แผนก่อนเกษียณสำรับผมดังนี้
1.สร้างนิสัยอยู่อย่างจนกว่ารายได้
2.ยอมมีเงินเก็นเป็น 0 เพื่อสร้างหนี้ในทรัพย์สิน(รัดเข็มขัดตั้งแต่เริ่มมีรายได้มากขึ้น)
3.เกษียณหนี้ต้องเป็น 0 พอดี
4.สร้างหนี้สินที่เกิดเป็นทรัพย์สินและรายได้ในอนาคต ไม่กู้หนี้เพื่อมากินมาใช้เป็นคติประจำครอบครัว
ตอนนี้ผมเกษียณแล้ว่จากทำงานเอกชน เกือบ 2 ปี
ชึ่ง ข้อ 1 กับ ข้อ 3.ทำให้ผมอยู่อย่างสบายตอนแก่ เพราะหนี้หลักเป็น 0 มีรายได้แบบไม่ต้องทำงานเท่าไร เช่นระดับ หมื่นกว่าบาทต่อเดือน ผมก็รู้สึกพอ ไม่รู้สึกว่าน้อย เมื่อยังมีงานทำแบบคนแก่ 2 วันต่ออาทิตย์ ก็เอามาเป็นค่ารักษาตัวเองที่เป็นส่วนต่างต้องจ่ายไม่ต้องเอาเงินเก็บมาจ่าย เหลือมาทำโน้นทำนีในบ้านได้เล็กๆ น้อยๆ แบบไม่เครียด ยังเหลืออีกก็เก็บสะสมค่ารักษาตัวเมื่อต้องจ่ายเป็นก้อนระดับหลายหมื่นได้
คือกะว่าจะไม่แตะเงินเก็บเลย และอาาจะเพิ่มขึ้นได้ จะค่อยนำมาใช้ตอนอายุ 70 ปี ที่ค่าเงินลดลงกว่านี้มากขึ้น เมื่อรายได้จากการที่แทบไม่ต้องทำงานเพิ่มขึ้นอาจจะน้อยกว่าค่าเงินที่ลดลงได้ ก็อาจต้องเอางินเก็บมาสมทบใช้ได้
ส่วนข้อ 2 กับ ข้อ 4 ผมได้ทำตั้งแต่ผมอายุประมาณ 30 กว่าปี ยอมมีเงินเก็บ 0 บาทเป็นวลา 10 กว่าปี ดังนั้น เมื่อเกษียณ 60 ปี จึงพอมีทรัพย์สินเล็กน้อย ที่สร้างรายได้แบบไม่ต้องทำงานมากส่วนหนึ่ง ที่เก็บไว้ในรูปที่ดินเล็กน้อยเผื่อขายใช้ยามฉุกเฉินหรืออายุ 80 ปีไปแล้ว ที่ราคามันขยับขึ้นมากถึงระดับ ล้านบาท. รวมแลัวยังเหลือทรับพ์สินทั้งหมดให้กับลูกหลาน ระดับเป็น 4 - 6 ล้านบาท เป็นมรดกให้เขาเมื่อเราจากโลกนี้ไปแล้ว
ถือว่า คนแก่เล่าเรื่องให้คนรุ่นหลังฟัง เผื่อมีประโยชน์ ของคนระดับไม่ได้จนที่พอทำได้ แต่ไม่ได้รวยระดับเศรษฐี
แผนก่อนเกษียณสำรับผม 1.สร้างนิสัยอยู่อย่างจนกว่ารายได้ 2.ยอมมีเงินเก็นเป็น 0 สร้างหนี้ทรัพย์สิน 3.เกษียณหนี้ต้องเป็น0
1.สร้างนิสัยอยู่อย่างจนกว่ารายได้
2.ยอมมีเงินเก็นเป็น 0 เพื่อสร้างหนี้ในทรัพย์สิน(รัดเข็มขัดตั้งแต่เริ่มมีรายได้มากขึ้น)
3.เกษียณหนี้ต้องเป็น 0 พอดี
4.สร้างหนี้สินที่เกิดเป็นทรัพย์สินและรายได้ในอนาคต ไม่กู้หนี้เพื่อมากินมาใช้เป็นคติประจำครอบครัว
ตอนนี้ผมเกษียณแล้ว่จากทำงานเอกชน เกือบ 2 ปี
ชึ่ง ข้อ 1 กับ ข้อ 3.ทำให้ผมอยู่อย่างสบายตอนแก่ เพราะหนี้หลักเป็น 0 มีรายได้แบบไม่ต้องทำงานเท่าไร เช่นระดับ หมื่นกว่าบาทต่อเดือน ผมก็รู้สึกพอ ไม่รู้สึกว่าน้อย เมื่อยังมีงานทำแบบคนแก่ 2 วันต่ออาทิตย์ ก็เอามาเป็นค่ารักษาตัวเองที่เป็นส่วนต่างต้องจ่ายไม่ต้องเอาเงินเก็บมาจ่าย เหลือมาทำโน้นทำนีในบ้านได้เล็กๆ น้อยๆ แบบไม่เครียด ยังเหลืออีกก็เก็บสะสมค่ารักษาตัวเมื่อต้องจ่ายเป็นก้อนระดับหลายหมื่นได้
คือกะว่าจะไม่แตะเงินเก็บเลย และอาาจะเพิ่มขึ้นได้ จะค่อยนำมาใช้ตอนอายุ 70 ปี ที่ค่าเงินลดลงกว่านี้มากขึ้น เมื่อรายได้จากการที่แทบไม่ต้องทำงานเพิ่มขึ้นอาจจะน้อยกว่าค่าเงินที่ลดลงได้ ก็อาจต้องเอางินเก็บมาสมทบใช้ได้
ส่วนข้อ 2 กับ ข้อ 4 ผมได้ทำตั้งแต่ผมอายุประมาณ 30 กว่าปี ยอมมีเงินเก็บ 0 บาทเป็นวลา 10 กว่าปี ดังนั้น เมื่อเกษียณ 60 ปี จึงพอมีทรัพย์สินเล็กน้อย ที่สร้างรายได้แบบไม่ต้องทำงานมากส่วนหนึ่ง ที่เก็บไว้ในรูปที่ดินเล็กน้อยเผื่อขายใช้ยามฉุกเฉินหรืออายุ 80 ปีไปแล้ว ที่ราคามันขยับขึ้นมากถึงระดับ ล้านบาท. รวมแลัวยังเหลือทรับพ์สินทั้งหมดให้กับลูกหลาน ระดับเป็น 4 - 6 ล้านบาท เป็นมรดกให้เขาเมื่อเราจากโลกนี้ไปแล้ว
ถือว่า คนแก่เล่าเรื่องให้คนรุ่นหลังฟัง เผื่อมีประโยชน์ ของคนระดับไม่ได้จนที่พอทำได้ แต่ไม่ได้รวยระดับเศรษฐี