ช่วงที่มีการพัฒนายางกันใหม่ในปี 1839 ชาร์ลส กู๊ดเยียร์ (Charles Goodyear) วิศวกรการผลิตและนักเคมีชาวอเมริกัน ได้คิดค้นวิธีผลิตยางคุณภาพสูงได้ ยางรูปแบบใหม่จึงกลายมาเป็นวัตถุดิบสำคัญในวงการอุตสาหกรรมตั้งแต่นั้นเรื่อยมา ผลิตภัณฑ์จากยางหลากรูปแบบเริ่มถูกผลิตออกมาตีตลาด ทั้งรองเท้ายาง แผ่นยาง ยางรถยนต์และรถจักรยาน รวมไปถึงของเล่นยางด้วย
กระทั่งในช่วงประมาณทศวรรษที่ 1880 ก็เริ่มมีการผลิตเป็ดยางออกมา ระยะแรกมันไม่ถูกใช้เป็นของเล่นและไม่ได้มีหน้าตาเป็นลูกเป็ดสีเหลืองอย่างในทุกวันนี้ หากเลียนแบบออกมาให้คล้ายจริง และนำไปใช้เป็นเหยื่อล่อในการล่าสัตว์
ต่อมา เป็ดยางได้กลายเป็นของเล่นยอดนิยมสำหรับเด็ก ๆ โดยในช่วงแรกๆ ของการผลิตถูกวางเป้าหมายที่จะเป็น “Chew toys” หรือของเล่นที่ออกแบบมาให้เด็กกัดหรือเคี้ยวได้ ซึ่งเป็ดยางรุ่นแรกนั้นยังลอยน้ำไม่ได้ และไม่ได้มีความคล้ายกับในปัจจุบัน อย่างไรก็ตามด้วยการพัฒนาของเทคโนโลยี ต่อมาในช่วงยุค 1934 ได้มีหนึ่งในบริษัทของเล่นยางซื้อลิขสิทธิ์เป็ด Donald duck เพื่อเอามาทำของเล่นลอยน้ำได้ ดังนั้น บริษัทต่างๆจึงออกเป็ดยางของตัวเองเพื่อสู้กับคู่แข่ง
ต่อมา เป็ดยางแข็ง ๆ ก็ถูกพัฒนาให้กลายเป็นของเล่นน่ารักที่เหมาะสำหรับเด็กมากกว่าเดิม ปี 1939 เอเลนอร์ ชานนาฮาน (Eleanor Shannahan) ได้ออกแบบเป็ดยางที่เหมาะสำหรับใช้เล่นในอ่างอาบน้ำ ที่สามารถตวงน้ำเข้าไปภายใน และยิงน้ำเป็นสายออกจากลำตัว เพิ่มความสนุกให้บรรดาเด็ก ๆ ได้ยิ่งขึ้น
และในช่วงปี 1949 มีประติมากรชื่อ Peter Ganine ศิลปินฮอลลีวูดชาวรัสเซียที่ลี้ภัยมาอาศัยในสหรัฐฯ ได้สิทธิบัตรเป็ดยางตัวหนึ่งโดยเป็ดของเขา ไม่เพียงแต่จะลอยน้ำได้เท่านั้น แต่มันมีรูปร่างซึ่งต่อมาถูกเชื่อว่ากลายเป็นรูปร่างมาตรฐานของ “เป็ดเหลือง” ในอนาคตโดยตั้งชื่อให้มันว่า Toy Duck
ซึ่งเป็ดเหลืองของ Peter Ganine ในเวลานั้นเป็นที่นิยมอย่างแพร่หลาย เพราะในช่วง 14 ปีหลังจากที่เขาจดสิทธิบัตรเป็ดยาง เขาสามารถขายเป็ดเหลืองได้มากกว่า 50 ล้านตัว ทำให้ทันทีที่ข้อจำกัดด้านสิทธิบัตรของเป็ดเหลืองถูกปลดในปี 1960 ของเล่นชิ้นนี้ก็กลายเป็นสัญลักษณ์ที่อยู่คู่ห้องน้ำตลอดมา
(เป็ดเหลืองของ Peter Ganine)
โดยในปี 1992 ตอนเรือขนส่งสินค้าพลิกคว่ำในมหาสมุทร จะเห็นเป็ดเหลืองกว่า 29,000 ตัว ลอยในทะเลเป็นสัปดาห์ และในปี 2007 ศิลปินชาวเนเธอร์แลนด์ โฟลเรินไตน์ โฮฟมัน (Florentijn Hofman) ก็เคยสร้างเป็ดยางสูง 16.5 เมตร ที่ออกแสดงไปในหลายประเทศทั่วโลก เช่น กรุงอัมสเตอร์ดัมของเนเธอร์แลนด์ เมืองโลมเมิลของเบลเยียม นครโอซากาของญี่ปุ่น นครซิดนีย์ของออสเตรเลีย นครเซาเปาโลของบราซิล และเกาะฮ่องกงของจีนระหว่างปี 2550-2556 ที่ตอนนี้แตกไปแล้ว ส่วนที่ว่าทำไมเป็ดยางถึงต้องมีสีเหลือง คำตอบนั้นคือสีเหลืองเป็นสีของลูกเป็ดที่เพิ่งเกิดนั่นเอง
เวลาผ่านไปจนถึงปี 1970 เออร์นี่ (Ernie) ตัวละครจากรายการโทรทัศน์สำหรับเด็กอย่าง Sesame Street ได้ขับร้องเพลงที่ชื่อ Rubber Duckie ขณะกำลังอาบน้ำอยู่ในอ่างอย่างสบายใจ ตอกย้ำความนิยมของเด็ก ๆ ชาวอเมริกันที่มีต่อเป็ดยางได้เป็นอย่างดี
ประติมากรรมลอยน้ำรูปเป็ดยางสีสันสดใสน่ารักในชื่อ ‘Rubber Duck’ ในซิดนีย์ ปี 2013
มารู้จักเป็ดเหลืองตัวเป็นๆที่เกิดมาพร้อมกับ "ทรงผม" ที่น่ารัก
เป็ดชนิดนี้ที่มีชื่อว่า Creted Duck หรือถูกเรียกเป็นภาษาไทยว่า "เป็ดมงกุฏขาว" เป็นเป็ดที่ถูกพัฒนาสายพันธุ์มาจากเป็ดหัวเขียวหรือเป็ดป่า โดยมีจุดเด่นคือขนบนหัวที่ฟูฟ่อง แต่สิ่งที่โดดเด่นบนศีรษะของมันกลับกลายเป็นข้อบกพร่องทางพันธุกรรมโดยส่งผลต่อสุขภาพร่างกายอย่างรุนแรง
เนื่องจากสิ่งที่เป็นส่วนของทรงผมนุ่มฟูดูดี แท้จริงแล้วมันงอกออกมาจากเนื้อเยื่อไขมันส่วนหนึ่งที่ปกคลุมอยู่บริเวณช่องว่างในกระโหลกศีรษะของเป็ด ข้อบกพร่องนี้ไม่เพียงแต่จะเป็นอันตรายต่อเป็ดเพศเมียที่ต้องผสมพันธุ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเป็ดที่ก้าวร้าว แต่มันยังเชื่อมโยงกับอาการชักและปัญหาทางระบบประสาท จนส่งผลให้เกิดการเสียชีวิตก่อนวัยอันควร
การสร้างสายพันธุ์เป็ด Creted Duck ที่ดีที่สุด คือการใช้พ่อพันธุ์และแม่พันธุ์เป็นเป็ดชนิดนี้ทั้งคู่ แต่ก็มีรายงานว่า การทำแบบนี้ยิ่งจะส่งผลเสียต่อตัวอ่อนที่มักจะเสียชีวิตภายในไข่เนื่องจากมีสมองบางส่วนที่เติบโตออกมาข้างนอกกระโหลกศีรษะ หรือถ้ามันถูกฟักออกมาได้ก็จะมีชีวิตอยู่ได้ไม่นานจากอาการชักและปัญหาด้านระบบประสาท โดยยีน Creted Duck เป็นยีนที่มีความเสี่ยงที่จะเป็นอันตรายถึงชีวิต มันถูกเรียกว่า ยีนมรณะ (Lethal Gene) เพราะหงอนที่เราเห็นว่าสวยงามมันก่อตัวผ่านรูที่อยู่บนยอดกระโหลกศีรษะ
ที่มา mentalfloss, toyhalloffame, quora และ todayifoundout
ย้อนรอย “เป็ดเหลือง”ของเล่นในช่วงปลายยุค 1800
กระทั่งในช่วงประมาณทศวรรษที่ 1880 ก็เริ่มมีการผลิตเป็ดยางออกมา ระยะแรกมันไม่ถูกใช้เป็นของเล่นและไม่ได้มีหน้าตาเป็นลูกเป็ดสีเหลืองอย่างในทุกวันนี้ หากเลียนแบบออกมาให้คล้ายจริง และนำไปใช้เป็นเหยื่อล่อในการล่าสัตว์
ต่อมา เป็ดยางได้กลายเป็นของเล่นยอดนิยมสำหรับเด็ก ๆ โดยในช่วงแรกๆ ของการผลิตถูกวางเป้าหมายที่จะเป็น “Chew toys” หรือของเล่นที่ออกแบบมาให้เด็กกัดหรือเคี้ยวได้ ซึ่งเป็ดยางรุ่นแรกนั้นยังลอยน้ำไม่ได้ และไม่ได้มีความคล้ายกับในปัจจุบัน อย่างไรก็ตามด้วยการพัฒนาของเทคโนโลยี ต่อมาในช่วงยุค 1934 ได้มีหนึ่งในบริษัทของเล่นยางซื้อลิขสิทธิ์เป็ด Donald duck เพื่อเอามาทำของเล่นลอยน้ำได้ ดังนั้น บริษัทต่างๆจึงออกเป็ดยางของตัวเองเพื่อสู้กับคู่แข่ง
ต่อมา เป็ดยางแข็ง ๆ ก็ถูกพัฒนาให้กลายเป็นของเล่นน่ารักที่เหมาะสำหรับเด็กมากกว่าเดิม ปี 1939 เอเลนอร์ ชานนาฮาน (Eleanor Shannahan) ได้ออกแบบเป็ดยางที่เหมาะสำหรับใช้เล่นในอ่างอาบน้ำ ที่สามารถตวงน้ำเข้าไปภายใน และยิงน้ำเป็นสายออกจากลำตัว เพิ่มความสนุกให้บรรดาเด็ก ๆ ได้ยิ่งขึ้น
และในช่วงปี 1949 มีประติมากรชื่อ Peter Ganine ศิลปินฮอลลีวูดชาวรัสเซียที่ลี้ภัยมาอาศัยในสหรัฐฯ ได้สิทธิบัตรเป็ดยางตัวหนึ่งโดยเป็ดของเขา ไม่เพียงแต่จะลอยน้ำได้เท่านั้น แต่มันมีรูปร่างซึ่งต่อมาถูกเชื่อว่ากลายเป็นรูปร่างมาตรฐานของ “เป็ดเหลือง” ในอนาคตโดยตั้งชื่อให้มันว่า Toy Duck
ซึ่งเป็ดเหลืองของ Peter Ganine ในเวลานั้นเป็นที่นิยมอย่างแพร่หลาย เพราะในช่วง 14 ปีหลังจากที่เขาจดสิทธิบัตรเป็ดยาง เขาสามารถขายเป็ดเหลืองได้มากกว่า 50 ล้านตัว ทำให้ทันทีที่ข้อจำกัดด้านสิทธิบัตรของเป็ดเหลืองถูกปลดในปี 1960 ของเล่นชิ้นนี้ก็กลายเป็นสัญลักษณ์ที่อยู่คู่ห้องน้ำตลอดมา