ทุกคนคะช่วงนี้ข้าวยากหมากแพง เป็นธรรมดาที่เราต้องหาสิ่งที่ดีและคุ้มค่าคุ้มราคาที่สุด วันนี้น้องเลยมาบอกต่อความสวยงามที่สามารถใช้แทนกันได้ โดยที่saveเงินในกระเป๋าตังได้สบายๆเลยค่ะ เราเป็นสาวออฟฟิศที่คลั่งเรื่องความสวยความงาม ลองมาแล้วทั้งของถูกและแพง จริงๆของถูกหลายตัวก็คุณภาพดีเลยนะคะ ก็เลยเป็น inspired มาทำกระทู้นี้ ใครเป็นสายเหนียวเหมือนน้องมามุงกันเลย หรือใครมีผลิตภัณฑ์ที่ dupe กันได้ก็ลองมาแลกเปลี่ยนกันได้เลยค่ะ
1. SK-II Pitera Essentials vs Hada Labo Anti-Aging Lotion
SK-II Pitera Essentials : พิเทร่าาาแค่ชื่อก็หรูหราแล้ว ความเก๋ของนางคือเป็นน้ำตบข้าวหมักจากญี่ปุ่น กรรมวิธีสุดอลังการ เนื้อผลิตภัณฑ์เป็นน้ำใสๆเลยค่ะ แต่สิ่งที่รับไม่ไหว คือกลิ่นของคุณป้าทาทีแทบอยากร้องไห้ ความรู้สึกหลังใช้ เราเฉยๆค่ะตัวนี้เรื่องซึมเข้าผิวก็ยกให้เค้าเลย ปล.แล้วแต่ผลลัพธ์ของแต่ละคนนะคะ แต่คุณแม่เราใช้แล้วปัง เนื้อเอสเซ้นท์กลิ่นไม่โอเคเท่าไหร่เลยไม่ค่อยชอบแถมแพงเอาเรื่องTT
Hada LaboAnti-Aging Lotion : ตัวนี้เป็นเนื้อครีมกึ่งเจลค่ะ แต่พอเอามาตบๆที่มือแล้วกลายเป็นเนื้อน้ำเลย กลิ่นเป็นแบบสไตล์ยาๆที่มาพร้อม ส่วนผสมเป็น 3D Hyaluronic Acid ชนิดพิเศษ ด้วยส่วนผสมจาก Retinol (Vitamin A)ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในชั้นผิว เพื่อผิวเนียนนุ่ม ตึงกระชับ0
ตบซึมเข้าผิวเลยค่ะไม่ทิ้งความมันเอาไว้ ความรู้สึกหลังใช้คือแฮปปี้ ริ้วรอยหางตาเล็กๆของเรามันตื้นขึ้นค่ะ กับราคาที่สบายกระเป๋ากว่าคุณแม่เจี๊ยบถือว่าผ่าน
สรุป
Texture : SK-II เป็นน้ำเหลวๆเลยค่ะ ส่วน Hada เป็น เนื้อเจลตบเเล้วเป็นน้ำ
กลิ่น : SK-II กลิ่นข้าวหมักสุดๆ Hadad labo กลิ่นเหมือนยาเลยไม่ปลื้มกลิ่นทั้งคู่เลย
การใช้งาน : ใช้เป็นน้ำตบเหมือนกันเลยค่ะสองตัวนี้ เป็น First Skin care ที่ทั้งเช้าและก่อนนอน
ผลลัพธ์ : เห็นผลในเรื่องของการลดริ้วรอยก่อนวัยทั้งสองตัวค่ะ แต่ถ้าเรื่องความลักส์ชูส์เราให้ SK-II ค่ะ ส่วนผสมต่างๆค่อนข้างพรีเมี่ยมค่ะใครสามารถทนกลิ่นได้ผลลัพธ์หลังใช้จะปังมาก แต่ถ้าไม่ไหว Hada labo ถือเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกเลย
ความเหมือน : น้องสองคนนี้เป็นน้ำตบสัญชาติญี่ปุ่น ที่ช่วยเรื่องริ้วรอยเหมือนกัน
ความต่าง : ต่างกันที่เทกเจอร์ค่ะแล้วก็สีด้วย SK-II เป็นน้ำใจแจ๋วเลย Hada เป็นกึ่งๆครีม
ให้คะแนนความเหมือน : 4/5 ค่ะ
2. Kiehl's Powerful-Strength Line-Reducing Concentrate vs & Cathy Doll Whitamin C Spot Serum Cathy doll
Kiehl's Powerful-Strength Line-Reducing Concentrate : เนื้อครีมสีเหลืองอ่อนๆ เมื่อเกลี่ยแล้วเป็นสัมผัสที่แปลกมากค่ะ มันจะมีความเคลือบผิว ตัวนี้เค้าเคลมไว้ว่ามีวิตามินซี 12.5% + hyaluronic ส่วนเรื่องของกลิ่นนั้นหอมค่ะ เป็นกลิ่นออกแนวส้มๆ เนื้อครีมค่อนข้างเข้มข้นจนแอบหนัก ทาแล้วหน้ามันไวค่ะ แต่ถ้าสาวหน้าแห้งอาจจะชอบนะ แต่ทาก่อนนอนแล้วตื่นมาหน้าดูใส ไม่โทรมจริงนะ
Cathy doll Whitamin C Spot Serum : ตัวนี้ตอนแรกเราไปเจอนางที่เซเว่นค่ะ เป็นแบบครีมซองเลยซื้อมาลองใช้ดู สรุปชอบมากเพราะด้วยความที่เทกเจอร์ของนางเป็นเซรั่มวิตามินซีเข้มข้น มีส่วนช่วยในการลดเลือนจุดด่างดำ รอยดำ รอยแดงที่เกิดจากสิว ฝ้า กระ มีนวัตกรรม Encapsulation เพื่อให้ Vit C สดใหม่ และซึมเข้าผิวอย่างล้ำลึก นางเป็นเซรั่มที่เข้มข้นแต่ทาแล้วไม่เหนียวเลย ความรู้สึกหลังใช้ ดีงามอ่ะ ประมาณ2อาทิตย์รอยสิวของเราจางไปจนแทบจะไม่มีเลย และหน้ากระจ่างใส่ขึ้นปัจจุบันเลยไปซื้อแบบขวดใหญ่ที่วัตสันมา และขวดของเค้ามีความพิเศษซึ่งเป็นนวัตกรรมใหม่ที่เป็นขวดที่มี UV Resistant สามารถป้องกันแสง UV ได้ บอกเลยว่าใช้ต่อยาวๆเลยงับ
สรุป
Texture : Kiehl's จะเป็นเนื้อครีมเข้มข้น ส่วน Cathy doll จะเป็นเนื้อเซรั่มใสๆ
กลิ่น : กลิ่นคล้ายกันค่ะเป็นกลิ่นเปรี้ยวๆส้มๆมะนาว เราชอบกลิ่นของทั้งสองตัวเลย Kiehl's จะไปทางเลม่อนๆ ส่วน Cathy doll จะออกแนวส้มๆ
การใช้งาน : Kiehl's เป็นตัวทากลางวันค่ะแต่เราเอามาทากลางคืน เพราะเนื้อครีมเค้าค่อนข้างมันค่ะ ส่วน Cathy doll เป็นเซรั่มไว้สำหรับทาตอนกลางคืนนะคะ แต่เราใช้ทั้งกลางวันกลางคืนเลย
ผลลัพธ์ : ช่วยเรื่องปรับผิวขาว กระจ่างใส ส่วนตัวชอบตัว Cathy doll มากกว่าเพราะทาแล้วสบายผิวแล้วหน้าไม่ไวต่อแดด ใช้แล้วผิวหน้าเราไม่มันขึ้นด้วย
ความเหมือน : เป็นสกินแคร์ที่ช่วยเรื่องผิวกระจ่างใส ลดจุดด่างดำ ลดความหมองคล้ำที่ใบหน้า
ความต่าง : ต่างกันที่เทกเจอร์ค่ะ Kiehl's จะเป็นเนื้อครีมเข้มข้น ส่วนCathy doll จะเป็นเนื้อเซรั่มบางเบา ซึมง่ายกว่า
ให้คะแนนความเหมือน : 5/5 ค่ะ
3. Eucerin Pro Acne Solution Cleansing Gel vs Clean and Clear essentials foaming facial wash
Eucerin : เนื้อเจลใสๆ ไม่มีกลิ่น เมื่อนำมาล้างหน้าแทบจะไม่มีฟองเลย หลังล้างหน้ายังคงหลงเหลือความชุ่มชื้นค่ะ เค้าเคลมไว้ว่าตัวนี้จะเข้าไปสลายความมันอุดตัน แต่ส่วนตัวเราไม่ชอบฟินิชเวลาล้างหน้าเสร็จมันลื่นๆไปจนคิดว่าเอ๊?สะอาดมั้ยน้าา? เราว่าเหมาะสำหรับผิวบอบบางแพ้ง่าย ไม่ทำให้เกิดการอุดตัน
Clean and clear : เนื้อเจลใส มีกลิ่นน้ำหอมค่อนข้างแรง เวลาถูกับผิวหน้าเกิดฟองค่ะ แต่ไม่มาก หลังล้างหน้าผิวเกลี้ยงดี ตัวนี้มีสารซาลิไซลิกแอซิด ช่วยจัดการสิวและสิวเสี้ยน ไม่หลงเหลือความหนึบ แต่ยังคงให้ความชุ่มชื้น เรารู้สึกว่าตัวนี้ล้างแล้วสะอาดกว่า
สรุป
Texture : เนื้อเจลทั้งคู่ค่ะ Eucerin ฟองน้อย Clean and clear ฟองเยอะ
กลิ่น : Eucerin กลิ่นอ่อนๆค่ะ Clean and clear กลิ่นน้ำหอมแรงมาก
การใช้งาน : ใช้แบบเดียวกันเลยค่ะใช้ล้างหน้าตามปกติเลย ใช้ได้ทุกวันไม่ว่าจะเป็นวันที่แต่งหน้าหรือไม่แต่ง
ผลลัพธ์ : หลังการใช้งานตัวยูเซอรีน ใบหน้าจะลื่นๆ ส่วนตัวClean and clear หลังล้างหน้าผิวจะไม่ทิ้งความมันไว้เลย สบายผิวดีค่ะ
ความเหมือน : ตัวนี้เนื้อเจลคล้ายกันเลยค่ะเเต่คนละสี เราแนะนำว่าคนหน้ามันให้ใช้ Clean and clear ส่วนใครหน้าแห้งให้ใช้ Eucerin จะตอบโจทย์และตรงปัญหาจริงๆ
ความต่าง : ปริมาณค่ะ ถึงEucerinจะแพงแต่ปริมาณค่อนข้างเยอะเลยแล้วก็ไม่ต้องใช้เยอะเท่าตัวClean and clear
ให้คะแนนความเหมือน : 3/5 ค่ะ
4. BIOTHERM Life Plankton Essence vs Royal beauty plankton babyface gel
BIOTHERM Life Plankton Essence : ตัวนี้เราก็ยกให้เป็นตำนานอีกเหมือนกันค่ะ แต่ๆๆทุกคนคงรู้ชื่อเสียงเรียงนามในด้านกลิ่นใช่มั้ยคะ อือหือออยากจะทรุดลงกับพื้น แต่เรื่องเนื้อผลิตภัณฑ์เรายกนิ้วให้เลยค่ะซึมง่ายตัวนี้มี Life Plankton 5%ทางแบรนด์เคลมไว้เลยนะคะว่ามีเยอะที่สุดตั้งแต่ทำมา OMG เราเอาไปแช่ตู้เย็นด้วย ทาแล้วรู้สึกเฟรชดี หน้าแข็งแรงขึ้นค่ะรู้สึกได้เลย เราเชื่อว่าแพลงตอนน้องมีอยู่จริง แฮปปรี้มาก
Royal beauty plankton babyface gel : น้องคนนี้เป็นเจลค่าา เจลแพลงตอนเนื้อสีฟ้าอ่อนๆมีกลิ่นน้ำหอมน้าา ทาไปแล้วซึมเข้าผิวดีค่ะเย็นๆ มีวิตามิน โปรตีน อะมิโนแอซิด โอเมก้า3 และแร่ธาตุต่าง ๆ ที่จำเป็นต่อการฟื้นฟูของเซลล์ผิวที่เสื่อมสภาพ ผลลัพธ์หลังการใช้งานตัวนี้ไม่ได้ช่วยให้เราหน้าแข็งแรงเท่าไหร่แต่ไปช่วยด้านผิวชุ่มชื้นแทน เอ๊ะยังไง แต่ด้วยราคาถูกแล้วก็เห็นผลลัพธ์ เราก็ให้น้องผ่านค่าา
สรุป
Texture : BIOTHERM เป็นเนื้อน้ำตบค่ะเหลวๆ ส่วนRoyal beautyเป็นเนื้อเจลๆเข้มข้นเหมือนครีม
กลิ่น : อืมหืมมBIOTHERM ยืนหนึ่งค่ะ ยืนหนึ่งเรื่องความแรง55 เราทนไม่ได้ ชอบกลิ่นของRoyal beauty กลิ่นหอมเฟรชๆไม่แรงเกินไป
การใช้งาน : จริงๆตัวBIOTHERMเค้าให้ใช้เป็นสกินแคร์ได้เลยนะคะไม่ใช่น้ำตบถึงเทกเจอร์นางจะเหลวก็ตาม Royal beauty ก็ทาเป็นเซรั่มเลยค่ะ
ผลลัพธ์ : ตัวนี้ดีทั้งคู่ค่ะ ให้ผลเรื่องผิวชุ่มชื้น ผิวไม่แพ้ง่าย ช่วงไหนอู้ฟู้หน่อยก็ไบโอเติมช่วงไหนขัดสนก็Royal beauty แต่หลักๆจะหยิบRoyal beautyไปด้วยบ่อยเพราะเราอยู่หลายบ้านพกพาง่ายดี
ความเหมือน : ฟินิชหลังใช้ค่ะ ตัวRoyal beautyให้ความชุ่มชื่นได้ดีพอๆกับBIOTHERM พร้อมกับมีแพลงตอนเหมือนกันถึงRoyal beautyจะใส่ให้น้อย
แต่ก็ถือว่าโอเคอยู่เลย
ความต่าง : เทกเจอร์ค่ะที่ต่างกันแบบเห็นได้ชัด BIOTHERM เป็นน้ำ ส่วนRoyal beautyเป็นเจล
ให้คะแนนความเหมือน : 3/5
5. La Roche-Posay Hyalu B5 Serum vs เซรั่มไฮยาลูรอน SOS
La Roche-Posay Hyalu B5 Serum : เนื้อเป็นเจลที่ค่อนข้างเข้มข้นเลยค่ะ กลิ่นหอมอ่อนๆดูแพง ตัวนี้เป็นไฮยารูลอนในรูปแบบเซรั่มเนื้อเจลที่เราชอบเลยค่ะ แถมยังมี Vitamin B5 ด้วย ผลลัพธ์หลังการใช้งานก็คือผิวชุ่มชื้นเด้งดึ๋งมากก ใช้ประจำเลย
เซรั่มไฮยาลูรอนSOS : ตัวนี้มาเป็นหลอดดรอปขนาดจิ๋วค่ะ แต่เค้าเคลมไว้ว่ามีไฮยารูลอนถึง3ชนิด เนื้อเป็นน้ำที่ยังมีเทกเจอร์ค่ะ แต่ไม่ถึงขนาดเจล เกลี่ยง่ายจริง ซึมดีมาก ผลลัพธ์หลังใช้งาน ผิวดี๊ดีชุ่มชื้น ตื่นมาแล้วหน้าอิ่มฟู ตัวนี้เราก็รัก ยิ่งเอามาผสมกับรองพื้นยิ่งปัง ได้ฟินิชผิวกระจกลูกคุณสุดๆ เป็นอีกตัวที่หมดแล้วจะซื้อใหม่เพราะทาได้หลายแบบดี
สรุป
Texture : เป็นเนื้อเซรั่มกึ่งเจลใสๆทั้งคู่ค่ะ แต่ตัวลาโรชจะมีความข้นกว่านิดนึง
กลิ่น : ตัวLa Roche หอมแบบผู้ดี๊ผู้ดี กลิ่นเฟรชๆดูแพง เซรั่มไฮยาลูรอนSOS กลิ่นออกแนวยาๆค่ะ ไม่มีกลิ่นหอมของน้ำหอม
การใช้งาน : จริงๆใช้เป็นเซรั่มปกติเหมือนกันได้ค่ะ แต่ตัว SOS จะพิเศษที่เอามาทาผสมกับสกินแคร์หรือเมคอัพได้ดีงามม
ผลลัพธ์ : สองตัวนี้ตัดใจไม่ลงเหมือนกันค่ะ มันดีคนละแบบ ตัวลาโรชใช้แล้วรู้สึกปลอดภัยเพราะเป็น Drug store ส่วนตัว SOS ก็ดีงามให้ความชุ่มชื้นได้ดี
ความเหมือน : เทกเจอร์นี่มองผ่านๆก็ไม่รู้ว่าต่างกัน ผลลัพธ์ดี๊ดีเหมือนกัน หน้าฟูชุ่มชื้น
ความต่าง : ตัวนี้แทบไม่ต่างกันเลยค่ะ มีแค่วิธีการใช้งาน เพราะตัว Sos สามารถเอามาใช้กับสกินแคร์อื่นๆได้
ให้คะแนนความเหมือน : 5/5 ไปเลยย
เป็นยังไงบ้างคะ ที่วันนี้เราเอาไอเท็มเด็ดๆมาเเชร์หวังว่าสาวๆหนุ่มๆจะชอบกันนะคะ แต่เราขอบอกไว้ก่อนเลยนะว่า ของที่เราเลือกมาราคามันค่อนข้างที่จะแตกต่างกันเยอะพอสมควร ของราคาแพงมันย่อมมีสารสกัดที่พรีเมี่ยมกว่าอยู่แล้ว แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น เราเข้าใจทุกคนที่อยากเลือกของที่ถูกและดีนะคะ ที่เราเลือกมานั้นเราลองเองกับตัวแล้วว่าเวิร์คของดีไม่จำเป็นต้องแพงเนอะๆ ถ้าใครชอบก็คอมเม้นหรือแชร์กันได้เลยน้าาาา เจอกันใหม่ค่าาา
[CR] รวม Skin care ถูกและดีฝาแฝดแบรนด์ดังที่ใช้แล้วปังสุดๆ
Hada LaboAnti-Aging Lotion : ตัวนี้เป็นเนื้อครีมกึ่งเจลค่ะ แต่พอเอามาตบๆที่มือแล้วกลายเป็นเนื้อน้ำเลย กลิ่นเป็นแบบสไตล์ยาๆที่มาพร้อม ส่วนผสมเป็น 3D Hyaluronic Acid ชนิดพิเศษ ด้วยส่วนผสมจาก Retinol (Vitamin A)ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในชั้นผิว เพื่อผิวเนียนนุ่ม ตึงกระชับ0
ตบซึมเข้าผิวเลยค่ะไม่ทิ้งความมันเอาไว้ ความรู้สึกหลังใช้คือแฮปปี้ ริ้วรอยหางตาเล็กๆของเรามันตื้นขึ้นค่ะ กับราคาที่สบายกระเป๋ากว่าคุณแม่เจี๊ยบถือว่าผ่าน
สรุป
Texture : SK-II เป็นน้ำเหลวๆเลยค่ะ ส่วน Hada เป็น เนื้อเจลตบเเล้วเป็นน้ำ
กลิ่น : SK-II กลิ่นข้าวหมักสุดๆ Hadad labo กลิ่นเหมือนยาเลยไม่ปลื้มกลิ่นทั้งคู่เลย
การใช้งาน : ใช้เป็นน้ำตบเหมือนกันเลยค่ะสองตัวนี้ เป็น First Skin care ที่ทั้งเช้าและก่อนนอน
ผลลัพธ์ : เห็นผลในเรื่องของการลดริ้วรอยก่อนวัยทั้งสองตัวค่ะ แต่ถ้าเรื่องความลักส์ชูส์เราให้ SK-II ค่ะ ส่วนผสมต่างๆค่อนข้างพรีเมี่ยมค่ะใครสามารถทนกลิ่นได้ผลลัพธ์หลังใช้จะปังมาก แต่ถ้าไม่ไหว Hada labo ถือเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกเลย
ความเหมือน : น้องสองคนนี้เป็นน้ำตบสัญชาติญี่ปุ่น ที่ช่วยเรื่องริ้วรอยเหมือนกัน
ความต่าง : ต่างกันที่เทกเจอร์ค่ะแล้วก็สีด้วย SK-II เป็นน้ำใจแจ๋วเลย Hada เป็นกึ่งๆครีม
ให้คะแนนความเหมือน : 4/5 ค่ะ
2. Kiehl's Powerful-Strength Line-Reducing Concentrate vs & Cathy Doll Whitamin C Spot Serum Cathy doll
Cathy doll Whitamin C Spot Serum : ตัวนี้ตอนแรกเราไปเจอนางที่เซเว่นค่ะ เป็นแบบครีมซองเลยซื้อมาลองใช้ดู สรุปชอบมากเพราะด้วยความที่เทกเจอร์ของนางเป็นเซรั่มวิตามินซีเข้มข้น มีส่วนช่วยในการลดเลือนจุดด่างดำ รอยดำ รอยแดงที่เกิดจากสิว ฝ้า กระ มีนวัตกรรม Encapsulation เพื่อให้ Vit C สดใหม่ และซึมเข้าผิวอย่างล้ำลึก นางเป็นเซรั่มที่เข้มข้นแต่ทาแล้วไม่เหนียวเลย ความรู้สึกหลังใช้ ดีงามอ่ะ ประมาณ2อาทิตย์รอยสิวของเราจางไปจนแทบจะไม่มีเลย และหน้ากระจ่างใส่ขึ้นปัจจุบันเลยไปซื้อแบบขวดใหญ่ที่วัตสันมา และขวดของเค้ามีความพิเศษซึ่งเป็นนวัตกรรมใหม่ที่เป็นขวดที่มี UV Resistant สามารถป้องกันแสง UV ได้ บอกเลยว่าใช้ต่อยาวๆเลยงับ
สรุป
Texture : Kiehl's จะเป็นเนื้อครีมเข้มข้น ส่วน Cathy doll จะเป็นเนื้อเซรั่มใสๆ
กลิ่น : กลิ่นคล้ายกันค่ะเป็นกลิ่นเปรี้ยวๆส้มๆมะนาว เราชอบกลิ่นของทั้งสองตัวเลย Kiehl's จะไปทางเลม่อนๆ ส่วน Cathy doll จะออกแนวส้มๆ
การใช้งาน : Kiehl's เป็นตัวทากลางวันค่ะแต่เราเอามาทากลางคืน เพราะเนื้อครีมเค้าค่อนข้างมันค่ะ ส่วน Cathy doll เป็นเซรั่มไว้สำหรับทาตอนกลางคืนนะคะ แต่เราใช้ทั้งกลางวันกลางคืนเลย
ผลลัพธ์ : ช่วยเรื่องปรับผิวขาว กระจ่างใส ส่วนตัวชอบตัว Cathy doll มากกว่าเพราะทาแล้วสบายผิวแล้วหน้าไม่ไวต่อแดด ใช้แล้วผิวหน้าเราไม่มันขึ้นด้วย
ความเหมือน : เป็นสกินแคร์ที่ช่วยเรื่องผิวกระจ่างใส ลดจุดด่างดำ ลดความหมองคล้ำที่ใบหน้า
ความต่าง : ต่างกันที่เทกเจอร์ค่ะ Kiehl's จะเป็นเนื้อครีมเข้มข้น ส่วนCathy doll จะเป็นเนื้อเซรั่มบางเบา ซึมง่ายกว่า
ให้คะแนนความเหมือน : 5/5 ค่ะ
Clean and clear : เนื้อเจลใส มีกลิ่นน้ำหอมค่อนข้างแรง เวลาถูกับผิวหน้าเกิดฟองค่ะ แต่ไม่มาก หลังล้างหน้าผิวเกลี้ยงดี ตัวนี้มีสารซาลิไซลิกแอซิด ช่วยจัดการสิวและสิวเสี้ยน ไม่หลงเหลือความหนึบ แต่ยังคงให้ความชุ่มชื้น เรารู้สึกว่าตัวนี้ล้างแล้วสะอาดกว่า
สรุป
Texture : เนื้อเจลทั้งคู่ค่ะ Eucerin ฟองน้อย Clean and clear ฟองเยอะ
กลิ่น : Eucerin กลิ่นอ่อนๆค่ะ Clean and clear กลิ่นน้ำหอมแรงมาก
การใช้งาน : ใช้แบบเดียวกันเลยค่ะใช้ล้างหน้าตามปกติเลย ใช้ได้ทุกวันไม่ว่าจะเป็นวันที่แต่งหน้าหรือไม่แต่ง
ผลลัพธ์ : หลังการใช้งานตัวยูเซอรีน ใบหน้าจะลื่นๆ ส่วนตัวClean and clear หลังล้างหน้าผิวจะไม่ทิ้งความมันไว้เลย สบายผิวดีค่ะ
ความเหมือน : ตัวนี้เนื้อเจลคล้ายกันเลยค่ะเเต่คนละสี เราแนะนำว่าคนหน้ามันให้ใช้ Clean and clear ส่วนใครหน้าแห้งให้ใช้ Eucerin จะตอบโจทย์และตรงปัญหาจริงๆ
ความต่าง : ปริมาณค่ะ ถึงEucerinจะแพงแต่ปริมาณค่อนข้างเยอะเลยแล้วก็ไม่ต้องใช้เยอะเท่าตัวClean and clear
ให้คะแนนความเหมือน : 3/5 ค่ะ
4. BIOTHERM Life Plankton Essence vs Royal beauty plankton babyface gel
Royal beauty plankton babyface gel : น้องคนนี้เป็นเจลค่าา เจลแพลงตอนเนื้อสีฟ้าอ่อนๆมีกลิ่นน้ำหอมน้าา ทาไปแล้วซึมเข้าผิวดีค่ะเย็นๆ มีวิตามิน โปรตีน อะมิโนแอซิด โอเมก้า3 และแร่ธาตุต่าง ๆ ที่จำเป็นต่อการฟื้นฟูของเซลล์ผิวที่เสื่อมสภาพ ผลลัพธ์หลังการใช้งานตัวนี้ไม่ได้ช่วยให้เราหน้าแข็งแรงเท่าไหร่แต่ไปช่วยด้านผิวชุ่มชื้นแทน เอ๊ะยังไง แต่ด้วยราคาถูกแล้วก็เห็นผลลัพธ์ เราก็ให้น้องผ่านค่าา
สรุป
Texture : BIOTHERM เป็นเนื้อน้ำตบค่ะเหลวๆ ส่วนRoyal beautyเป็นเนื้อเจลๆเข้มข้นเหมือนครีม
กลิ่น : อืมหืมมBIOTHERM ยืนหนึ่งค่ะ ยืนหนึ่งเรื่องความแรง55 เราทนไม่ได้ ชอบกลิ่นของRoyal beauty กลิ่นหอมเฟรชๆไม่แรงเกินไป
การใช้งาน : จริงๆตัวBIOTHERMเค้าให้ใช้เป็นสกินแคร์ได้เลยนะคะไม่ใช่น้ำตบถึงเทกเจอร์นางจะเหลวก็ตาม Royal beauty ก็ทาเป็นเซรั่มเลยค่ะ
ผลลัพธ์ : ตัวนี้ดีทั้งคู่ค่ะ ให้ผลเรื่องผิวชุ่มชื้น ผิวไม่แพ้ง่าย ช่วงไหนอู้ฟู้หน่อยก็ไบโอเติมช่วงไหนขัดสนก็Royal beauty แต่หลักๆจะหยิบRoyal beautyไปด้วยบ่อยเพราะเราอยู่หลายบ้านพกพาง่ายดี
ความเหมือน : ฟินิชหลังใช้ค่ะ ตัวRoyal beautyให้ความชุ่มชื่นได้ดีพอๆกับBIOTHERM พร้อมกับมีแพลงตอนเหมือนกันถึงRoyal beautyจะใส่ให้น้อยแต่ก็ถือว่าโอเคอยู่เลย
ความต่าง : เทกเจอร์ค่ะที่ต่างกันแบบเห็นได้ชัด BIOTHERM เป็นน้ำ ส่วนRoyal beautyเป็นเจล
ให้คะแนนความเหมือน : 3/5
5. La Roche-Posay Hyalu B5 Serum vs เซรั่มไฮยาลูรอน SOS
La Roche-Posay Hyalu B5 Serum : เนื้อเป็นเจลที่ค่อนข้างเข้มข้นเลยค่ะ กลิ่นหอมอ่อนๆดูแพง ตัวนี้เป็นไฮยารูลอนในรูปแบบเซรั่มเนื้อเจลที่เราชอบเลยค่ะ แถมยังมี Vitamin B5 ด้วย ผลลัพธ์หลังการใช้งานก็คือผิวชุ่มชื้นเด้งดึ๋งมากก ใช้ประจำเลย
เซรั่มไฮยาลูรอนSOS : ตัวนี้มาเป็นหลอดดรอปขนาดจิ๋วค่ะ แต่เค้าเคลมไว้ว่ามีไฮยารูลอนถึง3ชนิด เนื้อเป็นน้ำที่ยังมีเทกเจอร์ค่ะ แต่ไม่ถึงขนาดเจล เกลี่ยง่ายจริง ซึมดีมาก ผลลัพธ์หลังใช้งาน ผิวดี๊ดีชุ่มชื้น ตื่นมาแล้วหน้าอิ่มฟู ตัวนี้เราก็รัก ยิ่งเอามาผสมกับรองพื้นยิ่งปัง ได้ฟินิชผิวกระจกลูกคุณสุดๆ เป็นอีกตัวที่หมดแล้วจะซื้อใหม่เพราะทาได้หลายแบบดี
สรุป
Texture : เป็นเนื้อเซรั่มกึ่งเจลใสๆทั้งคู่ค่ะ แต่ตัวลาโรชจะมีความข้นกว่านิดนึง
กลิ่น : ตัวLa Roche หอมแบบผู้ดี๊ผู้ดี กลิ่นเฟรชๆดูแพง เซรั่มไฮยาลูรอนSOS กลิ่นออกแนวยาๆค่ะ ไม่มีกลิ่นหอมของน้ำหอม
การใช้งาน : จริงๆใช้เป็นเซรั่มปกติเหมือนกันได้ค่ะ แต่ตัว SOS จะพิเศษที่เอามาทาผสมกับสกินแคร์หรือเมคอัพได้ดีงามม
ผลลัพธ์ : สองตัวนี้ตัดใจไม่ลงเหมือนกันค่ะ มันดีคนละแบบ ตัวลาโรชใช้แล้วรู้สึกปลอดภัยเพราะเป็น Drug store ส่วนตัว SOS ก็ดีงามให้ความชุ่มชื้นได้ดี
ความเหมือน : เทกเจอร์นี่มองผ่านๆก็ไม่รู้ว่าต่างกัน ผลลัพธ์ดี๊ดีเหมือนกัน หน้าฟูชุ่มชื้น
ความต่าง : ตัวนี้แทบไม่ต่างกันเลยค่ะ มีแค่วิธีการใช้งาน เพราะตัว Sos สามารถเอามาใช้กับสกินแคร์อื่นๆได้
ให้คะแนนความเหมือน : 5/5 ไปเลยย
เป็นยังไงบ้างคะ ที่วันนี้เราเอาไอเท็มเด็ดๆมาเเชร์หวังว่าสาวๆหนุ่มๆจะชอบกันนะคะ แต่เราขอบอกไว้ก่อนเลยนะว่า ของที่เราเลือกมาราคามันค่อนข้างที่จะแตกต่างกันเยอะพอสมควร ของราคาแพงมันย่อมมีสารสกัดที่พรีเมี่ยมกว่าอยู่แล้ว แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น เราเข้าใจทุกคนที่อยากเลือกของที่ถูกและดีนะคะ ที่เราเลือกมานั้นเราลองเองกับตัวแล้วว่าเวิร์คของดีไม่จำเป็นต้องแพงเนอะๆ ถ้าใครชอบก็คอมเม้นหรือแชร์กันได้เลยน้าาาา เจอกันใหม่ค่าาา
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้