี่ต่างกับที่ไทยมากกกกกกก มาเริ่มกันเลย
เราก่อนอื่นเราเป็น PR (Permanant Resident) ของที่นี่ เพราะฉะนั้นสิทธิ์การรักษาอาจจะต่างกับคนที่มี วีซ่าอื่นๆ เช่น วีซ่านักเรียน วีซ่า Work and holiday
เราแต่งงานกับแฟนมาได้ 2 ปี (แฟนเราเป็นคนอินโดไม่ใช่คนออสซี่) จริงๆ แพลนของเราทั้งคู่คือจะไม่มีลูก เพราะเป็นคนชอบท่องเที่ยวแล้วเราก็ไม่ค่อยอินกับเด็กเท่าไหร่ ประกอบกันฮอร์โมนเราก็ไม่ปกติ ทำให้เราต้องกินยาคุมเพื่อให้ประจำเดือนมาสม่ำเสมอ
แต่ระหว่างที่อยู่ด้วยกันก็มีบางช่วงที่เราหยุดยาคุม แล้วแฟนก็หลั่งใน แต่ก็ไม่เคยท้องเลย
จนกระทั่งต้นปีที่ผ่านมา อยู่ดีๆ เราก็ขยันไปออกกำลังกายกับกลุ่มเพื่อน 2-3 วันต่อสัปดาห์เป็นเวลากว่า 3 เดือน
ระหว่างนี้แฟนเราไปทำงานที่สิงคโปร์ ไปๆกลับๆ จนสุดท้ายเค้าต้องกลับมาที่ออสถาวร เพราะสิงคโปร์กำลังจะปิดประเทศเนื่องจาก COVID
จุดเริ่มต้นก็เริ่มจากตรงนี้แหละค่ะ เรามีอะไรกันแค่ครั้งเดียวและเป็นช่วงที่เรากินยาคุมหมดพอดี
หลังจากนั้นเราก็ไม่ได้คิดอะไร แต่มีอาการคัดเต้านม ปวดท้องน้อย ซึ่งเราก็คิดว่าเป็นอาการของคนที่กำลังจะมีประจำเดือนปกติ
ผ่านไปเกือบเดือนประจำเดือนก็ไม่มาซักที ตอนนี้เริ่มมีอาการเพลียๆ บางวันก็มึนๆ จนแฟนแซวว่าท้องรึป่าวเนี่ย
เริ่มใจไม่ดีเลยไปซื้อที่ตรวจครรภ์มาตรวจ แล้วก็เซอร์ไพส์จ้าาา ขึ้น 2 ขีด จำได้ว่าตอนนั้นนั่งมึนอยู่ในห้องน้ำ
ร้องไห้ แต่ไม่ใช่ร้องไห้ดีใจนะ ความคิดในหัวคือ หมดกันแพลนชีวิตทั้งหมดที่มีแค่เรากับแฟน มันพังหมด แล้วต้องทำยังไงต่อ
อารมณ์เหมือนชั้นกำลังท้องในวัยเรียน ฮ่าๆๆ
วันรุ่งขึ้นเลยตัดสินใจไปตรวจกับหมอให้มั่นใจอีกที ที่นี่ใครป่วยเป็นอะไร ต้องไปหา GP (Gerneral Practice) อารมณ์คือหมอทั่วไป
ที่คลีนิกใกล้บ้านก่อนนะคะ ไม่สามารถตรงที่ไป รพ แบบบ้านเราได้เลย
สำหรับคนที่เป็น Citizen หรือ PR จะมีบัตรที่เรียกว่า Medicare Card เราจะต้องโชว์บัตรนี้ทุกครั้งที่ไปหาหมอ ส่วนค่ารักษาคือ "ฟรี" จ้า
นอกจากจะไปหาหมอที่เป็น Specialist เช่น หมอตา หมอหัวใจ หมอกระดูก ... ก็จะมีค่าใช้จ่ายนิดหน่อย
อันนี้เป็นคลีนิกใกล้บ้านที่เราไปหา GP
พอมาหาหมอ เค้าก็ให้เราไปเก็บปัสสาวะ เก็บเลือด เราจะรู้ผลคือวันถัดไปนะ ไม่เหมือนที่ไทยว่านั่งรอ 1-2 ชม รู้ผลเลย
วันต่อมากลับมาหาหมออีกรอบ ใจก็ลุ้นว่า อย่าท้องเลยยยย พอหมอเปิดผลดู Congratulations you are pregnant ฮ่าๆๆ
เรานี่ไม่รู้จะต้องยิ้มหรือทำหน้ายังไงดี ฮ่าๆ
จากนั้นก็ส่งเราไปเจาะเลือดตรวจพวกโรคต่างๆ เช่น HIV, ตับอักเสบ เราว่าอันนี้น่าจะเหมือนที่เมืองไทย แล้วก็ไปทำ Dating Scan
ก็คือการ ultrasound ดูว่ามีถุงตั้งครรภ์มั้ย มีเด็กมั้ย ท้องจริงไม่ใช่ท้องลม แล้วก็เป็นการคำนวณวันกำหนดคลอดด้วย
ที่นี่การ ultrasound จะทำโดยนักเทคนิคการแพทย์นะคะ เรียกว่า Sonographer ไม่ใช่หมอ โดยเค้าจะมีหน้าที่ Capture รูปที่ซาวได้
แล้วส่งไปให้หมอวิเคราะห์อีกที ซึ่งผลของการซาว ก็ต้องรอไปอีก 24 ชม จ้า Sonographer ไม่สามารถบอกผลเราได้ว่าเป็นยังไง
ครั้งแรกที่เห็นในจออัลตราซาวคือ อะไรบางอย่างเป็นเม็ดกลมๆ คล้ายๆ ถั่ว ผลจากการซาวก็คือเราตั้งครรภ์ได้ 5 สัปดาห์
กำหนดคลอดประมาณวันที่ 6 มค 64
จากนี้ก็คือยังไปหา GP อยู่นะคะ เค้าก็จะส่งเราไปซาวเป็นระยะ แล้วก็ให้เรากินวิตามินรวม วิตามินไปซื้อเองได้ตามร้านขายยาเค้าแค่บอกชื่อยี่ห้อมา
ระหว่างนี้ใครแพ้ท้อง เจ็บป่วยอะไร จะฉีดวัคซีน ก็คือกลับไปหา GP คนเดิม ไปเรื่อยๆ จนกว่าอายุครรภ์จะครบ 3 เดือน
ช่วงระหว่าง 3 เดือน หมอก็จะแนะนำให้ตรวจดาวน์ซินโดรม เป็น option เสริมนะ จะตรวจก็ได้ไม่ตรวจก็ได้ แต่ถ้ามีกำลังทรัพย์จ่ายไหว เราแนะนำให้ตรวจนะ
ที่เมืองไทยก็มีเหมือนกัน
โดยมี 2 แบบ คือการทำ
1. Ultrasould เรียกว่า Nuchal Translucency อันนี้จะตรวจเฉพาะดาวน์ซินโดรม
2. Hamony test ก็คือการเจาะเลือดแม่ ไปตรวจหาโครโมโซมที่ผิดปกติที่ไม่ใช่เฉพาะแต่ดาวน์ซินโดรม
สามารถตรวจโครโมโซมคู่อื่นได้อีกเช่น โรคเอ็ดเวิร์ด ซินโดรม เราจำไม่ค่อยได้แล้วว่ามีอะไรอีก แล้วก็สามารถตรวจเพศลูกได้ด้วยซึ่งแม่นยำ
กว่าการทำ ultrasound
สองอันนี้เราต้องเสียค่าตรวจเอง อันแรกเราเสียไปประมาณ $130 AUD ประมาณ 2,600 กว่าบาท ส่วน Hamony test เสียไปประมาณ $700 ก็ประมาณ 14,000 บาท
ผลก็คือปกติดีจ้า แล้วก็รู้เพศน้องด้วย
พอครบ 3 เดือน หมอก็จะเขียนใบส่งตัวให้เราไปยื่นกับ รพ ใกล้บ้าน เพื่อฝากครรภ์
ซึ่งฝากครรภ์ที่นี่ ส่วนมากก็จะฝากกับ รพ รัฐ เพราะฟรีทุกอย่าง รวมถึงค่าห้อง
เพียงแต่ว่าเราเลือกหมอไม่ได้ แล้วก็เลือกห้องพักไม่ได้ เท่านั้นเอง
น้อยคนที่จะฝากกับ รพ เอกชน เพราะเราต้องซื้อประกันสุขภาพเพิ่ม Medicare ไม่ครอบคลุม จริงๆ รพ รัฐที่นี่ก็ดีมากกก
รพ สะอาด บริการดี คล้ายกับเอกชนบ้านเราเลย
และการคลอดลูกที่นี่ก็ไม่สามารถเลือกได้ด้วยว่าจะผ่า หรือคลอดเอง
รพ รัฐ ที่เราไปฝากครรภ์
เราจะไปคลอดก็ต่อเมื่อมีสัญญาณของการจะคลอดแล้ว เช่น น้ำเดิน มีมูกเลือด หรือเจ็บท้องถี่ๆ
ซึ่งเค้าก็จะพิจารณาดูอีกที ณ วันนั้นว่า เราสามารถคลอดเองได้มั้ย ถ้าไม่ใช่เคสฉุกเฉินเช่น รกพันคอ เด็กไม่กลับหัว ฯลฯ เค้าก็จะไม่ผ่าให้
การฝากครรภ์ที่ รพ เราจะต้องเตรียมผลการตรวจเลือด ตรวจอัลตราซาว ในช่วงที่เราไปหา GP ให้เรียบร้อยแนบพร้อมกับใบส่งตัว แล้วก็ส่งให้ทาง รพ
หลังจากนั้น รพ ก็จะนัดเราเข้าไปทำ ultrasound รอบสุดท้าย เรียกว่า Anomaly scan ในช่วงตั้งครรภ์ 20 สัปดาห์ เพื่อวิเคราะห์ดูการเจริญเติบโตของเด็ก
ในครรภ์ อันนี้เค้าก็จะวัดหมดเลย ศรีษะ เส้นเลือด หัวใจ ตับ ไต มือ เท้า เพื่อดูว่าเด็กสมบูรณ์มั้ย
จากนั้นก็จะเป็นการนัดไปเจอ พยาบาลผดุงครรภ์ หรือเรียกว่า Midwife
แทรกนิดนึง การ ultrasound กับหมอที่นี่จะมีแค่ 3 ครั้ง ใครอยากเหนหน้าตัวเล็กมากกว่านี้ต้องไปเสียเงินซาวข้างนอกเอาเอง
มีพวก ร้าน Studio เสียเงินให้ไปซาว 3มิติ 4 มิติ โดยไม่ต้องมีใบส่งตัวจากหมอ ได้รูปครบ ได้ฟังเสียงหัวใจ เราก็ไปซาว 4 มิติมาตอน 30 สัปดาห์
อดใจไม่ไหว อยากเห็นว่าตัวเล็กพัฒนาการไปถึงไหนแล้ว
ที่นี่ถ้าเราปกติดี เราจะไม่ได้เจอหมอสูตินะ ทุกครั้งที่ไป รพ ก็คือจะไปเจอ Midwife อย่างเดียว เค้าก็จะถามเราว่าอาการช่วงนี้เป็นยังไง
มีอะไรผิดปกติมั้ย แล้วก็จะคอยให้คำแนะนำ ในแต่ละช่วงก็การตั้งครรภ์ว่าเราจะอาการยังไงในช่วงไตรมาสนี้ ดูแลตัวเองยังไง
ทุกครั้งก็จะมีเช็คความดัน ชั่งน้ำหนัก ฟังเสียงหัวใจลูก วัดขนาดมดลูก (วัดจากหน้าท้องเรา จากยอดมดลูกถึงกระดูกหัวหน่าว)
ระหว่างตั้งครรภ์ ถ้ามีอาการผิดปกติ เช่น เลือดออก ก็โทรไปถามที่แผนกได้ตลอด 24 ชม
นี่เราก็ไปหา midwife เรื่อยๆ ตามนัดจนตอนนี้อายุครรภ์ได้ 34 สัปดาห์ละ ทุกอย่างปกติดี
ตอนนี้ก็นับวันรอเจอหน้าตัวแสบในท้อง เดี๋ยวจะมาอัพเดทเรื่อยๆนะคะ
จริงๆ มีเรื่องอื่นอยากจะแชร์อีก เช่น อาหารการกินของที่นี่ อุปกรณ์ เสื้อผ้า เด็กเล็ก
วันนี้ขอมาอัพเดทเรื่องของใช้เด็กต่อนะคะ
ที่นี่จะมีกรุ๊ปในเฟสบุ๊ค สำหรับคนที่อยากส่งต่อของใช้มือสองสำหรับเด็ก เช่น ที่นอน Capsule, Carseat, เสื้อผ้า, รถเข็น
ซึ่งเราว่าบางอย่างเราสามารถใช้ของมือถือสองได้ เลือกดูสภาพที่โอเค ราคานี่ถูกกว่าไปซื้อใหม่เยอะมากก
อย่างเช่น เตียงนอนเด็ก ราคามือหนึ่งคือ $500 กว่า ประมาณ 10,000 บาท อัพ แต่เราได้มาในราคา $50 (1,000 นิดๆ) ซึ่งสภาพโอเคมาก
เพราะคนที่ขายเค้าทาสีให้ใหม่
แล้วก็ได้ Capsule สำหรับเด็กแรกเกิด สำหรับ Capsule คืออะไร แล้วต่างกับ Carseat ยังไง
Capsule จะคล้ายๆ Carseat แต่จะเหมาะสำหรับเด็กแรกเกิด จนถึงประมาณ 6 เดือน ติดตั้งในรถเหมือน Carseat แต่จะถอดออกจากตัวฐานได้คล้ายๆ ตะกร้า
หิ้วไปหิ้วมาได้ ซึ่งมันจะสะดวกกับเด็กแรกเกิดมากกว่า แล้วบางรุ่นก็สามารถใช้กับรถเข็นลูกได้
แต่ก็แล้วแต่พ่อแม่ บางคนเห็นว่ามันใช้ได้แค่ถึง 6 เดือน ไม่คุ้ม สู้ซื้อ Carseat ไปเลยดีกว่า เพราะราคาใกล้เคียงกัน แต่ Carseat สามารถใช้ได้ถึง
อายุ 4 ขวบ อันนี้แล้วแต่ความสะดวกของพ่อแม่แต่ละคนเลย
ส่วนคาร์ซีทมันจะถอดออกจากฐานไม่ได้
หน้าตาของ Baby capsule
เราได้ Capsule มือ 2 มา สภาพดี ในราคา $50 ซึ่งราคามือ 1 คือ $200 ขึ้นไป ก็ประมาณ 6,000 ไปจนถึงหลักหมื่น
ที่นี่มีกฎหมายเคร่งครัด เด็กที่นั่งในรถจะต้องนั่งใน Carseat พ่อแม่ไม่สามารถอุ้มไว้บนตักได้เหมือนที่บ้านเรา
ส่วนเสื้อผ้า ผ้าอ้อม ครอบครัวเราส่งมาให้จากที่เมืองไทย แล้วก็มีบางส่วนที่แม่แฟนเราส่งมาให้จากอินโด
เราไม่ค่อยชินกับของใช้เด็กที่ขายที่นี่เท่าไหร่ 555
ไม่รุ้ว่าผ้าอ้อมที่นี่เค้าใช้กันแบบไหน ราคาที่ไทยก็ถูกกว่าที่นี่เยอะมาก ถึงแม้จะรวมค่าส่งมาแล้วก็ยังถูกกว่า