
ถ้าจะให้ย้อนกลับในอดีต
“รถสีขาว” เป็นรถที่คนส่วนใหญ่มักไม่นิยมกัน เพราะจะมองเป็นรถบริษัท หรือรถสำหรับใช้งานในหน่วยงานต่างๆ อีกทั้งการดูแลรักษาที่ค่อนข้างยุ่งยาก มองเห็นคราบสกปรกได้ง่าย และสีขาวจะหมองไว เปลี่ยนสีไปเป็นออกเหลืองๆ บวกกับเวลาซ่อมสี จะสังเกตได้ง่ายว่าสีบนพื้นผิวรถไม่เท่ากัน จึงต้องจ่ายค่าทำสีมากกว่าเดิม คนจึงไม่นิยมกันเท่าไหร่
ผิดกับทางฝั่งญี่ปุ่น “รถสีขาว” ได้รับความนิยมอย่างสูงมาตั้งแต่ในอดีต ที่ภายหลังพัฒนาจากสีขาวธรรมดาๆ ให้มาเป็น
“สีเมทัลลิค” (Metallic) หรือ
“สีมุก” (Pearl) อีกด้วย ซึ่งเพิ่มความสวยงามกว่าเดิมเป็นเท่าตัว ดูมีเปล่งประกายเวลาสะท้อนกับแสงแดด
แต่วันนี้ MR.CARRO จะมาเล่าให้ฟัง ว่าทำไม
“สีขาวมุก” หรือสีพิเศษบางสี ราคาถึงต้อง
“จ่าย” เพิ่มแพงกว่า
กรรมวิธีการผลิตสีรถยนต์ โดยทั่วไปแล้วจะมีอยู่ 3 แบบ คือ
1. Solid Color – คือ การพ่นสีตัวถังแบบทั่วไป มีต้นทุนไม่แพง เนื้อสีจะมันวาวในระดับหนึ่ง แต่ก็ไม่สะท้อน ออกเรียบๆ ทึบๆ โดยพ่นสีเพียงแค่ชั้นเดียว มักนิยมในรถรุ่นพื้นฐาน หรือรถกระบะส่งของ เป็นต้น
2. Metallic Color – เป็นสีผสมผงโลหะ ที่เรียกว่า Metallic ปกติเเล้วตัวสีไม่มีความเงางาม แต่จะพ่นแล็กเกอร์เคลือบอีกหนึ่งชั้น เพื่อให้เกิดความเงางาม แวววาว ดูสีมีเม็ดประกาย และป้องกันผงโลหะเหล่านั้นหลุดร่อน
3. Pearl Color – มีขั้นตอนการพ่นสีหลายชั้น เช่น สีขาวมุก สีดำมุก ก็ต้องพ่นสีขาวธรรมดาก่อน แล้วเคลือบเงาด้วยการพ่นสีเมทัลลิก ทับเนื้อสีขาว ซึ่งอาจจะต้องพ่นกันหลายครั้งเพื่อให้เกิดประกายมุก แวววาว ซึ่งจะต่างจากสีอื่นที่สามารถผสมสี แล้วพ่นทีเดียวได้เลย แล้วจึงค่อยพ่นสีเคลือบเงาทับเป็นขั้นตอนสุดท้ายจนเงางามเวลาสะท้อนเเสงเกิดประกายมุก
ในบ้านเรา ผมจำได้ว่ารถสีขาวมุก เริ่มบูมแรกๆ ในช่วงเมื่อสิบกว่าปีที่แล้วที่ทาง Honda ทำ Honda Jazz (ฮอนด้า แจ๊ซ) ออกมาขายพร้อมกับสีขาวมุก และเป็นที่นิยมอย่างมาก จนรถยนต์หลายๆ ยี่ห้อ ต้องทำสีขาวมุกออกมาขายกันเป็นแถว เลยยิ่งทำให้รถสีขาวมุกได้รับความนิยม จนกลายเป็นสีมาตรฐานที่มีให้เลือกในรถหลายยี่ห้อจนถึงทุกวันนี้ และก็มีผู้คนนิยมจำนวนมาก แม้ว่าจะต้องจ่ายเงินเพิ่มจากปกติ 6,000 – 15,000 บาท ก็ตาม
แต่การใช้รถสีขาวมุกแล้ว การดูแลรักษารถที่ดีก็มีส่วนสำคัญในสีรถมีความสดใสยาวนาน วิธีง่ายๆ คือการล้างรถที่ถูกวิธี ไม่จอดรถตากแดดจัดๆ เป็นเวลานาน หรือจอดรถตากน้ำค้าง ตากฝน หรือใต้ต้นไม้ที่มีน้ำยาง เช่น มะม่วง แค่นี้สีรถของคุณ ไม่ว่าจะเป็นสีธรรมดา สีเมทัลลิก หรือสีมุก ก็พร้อมให้คนมาชื่นชมแล้วล่ะครับ

-------------------------
แหล่งที่มาบทความ :
https://th.carro.co/blog/why-pearl-color-expensive-more-other-colors/
ติดตามข่าวสารต่างๆ เกี่ยวกับรถยนต์ และรถมือสอง ได้ที่ :
https://th.carro.co/blog/
เคยสงสัยมั้ย? ทำไม “สีขาวมุก” หรือสีพิเศษบางสี ราคาถึงต้องเพิ่มแพงกว่า
ถ้าจะให้ย้อนกลับในอดีต “รถสีขาว” เป็นรถที่คนส่วนใหญ่มักไม่นิยมกัน เพราะจะมองเป็นรถบริษัท หรือรถสำหรับใช้งานในหน่วยงานต่างๆ อีกทั้งการดูแลรักษาที่ค่อนข้างยุ่งยาก มองเห็นคราบสกปรกได้ง่าย และสีขาวจะหมองไว เปลี่ยนสีไปเป็นออกเหลืองๆ บวกกับเวลาซ่อมสี จะสังเกตได้ง่ายว่าสีบนพื้นผิวรถไม่เท่ากัน จึงต้องจ่ายค่าทำสีมากกว่าเดิม คนจึงไม่นิยมกันเท่าไหร่
ผิดกับทางฝั่งญี่ปุ่น “รถสีขาว” ได้รับความนิยมอย่างสูงมาตั้งแต่ในอดีต ที่ภายหลังพัฒนาจากสีขาวธรรมดาๆ ให้มาเป็น “สีเมทัลลิค” (Metallic) หรือ “สีมุก” (Pearl) อีกด้วย ซึ่งเพิ่มความสวยงามกว่าเดิมเป็นเท่าตัว ดูมีเปล่งประกายเวลาสะท้อนกับแสงแดด
แต่วันนี้ MR.CARRO จะมาเล่าให้ฟัง ว่าทำไม “สีขาวมุก” หรือสีพิเศษบางสี ราคาถึงต้อง “จ่าย” เพิ่มแพงกว่า
กรรมวิธีการผลิตสีรถยนต์ โดยทั่วไปแล้วจะมีอยู่ 3 แบบ คือ
1. Solid Color – คือ การพ่นสีตัวถังแบบทั่วไป มีต้นทุนไม่แพง เนื้อสีจะมันวาวในระดับหนึ่ง แต่ก็ไม่สะท้อน ออกเรียบๆ ทึบๆ โดยพ่นสีเพียงแค่ชั้นเดียว มักนิยมในรถรุ่นพื้นฐาน หรือรถกระบะส่งของ เป็นต้น
2. Metallic Color – เป็นสีผสมผงโลหะ ที่เรียกว่า Metallic ปกติเเล้วตัวสีไม่มีความเงางาม แต่จะพ่นแล็กเกอร์เคลือบอีกหนึ่งชั้น เพื่อให้เกิดความเงางาม แวววาว ดูสีมีเม็ดประกาย และป้องกันผงโลหะเหล่านั้นหลุดร่อน
3. Pearl Color – มีขั้นตอนการพ่นสีหลายชั้น เช่น สีขาวมุก สีดำมุก ก็ต้องพ่นสีขาวธรรมดาก่อน แล้วเคลือบเงาด้วยการพ่นสีเมทัลลิก ทับเนื้อสีขาว ซึ่งอาจจะต้องพ่นกันหลายครั้งเพื่อให้เกิดประกายมุก แวววาว ซึ่งจะต่างจากสีอื่นที่สามารถผสมสี แล้วพ่นทีเดียวได้เลย แล้วจึงค่อยพ่นสีเคลือบเงาทับเป็นขั้นตอนสุดท้ายจนเงางามเวลาสะท้อนเเสงเกิดประกายมุก
ในบ้านเรา ผมจำได้ว่ารถสีขาวมุก เริ่มบูมแรกๆ ในช่วงเมื่อสิบกว่าปีที่แล้วที่ทาง Honda ทำ Honda Jazz (ฮอนด้า แจ๊ซ) ออกมาขายพร้อมกับสีขาวมุก และเป็นที่นิยมอย่างมาก จนรถยนต์หลายๆ ยี่ห้อ ต้องทำสีขาวมุกออกมาขายกันเป็นแถว เลยยิ่งทำให้รถสีขาวมุกได้รับความนิยม จนกลายเป็นสีมาตรฐานที่มีให้เลือกในรถหลายยี่ห้อจนถึงทุกวันนี้ และก็มีผู้คนนิยมจำนวนมาก แม้ว่าจะต้องจ่ายเงินเพิ่มจากปกติ 6,000 – 15,000 บาท ก็ตาม
แต่การใช้รถสีขาวมุกแล้ว การดูแลรักษารถที่ดีก็มีส่วนสำคัญในสีรถมีความสดใสยาวนาน วิธีง่ายๆ คือการล้างรถที่ถูกวิธี ไม่จอดรถตากแดดจัดๆ เป็นเวลานาน หรือจอดรถตากน้ำค้าง ตากฝน หรือใต้ต้นไม้ที่มีน้ำยาง เช่น มะม่วง แค่นี้สีรถของคุณ ไม่ว่าจะเป็นสีธรรมดา สีเมทัลลิก หรือสีมุก ก็พร้อมให้คนมาชื่นชมแล้วล่ะครับ
-------------------------
แหล่งที่มาบทความ : https://th.carro.co/blog/why-pearl-color-expensive-more-other-colors/
ติดตามข่าวสารต่างๆ เกี่ยวกับรถยนต์ และรถมือสอง ได้ที่ : https://th.carro.co/blog/