สวัสดีครับ
เมื่อเร็วๆนี้ผมมีเปิดกระทู้อันนึงขึ้นมาเพื่อหาเพื่อนที่เป็นนักเรียนพุทธเหมือนผม คนที่ใช้กาลามสูตรเป็นไม้บรรทัดวัดความจริงก่อนปักใจเชื่อสิ่งใดๆ และผมได้ระบุเป็นการเฉพาะเจาะจงอย่างยิ่งว่ากะทู้ที่ผมเปิดไปในครั้งนั้นไม่ได้เปิดขี้นมาเพื่อขอความเห็นทางธรรมหรือถกธรรมกับผู้ใด
ผมแถลงคุณสมบัติของเพื่อนแบบที่ผมตามหาว่าต้องเป็นคนประเภทที่ไม่ "บ้าพระไตรปิฎก" หรือ ยึดติดในอักขระจารึก และผมชอบวิธีการศึกษาแบบพระพุทธทาสมากกว่า คือ ผมอ่านตำรา อ่านคำในไตรปิฏก ฟังเทป แต่ผมไม่ได้เชื่อทั้งหมดจนกว่าจะพิสูจน์ด้วยประสบการณ์ตรงของตัวเอง ... same same กะพุทธทาสน่ะแหละครับ ทั้งนี้ ท่านที่ยึดติดในอักขระจารึกก็มีสิทธิที่จะทำได้นะครับ (แต่ผมไม่ได้ประสงค์จะหาเพื่อนที่เชื่อแบบนั้นน่ะครับ ซึ่งจริงๆก็มีแบบนั้นเยอะอยู่แล้วครับ)
แต่ปรากฏว่ามีหลายท่าน ไม่เห็นด้วยกับมุมมองของผม และ อยากแสดงทัศนะคติ เลยทำกะทู้ผมรกไปหมด (คือ ในกระทู้นั้น ผมอยากได้เพื่อน ไม่ได้อยากได้ทัศนคติกรือความเห็นน่ะครับ)
*** ผมเลยเปิดกะทู้อันนี้ขึ้นมา แยกเป็นกะทู้ใหม่ เพื่อเป็นพื้นที่สาธารณะ ให้ทุกท่านที่สนใจได้แสดงทัศนคติกันนะครับ เผื่อจะเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวมน่ะครับ ***
ผมเคยอ่านเจอว่า ครั้งนึงในสมัยพุทธกาล พระเถระหลายรูปได้มาเสนอให้พุทธะทำการสังคยนาคำสอนไว้ เพราะเมื่อพุทธะสิ้นไปแล้วคำสอนของพุทธะจะได้ยังคงไว้ซึ่งความบริสุทธิ์บริบูรณ์ (เนื่องจากว่าในยามนั้นมีศาสดาของนิกายนึงที่พึ่งสิ้นชีพลงแล้วศิษย์เอก 2 คนก็แตกสำนักเป็นสองฝ่าย ต่างฝ่ายก็อ้างว่าแนวทางของตนเป็นคำสอนบริสุทธิ์ที่สืบต่อมาจากอาจารย์)
แต่พุทธะก็ไม่ได้แสดงความกระตือรือร้นที่จะบันทึกคำสอนไว้ตามที่เหล่าเถระเสนอ ในเวลาต่อมาพระสารีบุตรได้ไปรวบรวมธรรมที่พุทธะเคยเทศนามาจัดไว้เป็น 10 หมู่ แล้วก็ท่องให้พุทธะฟัง พุทธะก็สรรเสริญว่าดี แต่ไม่ได้ออกอาการสนับสนุนให้ทำต่อ พระสารีบุตรก็เลยไม่ได้ทำต่อครับ
ผม “คิดว่า” โกตามะ สิทธัตถะ บุคคลที่เป็น “พุทธะ” แล้ว ก็น่าจะต้องมีเหตุผลที่ดีที่จะไม่ทำการสังคายนาคำสอนของตนเองเอาไว้ และ “อาจจะ“ เป็นไปได้ว่า พุทธะเกรงว่าหากว่าจัดทำคำภีร์ไว้ ต่อไปในภายภาคหน้าผู้คนอาจจะยึดติดในอักขระคัมภีร์ เหมือนกับที่ในสมัยพุทธกาลก็มีคนยึดติดในคัมภีร์ต่างๆของทางศาสนาพราหมณ์ รวมทั้งก่อนหน้านั้นพุทธะก็เคยบอกกับชาวเมืองกาลามะว่ามีสิ่งที่ "ไม่ควรด่วนปักใจเชื่อ 10 ประการ" เว้นแต่ว่าจะได้ทำการพิจารณาด้วยเหตุผล "อย่างมีสติ" และ "พิสูจน์ด้วยประสบการณ์ตรงของตนเองแล้วว่าจริง” จึงจะเชื่อได้ ... ทั้งนี้ ข้อห้ามประการนึงในกาลามสูตรคือ “อย่าด่วนเชื่อสิ่งที่จารึกไว้”
ผมเลยเดาๆ (ถูกรึเปล่าไม่รู้นะครับ) ว่า ... ด้วยเหตุผลดังกล่าวข้างต้น พุทธะเลยไม่กระตือที่จะสังคยนาคำสอนของพุทธะไว้น่ะครับ ทั้งๆที่การทำไว้มันก็น่าจะเป็นกรมธรรม์ประกันภัยชั้นดีว่าพุทธวิถีจะไม่กลายพันธุ์
การสังคยนาธรรมครั้งแรกเกิดขึ้นหลังจากที่พุทธะสิ้นไปแล้ว และเกิดมีขึ้นเพราะว่าพระมหากัสสปะเห็นว่ามีเหตุจำเป็นที่ต้องทำ เนื่องจากว่ามีพระ "แหกวินัย" หลังจากที่พุทธะสิ้นไปได้เพียงไม่นาน ซึ่งการสังคยนาในครั้งแรกนั้นไม่ได้เกิดขึ้นด้วยประสงค์ของตัวพุทธะเอง
อีกประการหนึ่ง ผมคิดว่ามันเป็นเรื่องที่น่าประหลาดอยู่ว่า การสังคายนาที่ทำในรอบหลังๆมันจะถูกต้องแม่นยำมากกว่ารอบแรกสุดได้อย่างไร (เพราะมันยิ่งไกลจากพุทธะตัวจริงเสียงจริงมากขึ้น และพระที่จัดทำในรอบแรกก็ยังต้องทวนซักถามกันและกันอยู่หลายรอบให้แน่ชัดถึงจะท่องจำกันไว้ และ "ไม่บันทึกเป็นอักขระ" -- น่าคิดใช่มะครับ) ในทางปฏิบัติการสังคายนาแต่ละรอบก็ต้องอาศัยเอกสารอ้างอิงหรือคำท่องจากรอบก่อนๆหน้า (รอบแรกๆมีแต่คำท่อง ไม่มีบันทึกเป็นอักขระ) และในรอบหลังๆก็เป็นการรวบรวมเอาจากอักขระที่บันทึกไว้ในหลายแหล่ง ซึ่งแหล่งเหล่านั้นก็คงจะมีการแปลเป็นภาษาต่างๆ ไปๆมาๆ ถึงจะพยายามด้วยเจตนาดีเพียงไร การจะทำให้ฉบับหลังๆมีความบริสุทธิ์ตรงตามคำสอนของพุทธะ 100% ก็น่าจะป็นเรื่องยากอยู่หน่ะครับ ขนาดรอบแรกก็ยังยากเลย
นอกจากนี้ ยังมีเหตุการณ์ที่พระ Yamelu กับ Tekula ซึ่งเชี่ยวชาญด้านภาษามาเสนอให้พุทธะอนุญาตให้ตนแปลคำสอนเป็นภาษาที่ใช้เป็นมาตรฐานในการถ่ายทอดคำภีร์พระเวท เพราะเห็นว่า ภาษามคธที่พุทธะใช้เทศนาธรรมเป็นหลักนั้น เมื่อถูกถ่ายทอดไปก็ถูกแปลเป็นภาษาอื่นๆซึ่งถ้อยคำและความหมายก็อาจจะมีเพี้ยนไปบ้าง ... แต่พุทธะก็ปฏิเสธข้อเสนอแนะ เพราะอยากให้ถ้อยคำที่ใช้ถ่ายทอดธรรมนั้นเป็นคำที่ผู้คนใช้กันประจำวัน ไม่ประสงค์จะให้ธรรมนั้นถูกถ่ายทอดในภาษาที่เข้าใจกันเพียงเฉพาะในหมู่นักวิชาการ พุทธะประสงค์จะให้ศิษย์ที่เป็น “ทั้งพระและฆราวาส” ได้ “ศึกษา และ ปฏิบัติ” ธรรมในภาษาท้องถิ่นของตนเอง อันจะทำให้ธรรมคงไว้ซึ่งความมีชีวิตและเข้าถึงได้ ท่านบอกว่าธรรมจะต้องใช้ได้จริงกับชีวิตปัจจุบัน และเข้ากันได้กับวัฒนธรรมท้องถิ่น
อีกประเด็นนึงที่น่าคิด มีเรื่องเล่าว่า พุทธะเคยแสดงธรรมแก่ Dighanakha (ลุงของพระสารีบุตร) แล้วบอกว่าไม่ควร “ยึดติด” ในสิ่งใดรวมทั้งธรรมของท่านด้วย (การรับฟัง พิจารณา และเอาไปใช้ เป็นคนละอย่างกันกับการยึดติด) โดยเปรียบให้ฟังว่า “นิ้วชี้มิใช่พระจันทร์” ซึ่งนิ้วชี้นั้นหมายถึง “คำสอนของพุทธะ” (ซึ่งผมคิดว่าเราคงจะเรียกได้ว่ามันเป็น “ความจริง” – truth) และพระจันทร์คือ “ความเป็นจริง” (reality) ความเป็นจริงที่พุทธะประสงค์ให้ชาวโลกได้ประจักษ์แจ้งด้วยตัวเองกันทุกคน … พุทธะกล่าวไว้ว่า ธรรมของพุทธะเป็นเครื่องนำทางไปสู่การสำเหนียกความเป็นจริง แต่ไม่ได้เป็นตัวความเป็นจริงเสียเอง คนที่เห็นนิ้วแล้วเผลอไปคิดว่านิ้วเป็นตัวพระจันทร์และไม่มองว่านิ้วนั้นชี้ไปทางไหนก็จะพลาดพระจันทร์ พุทธะยังบอกอีกว่า “คำสอนของพุทธะเป็นวิธีแห่งการปฏิบัติ ไม่ใช่สิ่งที่มีไว้ยึดถือหรือบูชา” คำสอนของพุทธะเป็นดั่งแพที่ใช้สำหรับข้ามฟากไปฝั่งคะนู้น คือฝั่งแห่งการหลุดพ้น และเป็นแพที่ควรใช้เพียงครั้งเดียว มีแต่คนโง่ที่ข้ามไปได้แล้วแล้วยังจะแบกแพต่อไปอีก (ตามข้างล่างนี้ครับ)
The Buddha was quiet for a moment and then nodded his head.
“Dighanakha, that is a very good question. My teaching is not a dogma or a doctrine, but no doubt some people will take it as such. I must state clearly that my teaching is a method to experience reality and not reality itself, just as a finger pointing at the moon is not the moon itself. An intelligent person makes use of the finger to see the moon. A person who only looks at the finger and mistakes it for the moon will never see the real moon. My teaching is a means of practice, not something to hold onto or worship. My teaching is like a raft used to cross the river.
Only a fool would carry the raft around after he had already reached the other shore, the shore of liberation.”
เป็นที่น่าสังเกตว่า ถึงพุทธะจะเป็นคนคิดคำสอนของตนขึ้นมาเอง แต่พุทธะก็ไม่เคยกล่าวอ้างว่าตนเป็นเจ้าของความจริง ความจริงแท้เป็นสิ่งสากลและไม่มีใครเป็นเจ้าของ มุมมองนี่เป็นเจ้าของกันได้นะครับ (และเป็นเจ้าของร่วมกันได้ เช่นมุมมอง “ของผม” อาจจะมีคนเห็นด้วย หรือไม่เห็นด้วย) แต่ความจริงที่แท้ไม่มีใครครอบครองได้ คนที่ฝึกมาดีมีสติและปัญญาดีและเห็นธรรมมากขึ้นๆ มุมมองของเค้าก็น่าจะตรงตามความเป็นจริงมากขึ้นๆ ... อย่าง โกตามะ พุทธะ นี่ มุมมองที่ท่านมีก็คงจะตรงตามความเป็นจริงทุกประการ
อันที่จริงแล้วความจริงแท้ที่เป็นสากลนี้ “ครอบ” เราทุกคน ดังที่ โกตามะ พุทธะ เคยสอนไว้ เช่น ความเป็นอิทัปปัจจยตานั้นไม่มีใครหรือสิ่งใดแหกออกไปได้ แม้แต่ โกตามะ พุทธะ เอง ถึงแม้ว่าท่านจะตรัสรู้เป็นพุทธะแต่สังขารของท่านก็เสื่อมไปตามกาล
โดยสรุป ผม “เห็นว่า” การใช้กาลามสูตรที่พุทธะได้ให้ไว้เป็นไม้บรรทัดสำหรับวัดความจริงกับทุกสิ่งอย่างที่เราเรียนรู้ (รวมถึงพระไตรปิฎกด้วย) ก็น่าจะเป็นเรื่องดี ที่ควรทำ อย่างยิ่ง
ไม่ทราบว่า ท่านมีความเห็นเป็นเช่นไรกันบ้างครับ
*** ผมขอความกรุณาทุกท่านที่แสดงความเห็นในกระทู้นี้ได้โปรดประพฤติตนเป็นพุทธศาสนิกชนชั้นดี กล่าวคือ ได้โปรดแชร์ความเห็นเยี่ยงกัลยาณมิตรต่อผู้อื่น ขอท่านจงแชร์ความเห็นด้วยความเมตตาและกรุณา ด้วยหวังจะให้ผู้อื่นได้รับทราบความคิดเห็น ความรู้ หรือแนวทางที่ท่านเชื่อและยึดถือเป็นวิธีปฏิบัติตามพุทธวิถี (ไม่ว่าจะถูกหรือผิด) และโปรดเคารพสิทธิของผู้อื่นที่คิดเห็นหรือเชื่อแตกต่างจากท่าน
"ทุกอย่างเริ่มต้นที่ทางเลือก" และ "ทุกทางเลือกมีผลตามมาที่แตกต่างกัน" และทุกคนมีสิทธิ์เลือก เมื่อเค้าเลือกทางใดก็รับผลที่ตามมาในทางนั้นน่ะครับ (ตัวผมเองก็ด้วยนะ) ***
การใช้กาลามสูตรเป็นไม้บรรทัดวัดความจริงก่อนปักใจเชื่อ และ การไม่ยึดติดในอักขระคัมภีร์
เมื่อเร็วๆนี้ผมมีเปิดกระทู้อันนึงขึ้นมาเพื่อหาเพื่อนที่เป็นนักเรียนพุทธเหมือนผม คนที่ใช้กาลามสูตรเป็นไม้บรรทัดวัดความจริงก่อนปักใจเชื่อสิ่งใดๆ และผมได้ระบุเป็นการเฉพาะเจาะจงอย่างยิ่งว่ากะทู้ที่ผมเปิดไปในครั้งนั้นไม่ได้เปิดขี้นมาเพื่อขอความเห็นทางธรรมหรือถกธรรมกับผู้ใด
ผมแถลงคุณสมบัติของเพื่อนแบบที่ผมตามหาว่าต้องเป็นคนประเภทที่ไม่ "บ้าพระไตรปิฎก" หรือ ยึดติดในอักขระจารึก และผมชอบวิธีการศึกษาแบบพระพุทธทาสมากกว่า คือ ผมอ่านตำรา อ่านคำในไตรปิฏก ฟังเทป แต่ผมไม่ได้เชื่อทั้งหมดจนกว่าจะพิสูจน์ด้วยประสบการณ์ตรงของตัวเอง ... same same กะพุทธทาสน่ะแหละครับ ทั้งนี้ ท่านที่ยึดติดในอักขระจารึกก็มีสิทธิที่จะทำได้นะครับ (แต่ผมไม่ได้ประสงค์จะหาเพื่อนที่เชื่อแบบนั้นน่ะครับ ซึ่งจริงๆก็มีแบบนั้นเยอะอยู่แล้วครับ)
แต่ปรากฏว่ามีหลายท่าน ไม่เห็นด้วยกับมุมมองของผม และ อยากแสดงทัศนะคติ เลยทำกะทู้ผมรกไปหมด (คือ ในกระทู้นั้น ผมอยากได้เพื่อน ไม่ได้อยากได้ทัศนคติกรือความเห็นน่ะครับ)
*** ผมเลยเปิดกะทู้อันนี้ขึ้นมา แยกเป็นกะทู้ใหม่ เพื่อเป็นพื้นที่สาธารณะ ให้ทุกท่านที่สนใจได้แสดงทัศนคติกันนะครับ เผื่อจะเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวมน่ะครับ ***
ผมเคยอ่านเจอว่า ครั้งนึงในสมัยพุทธกาล พระเถระหลายรูปได้มาเสนอให้พุทธะทำการสังคยนาคำสอนไว้ เพราะเมื่อพุทธะสิ้นไปแล้วคำสอนของพุทธะจะได้ยังคงไว้ซึ่งความบริสุทธิ์บริบูรณ์ (เนื่องจากว่าในยามนั้นมีศาสดาของนิกายนึงที่พึ่งสิ้นชีพลงแล้วศิษย์เอก 2 คนก็แตกสำนักเป็นสองฝ่าย ต่างฝ่ายก็อ้างว่าแนวทางของตนเป็นคำสอนบริสุทธิ์ที่สืบต่อมาจากอาจารย์)
แต่พุทธะก็ไม่ได้แสดงความกระตือรือร้นที่จะบันทึกคำสอนไว้ตามที่เหล่าเถระเสนอ ในเวลาต่อมาพระสารีบุตรได้ไปรวบรวมธรรมที่พุทธะเคยเทศนามาจัดไว้เป็น 10 หมู่ แล้วก็ท่องให้พุทธะฟัง พุทธะก็สรรเสริญว่าดี แต่ไม่ได้ออกอาการสนับสนุนให้ทำต่อ พระสารีบุตรก็เลยไม่ได้ทำต่อครับ
ผม “คิดว่า” โกตามะ สิทธัตถะ บุคคลที่เป็น “พุทธะ” แล้ว ก็น่าจะต้องมีเหตุผลที่ดีที่จะไม่ทำการสังคายนาคำสอนของตนเองเอาไว้ และ “อาจจะ“ เป็นไปได้ว่า พุทธะเกรงว่าหากว่าจัดทำคำภีร์ไว้ ต่อไปในภายภาคหน้าผู้คนอาจจะยึดติดในอักขระคัมภีร์ เหมือนกับที่ในสมัยพุทธกาลก็มีคนยึดติดในคัมภีร์ต่างๆของทางศาสนาพราหมณ์ รวมทั้งก่อนหน้านั้นพุทธะก็เคยบอกกับชาวเมืองกาลามะว่ามีสิ่งที่ "ไม่ควรด่วนปักใจเชื่อ 10 ประการ" เว้นแต่ว่าจะได้ทำการพิจารณาด้วยเหตุผล "อย่างมีสติ" และ "พิสูจน์ด้วยประสบการณ์ตรงของตนเองแล้วว่าจริง” จึงจะเชื่อได้ ... ทั้งนี้ ข้อห้ามประการนึงในกาลามสูตรคือ “อย่าด่วนเชื่อสิ่งที่จารึกไว้”
ผมเลยเดาๆ (ถูกรึเปล่าไม่รู้นะครับ) ว่า ... ด้วยเหตุผลดังกล่าวข้างต้น พุทธะเลยไม่กระตือที่จะสังคยนาคำสอนของพุทธะไว้น่ะครับ ทั้งๆที่การทำไว้มันก็น่าจะเป็นกรมธรรม์ประกันภัยชั้นดีว่าพุทธวิถีจะไม่กลายพันธุ์
การสังคยนาธรรมครั้งแรกเกิดขึ้นหลังจากที่พุทธะสิ้นไปแล้ว และเกิดมีขึ้นเพราะว่าพระมหากัสสปะเห็นว่ามีเหตุจำเป็นที่ต้องทำ เนื่องจากว่ามีพระ "แหกวินัย" หลังจากที่พุทธะสิ้นไปได้เพียงไม่นาน ซึ่งการสังคยนาในครั้งแรกนั้นไม่ได้เกิดขึ้นด้วยประสงค์ของตัวพุทธะเอง
อีกประการหนึ่ง ผมคิดว่ามันเป็นเรื่องที่น่าประหลาดอยู่ว่า การสังคายนาที่ทำในรอบหลังๆมันจะถูกต้องแม่นยำมากกว่ารอบแรกสุดได้อย่างไร (เพราะมันยิ่งไกลจากพุทธะตัวจริงเสียงจริงมากขึ้น และพระที่จัดทำในรอบแรกก็ยังต้องทวนซักถามกันและกันอยู่หลายรอบให้แน่ชัดถึงจะท่องจำกันไว้ และ "ไม่บันทึกเป็นอักขระ" -- น่าคิดใช่มะครับ) ในทางปฏิบัติการสังคายนาแต่ละรอบก็ต้องอาศัยเอกสารอ้างอิงหรือคำท่องจากรอบก่อนๆหน้า (รอบแรกๆมีแต่คำท่อง ไม่มีบันทึกเป็นอักขระ) และในรอบหลังๆก็เป็นการรวบรวมเอาจากอักขระที่บันทึกไว้ในหลายแหล่ง ซึ่งแหล่งเหล่านั้นก็คงจะมีการแปลเป็นภาษาต่างๆ ไปๆมาๆ ถึงจะพยายามด้วยเจตนาดีเพียงไร การจะทำให้ฉบับหลังๆมีความบริสุทธิ์ตรงตามคำสอนของพุทธะ 100% ก็น่าจะป็นเรื่องยากอยู่หน่ะครับ ขนาดรอบแรกก็ยังยากเลย
นอกจากนี้ ยังมีเหตุการณ์ที่พระ Yamelu กับ Tekula ซึ่งเชี่ยวชาญด้านภาษามาเสนอให้พุทธะอนุญาตให้ตนแปลคำสอนเป็นภาษาที่ใช้เป็นมาตรฐานในการถ่ายทอดคำภีร์พระเวท เพราะเห็นว่า ภาษามคธที่พุทธะใช้เทศนาธรรมเป็นหลักนั้น เมื่อถูกถ่ายทอดไปก็ถูกแปลเป็นภาษาอื่นๆซึ่งถ้อยคำและความหมายก็อาจจะมีเพี้ยนไปบ้าง ... แต่พุทธะก็ปฏิเสธข้อเสนอแนะ เพราะอยากให้ถ้อยคำที่ใช้ถ่ายทอดธรรมนั้นเป็นคำที่ผู้คนใช้กันประจำวัน ไม่ประสงค์จะให้ธรรมนั้นถูกถ่ายทอดในภาษาที่เข้าใจกันเพียงเฉพาะในหมู่นักวิชาการ พุทธะประสงค์จะให้ศิษย์ที่เป็น “ทั้งพระและฆราวาส” ได้ “ศึกษา และ ปฏิบัติ” ธรรมในภาษาท้องถิ่นของตนเอง อันจะทำให้ธรรมคงไว้ซึ่งความมีชีวิตและเข้าถึงได้ ท่านบอกว่าธรรมจะต้องใช้ได้จริงกับชีวิตปัจจุบัน และเข้ากันได้กับวัฒนธรรมท้องถิ่น
อีกประเด็นนึงที่น่าคิด มีเรื่องเล่าว่า พุทธะเคยแสดงธรรมแก่ Dighanakha (ลุงของพระสารีบุตร) แล้วบอกว่าไม่ควร “ยึดติด” ในสิ่งใดรวมทั้งธรรมของท่านด้วย (การรับฟัง พิจารณา และเอาไปใช้ เป็นคนละอย่างกันกับการยึดติด) โดยเปรียบให้ฟังว่า “นิ้วชี้มิใช่พระจันทร์” ซึ่งนิ้วชี้นั้นหมายถึง “คำสอนของพุทธะ” (ซึ่งผมคิดว่าเราคงจะเรียกได้ว่ามันเป็น “ความจริง” – truth) และพระจันทร์คือ “ความเป็นจริง” (reality) ความเป็นจริงที่พุทธะประสงค์ให้ชาวโลกได้ประจักษ์แจ้งด้วยตัวเองกันทุกคน … พุทธะกล่าวไว้ว่า ธรรมของพุทธะเป็นเครื่องนำทางไปสู่การสำเหนียกความเป็นจริง แต่ไม่ได้เป็นตัวความเป็นจริงเสียเอง คนที่เห็นนิ้วแล้วเผลอไปคิดว่านิ้วเป็นตัวพระจันทร์และไม่มองว่านิ้วนั้นชี้ไปทางไหนก็จะพลาดพระจันทร์ พุทธะยังบอกอีกว่า “คำสอนของพุทธะเป็นวิธีแห่งการปฏิบัติ ไม่ใช่สิ่งที่มีไว้ยึดถือหรือบูชา” คำสอนของพุทธะเป็นดั่งแพที่ใช้สำหรับข้ามฟากไปฝั่งคะนู้น คือฝั่งแห่งการหลุดพ้น และเป็นแพที่ควรใช้เพียงครั้งเดียว มีแต่คนโง่ที่ข้ามไปได้แล้วแล้วยังจะแบกแพต่อไปอีก (ตามข้างล่างนี้ครับ)
The Buddha was quiet for a moment and then nodded his head.
“Dighanakha, that is a very good question. My teaching is not a dogma or a doctrine, but no doubt some people will take it as such. I must state clearly that my teaching is a method to experience reality and not reality itself, just as a finger pointing at the moon is not the moon itself. An intelligent person makes use of the finger to see the moon. A person who only looks at the finger and mistakes it for the moon will never see the real moon. My teaching is a means of practice, not something to hold onto or worship. My teaching is like a raft used to cross the river.
Only a fool would carry the raft around after he had already reached the other shore, the shore of liberation.”
เป็นที่น่าสังเกตว่า ถึงพุทธะจะเป็นคนคิดคำสอนของตนขึ้นมาเอง แต่พุทธะก็ไม่เคยกล่าวอ้างว่าตนเป็นเจ้าของความจริง ความจริงแท้เป็นสิ่งสากลและไม่มีใครเป็นเจ้าของ มุมมองนี่เป็นเจ้าของกันได้นะครับ (และเป็นเจ้าของร่วมกันได้ เช่นมุมมอง “ของผม” อาจจะมีคนเห็นด้วย หรือไม่เห็นด้วย) แต่ความจริงที่แท้ไม่มีใครครอบครองได้ คนที่ฝึกมาดีมีสติและปัญญาดีและเห็นธรรมมากขึ้นๆ มุมมองของเค้าก็น่าจะตรงตามความเป็นจริงมากขึ้นๆ ... อย่าง โกตามะ พุทธะ นี่ มุมมองที่ท่านมีก็คงจะตรงตามความเป็นจริงทุกประการ
อันที่จริงแล้วความจริงแท้ที่เป็นสากลนี้ “ครอบ” เราทุกคน ดังที่ โกตามะ พุทธะ เคยสอนไว้ เช่น ความเป็นอิทัปปัจจยตานั้นไม่มีใครหรือสิ่งใดแหกออกไปได้ แม้แต่ โกตามะ พุทธะ เอง ถึงแม้ว่าท่านจะตรัสรู้เป็นพุทธะแต่สังขารของท่านก็เสื่อมไปตามกาล
โดยสรุป ผม “เห็นว่า” การใช้กาลามสูตรที่พุทธะได้ให้ไว้เป็นไม้บรรทัดสำหรับวัดความจริงกับทุกสิ่งอย่างที่เราเรียนรู้ (รวมถึงพระไตรปิฎกด้วย) ก็น่าจะเป็นเรื่องดี ที่ควรทำ อย่างยิ่ง
ไม่ทราบว่า ท่านมีความเห็นเป็นเช่นไรกันบ้างครับ
*** ผมขอความกรุณาทุกท่านที่แสดงความเห็นในกระทู้นี้ได้โปรดประพฤติตนเป็นพุทธศาสนิกชนชั้นดี กล่าวคือ ได้โปรดแชร์ความเห็นเยี่ยงกัลยาณมิตรต่อผู้อื่น ขอท่านจงแชร์ความเห็นด้วยความเมตตาและกรุณา ด้วยหวังจะให้ผู้อื่นได้รับทราบความคิดเห็น ความรู้ หรือแนวทางที่ท่านเชื่อและยึดถือเป็นวิธีปฏิบัติตามพุทธวิถี (ไม่ว่าจะถูกหรือผิด) และโปรดเคารพสิทธิของผู้อื่นที่คิดเห็นหรือเชื่อแตกต่างจากท่าน
"ทุกอย่างเริ่มต้นที่ทางเลือก" และ "ทุกทางเลือกมีผลตามมาที่แตกต่างกัน" และทุกคนมีสิทธิ์เลือก เมื่อเค้าเลือกทางใดก็รับผลที่ตามมาในทางนั้นน่ะครับ (ตัวผมเองก็ด้วยนะ) ***