ย้อนกลับไปเมื่อ Nob Hill เมืองจุดหมายปลายทางอันหรูหราของซานฟรานซิสโก เป็นเพียงอีกย่านหนึ่งในเมืองที่เพิ่งก่อตั้งใหม่ เด็กหนุ่มชาวเยอรมันที่อพยพมาชื่อ Nicholas Yung เขาทำงานอย่างหนักเพื่อหาเลี้ยงครอบครัว ในที่สุดก็ประสบความสำเร็จในฐานะผู้จัดการศพในซานฟรานซิสโก ธุรกิจดังกล่าวทำให้เขาและภรรยา Rosina สามารถซื้อที่ดินผืนหนึ่งที่ด้านบนของ California Hill
Yung ได้สร้างบ้านสามชั้นที่เรียบง่ายที่ด้านบนของเนินเขาแคลิฟอร์เนียฮิลล์ (California Hill) ห่างจากความวุ่นวายของเมืองที่กำลังขยายตัว ซึ่งเต็มไปด้วยนักขุดแร่ทองคำ การปลูกบ้านอยู่บนเนินเขาที่สูงชันของCalifornia Hill ที่ห่างไกลจากเมืองใหญ่ พร้อมทิวทัศน์ที่สวยงามของอ่าวทางทิศตะวันออกและ Golden Gate ทางทิศเหนือ ทำให้สัปเหร่อและ Rosina ภรรยาของเขามีชีวิตที่เงียบสงบทิศ โดยบ้านสไตล์กระท่อมน่ารักและสวนที่สวยงามของพวกเขาได้รับแสงแดดและอากาศที่บริสุทธิ์จากอ่าว
ความเงียบสงบของ Yung ต้องหยุดชะงักลงในปี 1878 จากการมาถึงของ California Street Cable Railroad ที่ก่อตั้งโดย Leland Stanford ประธานของ Central Pacific Railroad และเป็นผู้ก่อตั้ง Stanford University ในปัจจุบัน ในไม่ช้า Stanford และพรรคพวกของเขา Collis Potter Huntington, Mark Hopkins, และ Charles Crocker ซึ่งเป็น “Big Four” ในวงการทางรถไฟแปซิฟิกตอนกลาง ได้เริ่มซื้อที่ดินทั้งในเมืองและรอบ ๆ California Hill เพื่อร่วมกันสร้างคฤหาสน์และบ้านหรูหราที่ยิ่งใหญ่
และในเวลาสั้นๆ California Hill ก็กลายเป็นพื้นที่อสังหาริมทรัพย์สุดพิเศษและและเป็นที่ตั้งของย่าน มหาเศรษฐี (nawabsหรือ nabobs ) ในยุคแรก ๆ ซึ่งทำให้เนินเขาบริเวณนี้มีชื่อในปัจจุบันว่า “Nob Hill” Charles Crocker เจ้าสัวทางรถไฟต้องการบล็อกเมืองทั้งหมดสำหรับคฤหาสน์ของเขา ซึ่งมีอาณาเขตติดกับถนน California, Jones, Taylor และ Sacramento streets ซึ่งเขาประสบความสำเร็จในการซื้อเกือบทั้งหมดในบล็อก ยกเว้นที่ดินเล็ก ๆ ที่มุมตะวันออกเฉียงใต้หนึ่งผืนที่เป็นของ Nicholas Yung
Yung ไม่เคยคิดว่าชายที่ร่ำรวย Charles Crocker ซึ่งในที่สุดก็จะกลายเป็นทั้งเพื่อนบ้านและความหายนะของการดำรงอยู่ของเขา ด้วยไม้ที่มากพอที่จะสร้างรั้วที่สูง 40 ฟุตและทำลายรอบ ๆบริเวณบ้านของเขา ที่ดินของ Yung ทำให้ Crocker และรั้วแห่งความอาฆาตแค้นของเขากลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวในตำนานเรื่องเล่าแห่งการแก้แค้น และบทเรียนเกี่ยวกับอันตรายจากอารมณ์ที่ทวีความรุนแรงขึ้น
Charles Crocker / Cr. Wikimedia Commons
Yung มีความสุขสบายใจที่พอเพียงถึงแม้จะไม่ได้ร่ำรวย แต่เขาก็ไม่เห็นเหตุผลว่าทำไมเขาควรแลกเปลี่ยนที่อยู่อาศัยของเขาเพื่อทรัพย์สินอื่น เพียงเพราะคนบางคนที่ต้องการสร้างบ้านใหญ่โตเพื่อโอ้อวด ในขณะที่งานก่อสร้างคฤหาสน์ของ Crocker ดำเนินไป เขาก็พยายามขอซื้อที่ของ Yung ซึ่งก็โดนปฏิเสธทุกครั้ง แต่ Crocker ได้ยื่นข้อเสนอครั้งสุดท้ายในราคา 6,000 ดอลลาร์สำหรับที่ทั้งผืน แต่ Yung บอกว่าต้องเป็นเงิน 12,000 ดอลลาร์ซึ่ง Crocker ปฏิเสธ
ในสายตาของ Yung มันเป็นราคาที่ยุติธรรมที่เขาควรจะได้ เมื่อเห็นว่าเพื่อนบ้านคนหนึ่งของเขาเพิ่งขายที่ของเขาในราคา 25,000 ดอลลาร์ให้ Crocker และเห็นว่า Crocker ร่ำรวยพอที่จะจ่ายได้ เมื่อ Crocker หมดหวังที่จะรื้อบ้านของ Yung เขาจึงตัดสินใจที่จะกลั่นแกล้ง Yung
Crocker สั่งให้คนงานของเขาสร้างรั้วไม้สามด้านรอบบ้านของYung รั้วสูงขึ้นไปบนท้องฟ้า 40 ฟุต และบดบังบ้านของผู้อพยพชาวเยอรมันอย่างสมบูรณ์ทำให้บ้านของ Yung ไม่ได้รับแสงตะวันและอากาศดีๆ ครอบครัวของ Yung รู้สึกเหมือนว่าพวกเขาอาศัยอยู่ที่ก้นบ่อในความมืด ต้นไม้ในสวนของพวกเขาเหี่ยวเฉาและต้องใช้เทียนแม้ในเวลากลางวัน
Yung ขู่ว่าจะสร้างโลงศพขนาดยักษ์บนหลังคาของเขาเหนือความสูงของรั้ว ซึ่งประดับไว้ด้านข้างหันไปทางเพื่อนบ้านที่เป็นชนชั้นสูงของเขา ที่ตกแต่งด้วยกะโหลกศีรษะและกระดูกไขว้กัน เพื่อใช้เป็นโฆษณาเกี่ยวกับธุรกิจของเขา แต่วัตถุประสงค์ใหญ่ก็เพื่อเตือนให้ Crocker ระลึกถึงความตายของตัวเอง
มุมมืดที่สร้างขึ้นโดยรั้วแห่งความชั่วร้าย (spite fence)Cr.The Strand
ต่อมา สื่อได้หยิบยกเรื่องราวของความบาดหมางนี้มาทำข่าว และในไม่ช้ารั้วที่ชั่วร้ายนี้ก็กลายเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมของเมือง ผู้คนเริ่มขึ้น รถ California Street cable car มาที่นี่เพียงเพื่อมองไปที่รั้วที่โผล่ขึ้นมาเหนือบ้านที่เรียบง่ายของYung รั้วที่ Crocker ต้องจ่ายในราคา 3,000 เหรียญ
สูงมากจนต้องค้ำยันด้วยไม้ขนาดใหญ่
ความบาดหมางได้กลายเป็นเรื่องทางการเมือง เมื่อนักการเมืองท้องถิ่นชื่อ Denis Kearney จากพรรคแรงงาน pro-labor Workingmen's Party แห่งแคลิฟอร์เนีย จัดมวลชนจำนวนมากมาชุมนุมที่ Nob Hill เพื่อต่อต้านกลุ่มผู้มีอิทธิพลทางรถไฟ โดยประณามค่าแรงที่ต่ำและการจ้างแรงงานชาวจีนแทนชาวอเมริกันผิวขาว
ความโกรธของพวกเขาไม่เพียงพุ่งไปที่ Charles Crocker แต่ยังรวมถึงรั้วแห่งความอาฆาตแค้นของเขาด้วย ซึ่งผู้สนับสนุนของเขามองว่าเป็นสัญลักษณ์ของความตะกละในระบบทุนนิยม Kearney บอกกับฝูงชนที่มารวมตัวกันว่าถ้า Crocker ไม่เอารั้วออกไป พรรคแรงงานของเขาจะทำลายมันลงเอง
หลังจากกล่าวคำปราศรัยนี้ไม่นาน Kearney ก็ถูกจับในข้อหาพยายามปลุกปั่นความรุนแรง ซึ่ง Yung เองก็หวังอยู่ลึกๆในการกระทำของศาลเตี้ยนี้แต่มันก็ไม่เกิดขึ้น
ท้ายที่สุด Yung ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากย้ายที่อยู่อาศัยไปที่ Broderick Street แต่เขาปฏิเสธที่จะขายที่แม้จะเป็นที่ว่างแล้ว หลังจากครอบครัว Yungs ย้ายออกไป Crocker ก็ลดความสูงของรั้วลงเหลือยี่สิบห้าฟุต ส่วนหนึ่งเป็นเพราะกลัวแรงขู่ที่จะถอนรากถอนโคนรั้วที่สูงตระหง่านของเขา และต่อให้ Crocker ไม่ได้ลดความสูงของรั้วลง ลมจากอ่าวก็จะทำลายมันอย่างแน่นอน ซึ่ง Crocker คิดว่านั่นจะทำลายความภาคภูมิใจของเขา
Nicholas Yung ถึงแก่กรรมในปี 1880 Rosina ภรรยาของเขายังคงปกป้องการตัดสินใจของสามีผู้ล่วงลับของเธอ และปกป้องทรัพย์สินไว้จนกว่า Crocker จะถึงแก่กรรมในปี 1888 จนในปี1895 หญิงม่ายของ Yung ได้ยื่นอุทธรณ์ต่อคณะกรรมการผู้บังคับบัญชาให้รื้อรั้วออกโดยอ้างว่ารั้วดังกล่าวสร้างความรำคาญและทำให้ทรัพย์สินของเธอไร้ค่า ซึ่งคณะกรรมการก็เห็นอกเห็นใจเธอ แต่ทนายความของเมืองกล่าวว่าคณะกรรมการไม่มีอำนาจที่จะบังคับให้ครอบครัว Crocker รื้อรั้ว
หนึ่งศตวรรษของการแข่งขันและความเกลียดชังสิ้นสุดลงในปี 1902 เมื่อ Rosina เสียชีวิตและลูกสาวทั้งสี่ของเธอตกลงที่จะขายทรัพย์สินของตนให้กับลูกหลานของ Crocker โดยรั้วถูกทำลายลงในปี 1905 และในปีต่อมาเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ในซานฟรานซิสโก ทำให้คฤหาสน์โอ่อ่าของ Crocker พังลง ต่อมาครอบครัว Crockers ได้บริจาคบริเวณทั้งหมดให้กับสังฆมณฑลแห่งแคลิฟอร์เนียของ เอพิสโกพัล (Episcopal Diocese of California)
ซึ่งกลายเป็นมหาวิหาร the Grace Cathedral ที่ใหญ่ที่สุดของซานฟรานซิสโกในปัจจุบัน
เป็นที่น่าแปลก ที่สถานที่ที่ Crocker เคยสร้างให้เป็นสิ่งสำหรับความอาฆาตพยาบาท และสิ่งแห่งความอาฆาตพยาบาทนี้ได้กลายเป็นบ้านสำหรับความเมตตาและความอบอุ่นในเวลาต่อมา
ที่อยู่อาศัยของ Charles Crocker ที่ Nob Hill ซานฟรานซิสโก
ที่อยู่อาศัยของ Charles Crocker ถูกทำลายโดยแผ่นดินไหวที่ซานฟรานซิสโกเมื่อปี 1905
California Street with cable car
วิหาร Grace Cathedralใน Nob Hill, San Francisco,California
Spite house
Skinny House ในบอสตัน, แมสซาชูเซต ถูกสร้างขึ้นอย่างโด่งดังจากชายคนหนึ่งที่ได้รับที่ดินผืนเล็ก ๆ
โดยเพื่อนบ้านของเขาปิดกั้นการมองเห็นของบ้านเขา
spite wall
กำแพงแห่งความชั่วร้ายใน Lancashire ประเทศอังกฤษ สร้างขึ้นในปี 1880
โดยเจ้าของที่ดินทางด้านซ้ายเพื่อตอบสนองต่อการก่อสร้างบ้านทางด้านขวาที่ไม่ต้องการ
ที่มา
- James Sederberg, Crocker's Spite Fence, Found SF
- David S. Costello, Railroad Baron Charles Crocker’s 40-ft Nob Hill “spite Fence”: A Feud Lasting 26 Years, SF Examiner
- Dan Brekke, Boomtown Memories: The Nob Hill Fence That Spite Built, KQED
- Famous Spite Fence Has Outlived Its Purpose, San Francisco Chronicle
(ขอขอบคุณที่มาของข้อมูลทั้งหมดและขออนุญาตนำมา)
Spite Fence รั้วแห่งความอาฆาตของ Charles Crocker
และในเวลาสั้นๆ California Hill ก็กลายเป็นพื้นที่อสังหาริมทรัพย์สุดพิเศษและและเป็นที่ตั้งของย่าน มหาเศรษฐี (nawabsหรือ nabobs ) ในยุคแรก ๆ ซึ่งทำให้เนินเขาบริเวณนี้มีชื่อในปัจจุบันว่า “Nob Hill” Charles Crocker เจ้าสัวทางรถไฟต้องการบล็อกเมืองทั้งหมดสำหรับคฤหาสน์ของเขา ซึ่งมีอาณาเขตติดกับถนน California, Jones, Taylor และ Sacramento streets ซึ่งเขาประสบความสำเร็จในการซื้อเกือบทั้งหมดในบล็อก ยกเว้นที่ดินเล็ก ๆ ที่มุมตะวันออกเฉียงใต้หนึ่งผืนที่เป็นของ Nicholas Yung
Yung ไม่เคยคิดว่าชายที่ร่ำรวย Charles Crocker ซึ่งในที่สุดก็จะกลายเป็นทั้งเพื่อนบ้านและความหายนะของการดำรงอยู่ของเขา ด้วยไม้ที่มากพอที่จะสร้างรั้วที่สูง 40 ฟุตและทำลายรอบ ๆบริเวณบ้านของเขา ที่ดินของ Yung ทำให้ Crocker และรั้วแห่งความอาฆาตแค้นของเขากลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวในตำนานเรื่องเล่าแห่งการแก้แค้น และบทเรียนเกี่ยวกับอันตรายจากอารมณ์ที่ทวีความรุนแรงขึ้น
ในสายตาของ Yung มันเป็นราคาที่ยุติธรรมที่เขาควรจะได้ เมื่อเห็นว่าเพื่อนบ้านคนหนึ่งของเขาเพิ่งขายที่ของเขาในราคา 25,000 ดอลลาร์ให้ Crocker และเห็นว่า Crocker ร่ำรวยพอที่จะจ่ายได้ เมื่อ Crocker หมดหวังที่จะรื้อบ้านของ Yung เขาจึงตัดสินใจที่จะกลั่นแกล้ง Yung
Crocker สั่งให้คนงานของเขาสร้างรั้วไม้สามด้านรอบบ้านของYung รั้วสูงขึ้นไปบนท้องฟ้า 40 ฟุต และบดบังบ้านของผู้อพยพชาวเยอรมันอย่างสมบูรณ์ทำให้บ้านของ Yung ไม่ได้รับแสงตะวันและอากาศดีๆ ครอบครัวของ Yung รู้สึกเหมือนว่าพวกเขาอาศัยอยู่ที่ก้นบ่อในความมืด ต้นไม้ในสวนของพวกเขาเหี่ยวเฉาและต้องใช้เทียนแม้ในเวลากลางวัน
Yung ขู่ว่าจะสร้างโลงศพขนาดยักษ์บนหลังคาของเขาเหนือความสูงของรั้ว ซึ่งประดับไว้ด้านข้างหันไปทางเพื่อนบ้านที่เป็นชนชั้นสูงของเขา ที่ตกแต่งด้วยกะโหลกศีรษะและกระดูกไขว้กัน เพื่อใช้เป็นโฆษณาเกี่ยวกับธุรกิจของเขา แต่วัตถุประสงค์ใหญ่ก็เพื่อเตือนให้ Crocker ระลึกถึงความตายของตัวเอง
สูงมากจนต้องค้ำยันด้วยไม้ขนาดใหญ่
ความบาดหมางได้กลายเป็นเรื่องทางการเมือง เมื่อนักการเมืองท้องถิ่นชื่อ Denis Kearney จากพรรคแรงงาน pro-labor Workingmen's Party แห่งแคลิฟอร์เนีย จัดมวลชนจำนวนมากมาชุมนุมที่ Nob Hill เพื่อต่อต้านกลุ่มผู้มีอิทธิพลทางรถไฟ โดยประณามค่าแรงที่ต่ำและการจ้างแรงงานชาวจีนแทนชาวอเมริกันผิวขาว
ความโกรธของพวกเขาไม่เพียงพุ่งไปที่ Charles Crocker แต่ยังรวมถึงรั้วแห่งความอาฆาตแค้นของเขาด้วย ซึ่งผู้สนับสนุนของเขามองว่าเป็นสัญลักษณ์ของความตะกละในระบบทุนนิยม Kearney บอกกับฝูงชนที่มารวมตัวกันว่าถ้า Crocker ไม่เอารั้วออกไป พรรคแรงงานของเขาจะทำลายมันลงเอง
หลังจากกล่าวคำปราศรัยนี้ไม่นาน Kearney ก็ถูกจับในข้อหาพยายามปลุกปั่นความรุนแรง ซึ่ง Yung เองก็หวังอยู่ลึกๆในการกระทำของศาลเตี้ยนี้แต่มันก็ไม่เกิดขึ้น
ท้ายที่สุด Yung ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากย้ายที่อยู่อาศัยไปที่ Broderick Street แต่เขาปฏิเสธที่จะขายที่แม้จะเป็นที่ว่างแล้ว หลังจากครอบครัว Yungs ย้ายออกไป Crocker ก็ลดความสูงของรั้วลงเหลือยี่สิบห้าฟุต ส่วนหนึ่งเป็นเพราะกลัวแรงขู่ที่จะถอนรากถอนโคนรั้วที่สูงตระหง่านของเขา และต่อให้ Crocker ไม่ได้ลดความสูงของรั้วลง ลมจากอ่าวก็จะทำลายมันอย่างแน่นอน ซึ่ง Crocker คิดว่านั่นจะทำลายความภาคภูมิใจของเขา
Nicholas Yung ถึงแก่กรรมในปี 1880 Rosina ภรรยาของเขายังคงปกป้องการตัดสินใจของสามีผู้ล่วงลับของเธอ และปกป้องทรัพย์สินไว้จนกว่า Crocker จะถึงแก่กรรมในปี 1888 จนในปี1895 หญิงม่ายของ Yung ได้ยื่นอุทธรณ์ต่อคณะกรรมการผู้บังคับบัญชาให้รื้อรั้วออกโดยอ้างว่ารั้วดังกล่าวสร้างความรำคาญและทำให้ทรัพย์สินของเธอไร้ค่า ซึ่งคณะกรรมการก็เห็นอกเห็นใจเธอ แต่ทนายความของเมืองกล่าวว่าคณะกรรมการไม่มีอำนาจที่จะบังคับให้ครอบครัว Crocker รื้อรั้ว
หนึ่งศตวรรษของการแข่งขันและความเกลียดชังสิ้นสุดลงในปี 1902 เมื่อ Rosina เสียชีวิตและลูกสาวทั้งสี่ของเธอตกลงที่จะขายทรัพย์สินของตนให้กับลูกหลานของ Crocker โดยรั้วถูกทำลายลงในปี 1905 และในปีต่อมาเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ในซานฟรานซิสโก ทำให้คฤหาสน์โอ่อ่าของ Crocker พังลง ต่อมาครอบครัว Crockers ได้บริจาคบริเวณทั้งหมดให้กับสังฆมณฑลแห่งแคลิฟอร์เนียของ เอพิสโกพัล (Episcopal Diocese of California)
ซึ่งกลายเป็นมหาวิหาร the Grace Cathedral ที่ใหญ่ที่สุดของซานฟรานซิสโกในปัจจุบัน
เป็นที่น่าแปลก ที่สถานที่ที่ Crocker เคยสร้างให้เป็นสิ่งสำหรับความอาฆาตพยาบาท และสิ่งแห่งความอาฆาตพยาบาทนี้ได้กลายเป็นบ้านสำหรับความเมตตาและความอบอุ่นในเวลาต่อมา
- James Sederberg, Crocker's Spite Fence, Found SF
- David S. Costello, Railroad Baron Charles Crocker’s 40-ft Nob Hill “spite Fence”: A Feud Lasting 26 Years, SF Examiner
- Dan Brekke, Boomtown Memories: The Nob Hill Fence That Spite Built, KQED
- Famous Spite Fence Has Outlived Its Purpose, San Francisco Chronicle