(ภาพการพรรณนาถึงความรู้สึกของกลิ่นที่ไม่ระบุชื่อประมาณปี 1680 (Rijksmuseum Amsterdam))
ภาพวาดเลืองชื่ออย่าง "โมนา ลิซา" และภาพของเลโอนาร์โด ดาวินชี ต่างก็สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวหลายล้านคนทั่วโลกให้ไปเยือนพิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ในกรุงปารีส จะเป็นอย่างไรหากนอกจากได้ชมภาพแล้วยังสามารถ "ได้กลิ่น" ฉากหลังของภาพจากต้นศตวรรษที่ 16 ของอิตาลีได้ด้วย
โดยทีมผู้เชี่ยวชาญในยุโรปที่จะใช้เวลาสามปีต่อจากปี 2020นี้ พยายามค้นหาและสร้าง "กลิ่นที่สำคัญที่สุดในทวีป" ตั้งแต่ศตวรรษที่ 16 ถึงต้นศตวรรษที่ 20 ขึ้นมาใหม่ ซึ่งได้ตั้งเป็นหนึ่งในเป้าหมายที่จะให้นักท่องเที่ยวไปเที่ยวพิพิธภัณฑ์อย่างสนุกสนานมากขึ้น โดยเรียกโครงการนี้ว่า "โครงการโอเดอร์ยูโรปา" (Odeuropa) และเป็นโครงการแรกของยุโรปที่ใช้ปัญญาประดิษฐ์เพื่อแก้ปัญหาประวัติศาสตร์ทางวัฒนธรรมของกลิ่น เพื่อจัดทำแคตตาล็อกกลิ่นประวัติศาสตร์ของยุโรป
โครงการโอเดอร์ยูโรปา (Odeuropa) ได้รับเงินสนับสนุนจากสหภาพยุโรปราว 3.3 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยมีผู้เชี่ยวชาญรวมตัวกันประมาณ 20 คน ทั้งนักประวัติศาสตร์ ผู้ผลิตน้ำหอม นักเคมี และนักคอมพิวเตอร์ ที่พยายามจะสร้างสารานุกรมแห่งมรดกด้านกลิ่น (Encyclopaedia of Smell Heritage) เพื่อค้นหาว่ากลิ่นได้หล่อหลอมชุมชนและประเพณีอย่างไร โดยจะใช้เทคโนโลยีช่วยสร้างกลิ่นต่าง ๆ ที่ปัจจุบันอาจปรากฏอยู่ในรูปของคำบรรยายในวรรณกรรมให้เป็นจริงขึ้นมา
ผู้เชี่ยวชาญอยากจะสร้างกลิ่นเมืองในอังกฤษในยุคปฏิวัติอุตสาหกรรมขึ้นมาใหม่ Cr.GETTY IMAGES
เป้าหมายเริ่มต้นของโครงการคือการสร้างสารานุกรมดิจิทัลของ Smell Heritage ซึ่งจะครอบคลุมคุณสมบัติทางประสาทสัมผัสและความหมายของกลิ่นสถานที่ และการปฏิบัติที่ตรวจพบรวมถึงการติดตามโครงเรื่อง ในขณะเดียวกันจะมีกลิ่นที่เลือกจะถูกเลือกสำหรับ "การสร้างใหม่" ซึ่งจะพบกลิ่นที่เกิดใหม่ที่ใช้สำหรับ "กิจกรรมเกี่ยวกับกลิ่นและการจัดแสดง" ทั่วยุโรป
Inger Leemens นักประวัติศาสตร์ด้านวัฒนธรรมชาวเนเธอร์แลนด์ของ Vrije Universiteit Amsterdam หัวหน้าโครงการนี้ บอกกับบีบีซีว่า "โครงการนี้เป็นการค้นหาข้อมูลเรื่องกลิ่นในอดีต"
"กลิ่นเป็นตัวกำหนดประสบการณ์ที่เรามีในโลกนี้ แต่เรามีข้อมูลเรื่องความรู้สึกในแง่นี้จากในอดีตน้อยมาก นอกจากนี้ กลิ่นเป็นสิ่งที่มีความเปราะบางมาก มักถูกลืมไปอย่างรวดเร็ว เราเลยต้องคิดกันว่าจะเก็บรักษามันได้อย่างไร"
โครงการนี้จะเริ่มต้นในเดือนมกราคมปีหน้า และผู้เชี่ยวชาญจะค้นคว้าเรื่องกลิ่นที่ถูกพูดถึงในหนังสือ เอกสารทางประวัติศาสตร์ งานศิลปะ และสิ่งของที่พิพิธภัณฑ์เก็บสะสมไว้ โดยจะใช้ระบบอัลกอริทึมในการวิเคราะห์การพูดถึงกลิ่นใน 7 ภาษาด้วยกัน
นักวิจัยจะใช้เอกสารทางประวัติศาสตร์ในการอ้างอิงหากลิ่นในอดีตด้วย
อย่างในเอกสารชิ้นนี้ อัมสเตอร์ดัมถูกบรรยายไว้ว่าเป็นดั่ง "สาวบริสุทธิ์ที่สวยแต่ปากเหม็น" Cr.AMSTERDAM ARCHIVE
Dr. William Tullet (วิลเลียม ทัลเล็ต) นักประวัติศาสตร์ด้านกลิ่นจากมหาวิทยาลัยแองเกลีย รัสกิน (Anglia Ruskin University / นิวซีแลนด์) ซึ่งร่วมทำงานในโครงการนี้ด้วย บอกว่า โควิด-19 ทำให้คนเราเข้าใจว่าประสาทสัมผัสด้านการได้กลิ่นสำคัญแค่ไหน ยกตัวอย่างการสูญเสียความสามารถในการรับกลิ่นที่เป็นอาการหนึ่งหลังติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่
“ เมื่อคุณเริ่มดูข้อความที่ตีพิมพ์ในยุโรปตั้งแต่ปี 1500 คุณจะพบว่ามีการอ้างอิงถึงกลิ่นมากมาย ตั้งแต่กลิ่นทางศาสนาเช่น กลิ่นธูปไปจนถึงสิ่งต่างๆเช่นยาสูบ” Dr. William Tullet หนึ่งในนักวิจัยให้สัมภาษณ์กับThe Guardian เกี่ยวกับโครงการนี้
"สิ่งนี้สามารถพาเราไปสู่กลิ่นต่างๆได้ทุกประเภทไม่ว่าจะเป็นการใช้สมุนไพรอย่าง โรสแมรี่เพื่อป้องกันโรคระบาด หรือ การใช้เกลือดมกลิ่นในศตวรรษที่ 18 และ 19 ที่ใช้เป็นยาแก้พิษที่เหมาะกับการเป็นลม"
"เราอยากจะทำให้เห็นว่ากลิ่นเป็นส่วนประกอบสำคัญของประสบการณ์มนุษย์ และก็อยากจะบันทึกสิ่งนั้นไว้" แต่คนเราจะได้กลิ่นจากอดีตได้อย่างไรกัน
ลีแมนส์ บอกว่า มีหลายวิธีที่จะย้อนไปหากลิ่นของสิ่งต่าง ๆ ในอดีต ผู้เชี่ยวชาญด้านเคมีหากลิ่นของวัตถุทางประวัติศาสตร์ด้วยการสกัดชิ้นส่วนออกมาจากวัตถุนั้น ๆ แล้วมาวิเคราะห์ดูโครงสร้างทางเคมี นอกจากนี้ ยังมีวิธีหากลิ่นโดยใช้การตีความโดยอาศัยสภาวะทางประวัติศาสตร์ของสถานที่นั้น ๆ ด้วย
"คุณสามารถลงรายละเอียดได้ตั้งแต่กลิ่นลาเวนเดอร์ไปจนถึงกลิ่นของอากาศในเมืองหนึ่ง" นักวิชาการชาวเนเธอร์แลนด์ผู้นี้กล่าว
ความรู้ชุดนี้จะถูกนำไปใช้ในขั้นตอนสุดท้ายของโครงการโอเดอร์ยูโรปา นักเคมีและผู้เชี่ยวชาญด้านน้ำหอมจะช่วยกันสร้างกลิ่นจากอดีตขึ้นมาใหม่และจะถูกนำไปใช้ในงานจัดแสดงพิเศษในพิพิธภัณฑ์ที่ต่าง ๆ ในยุโรป
จะได้ทราบว่ากลิ่นของพระนางมารี อ็องตัวแน็ตต์ เป็นอย่างไร
Caro Verbeek นักประวัติศาสตร์ศิลป์ชาวเนเธอร์แลนด์ซึ่งเป็นสมาชิกทีมอีกคนหนึ่ง เธอเชี่ยวชาญด้านประวัติศาสตร์ด้านประสาทสัมผัส และเป็นภัณฑารักษ์ที่ทำงานด้านการสร้างบรรยากาศให้ผู้ชมได้กลิ่นในงานจัดแสดงมานาน 20 ปี โดยล่าสุดเป็นการจัดแสดงที่พิพิธภัณฑ์ไรจ์คส์ หรือพิพิธภัณฑ์แห่งชาติแห่งอัมสเตอร์ดัม เมื่อปี 2015 ที่มีการสร้างกลิ่นขึ้นมาเพื่อประกอบภาพ "ยุทธการที่วอเตอร์ลู"

The Battle of Waterloo) โดยจิตรกร ยัน วิลเลิม พีนเนอร์มาน จากปี 1824
"เราใช้กลิ่นดินปืนผสมกับกลิ่นโคลน ม้า และหนัง โดยผู้เข้าชมจะได้กลิ่นจากแท่งน้ำหอมที่ติดตั้งไว้" เวอร์บีค อธิบาย
"มันเปลี่ยนวิธีรับรู้งานศิลปะของคนโดยสิ้นเชิงเลย เป็นการเปิดโอกาสให้คนหลากหลายกลุ่มมากขึ้นให้สัมผัสคุณค่าของงานศิลปะ ลองนึกถึงคนตาบอดเป็นต้น"
"มันเปลี่ยนวิธีรับรู้งานศิลปะของคนโดยสิ้นเชิงเลย เป็นการเปิดโอกาสให้คนหลากหลายกลุ่มมากขึ้นให้สัมผัสคุณค่าของงานศิลปะ ลองนึกถึงคนตาบอดเป็นต้น"
Verbeek เชื่อว่า โครงการโอเดอร์ยูโรปา จะช่วยทำให้ประสบการณ์ในการชมศิลปะเต็มอิ่มมากขึ้น
"จะมีคนสามารถได้กลิ่นประวัติศาสตร์ได้มากขึ้นอีก ...กลิ่นที่เปลี่ยนไปทำให้มรดกที่เรามีอยู่ในสภาพเปราะบาง ตอนนี้ถึงเวลาที่เราจะจับมันให้อยู่ แล้วก็สร้างมันขึ้นมาใหม่"
“On the Evening of the Battle of Waterloo” โดย จิตรกรชาวอังกฤษ Ernest Crofts
แสดงให้เห็นว่า นโปเลียนออกจากสนามรบหลังจากความพ่ายแพ้ของกองทัพในปี 1815
โครงการ Odeuropa มีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มความเข้าใจเกี่ยวกับเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์นี้ โดยการสร้างกลิ่นประกอบไว้ Universal History Archive / Universal Images Group ผ่าน Getty Images
กลิ่นของหนังสือเก่าที่ถูกสกัดในห้องทดลองวิทยาศาสตร์เฮอริเทจที่มหาวิทยาลัยคอลเลจลอนดอน (HMaghoub)
By Gareth Halfacree
(ขอขอบคุณที่มาของข้อมูลทั้งหมดและขออนุญาตนำมา)
Odeuropa project การสร้างกลิ่นแห่งประวัติศาสตร์
"กลิ่นเป็นตัวกำหนดประสบการณ์ที่เรามีในโลกนี้ แต่เรามีข้อมูลเรื่องความรู้สึกในแง่นี้จากในอดีตน้อยมาก นอกจากนี้ กลิ่นเป็นสิ่งที่มีความเปราะบางมาก มักถูกลืมไปอย่างรวดเร็ว เราเลยต้องคิดกันว่าจะเก็บรักษามันได้อย่างไร"
"สิ่งนี้สามารถพาเราไปสู่กลิ่นต่างๆได้ทุกประเภทไม่ว่าจะเป็นการใช้สมุนไพรอย่าง โรสแมรี่เพื่อป้องกันโรคระบาด หรือ การใช้เกลือดมกลิ่นในศตวรรษที่ 18 และ 19 ที่ใช้เป็นยาแก้พิษที่เหมาะกับการเป็นลม"
ความรู้ชุดนี้จะถูกนำไปใช้ในขั้นตอนสุดท้ายของโครงการโอเดอร์ยูโรปา นักเคมีและผู้เชี่ยวชาญด้านน้ำหอมจะช่วยกันสร้างกลิ่นจากอดีตขึ้นมาใหม่และจะถูกนำไปใช้ในงานจัดแสดงพิเศษในพิพิธภัณฑ์ที่ต่าง ๆ ในยุโรป
"เราใช้กลิ่นดินปืนผสมกับกลิ่นโคลน ม้า และหนัง โดยผู้เข้าชมจะได้กลิ่นจากแท่งน้ำหอมที่ติดตั้งไว้" เวอร์บีค อธิบาย
"มันเปลี่ยนวิธีรับรู้งานศิลปะของคนโดยสิ้นเชิงเลย เป็นการเปิดโอกาสให้คนหลากหลายกลุ่มมากขึ้นให้สัมผัสคุณค่าของงานศิลปะ ลองนึกถึงคนตาบอดเป็นต้น"
Verbeek เชื่อว่า โครงการโอเดอร์ยูโรปา จะช่วยทำให้ประสบการณ์ในการชมศิลปะเต็มอิ่มมากขึ้น
"จะมีคนสามารถได้กลิ่นประวัติศาสตร์ได้มากขึ้นอีก ...กลิ่นที่เปลี่ยนไปทำให้มรดกที่เรามีอยู่ในสภาพเปราะบาง ตอนนี้ถึงเวลาที่เราจะจับมันให้อยู่ แล้วก็สร้างมันขึ้นมาใหม่"