อยากแชร์ประสบการณ์ การป่วยเป็นไบโพล่า ตั้งแต่ตอนเรียน มหาลัย ปี 3 (สวรรค์เป็นใจให้เป็นตอนเรียนใกล้จบ 555)
จนตอนนี้อายุ 24 ปีแล้ว ก็ยังอยู่กับโรคนี้แต่ไม่ได้กำเริบเอาไม่อยู่แบบใช้ชีวิตประจำวันไม่ได้
ทุกวันนี้รู้สึกปกติมีความสุขบ้าง ความเศร้าบ้าง ตามสถานการณ์เหมือนคนปกติ
ทำงาน และ ทำกิจวัตรประจำวันได้ทุกอย่างเหมือนก่อนเป็นไบโพล่า
ที่อยากมาเล่าประสบการณ์เพราะอยากเป็นกำลังใจให้คนที่กำลังเป็นโรคนี้อยู่
ต่อสู้กับไบโพล่า ขอให้เชื่อว่าเรามีโอกาสกลับมาเป็นปกติได้แน่นอน
ตอนแรกที่มีอาการ ไม่รู้ตัวว่าตัวเองเป็นโรคอะไร
ตอนที่เป็นจำได้ว่ามีอาการปวดหัวหนักมากบวกเริ่มมีความคิดผิดปกติ(ซึ่งตอนนั้นคิดว่าเป็นเรื่องจริง)คิดว่าจะมีคนมาทำร้าย
ช่วงนั้นสอบ FINAL ปี 3 เทอม 1 ก็เลยไปซื้อยาแก้ปวดหัวทั้งพารามากินไม่หาย
ก็เลยไปร้านขายยานอกมหาลัยเค้าก็แนะนำGOFEN มา จำได้ว่าพอกินไป หลายเม็ดอยู่ เสร็จตื่นมาเบลออออมาก
แต่หอบหิ้วพาร่างกายตัวเองไปสอบวิชาสุดท้ายได้สำเร็จ
พอส่งข้อสอบเสร็จก็ยืนร้องไห้หน้าห้องสอบ แล้วก็กลับมานอนต่อที่ห้อง
คราวนี้แหละมาทั้งเสียง ได้ยินเสียงผู้ชายแต่ไม่เห็นตัว พูดอยู่ข้างหู เราก็เข้าใจไปว่าเป็นเรื่องจริงมีคนจะมาทำร้ายจริงๆ
(ตอนนี้คือขำตอนนั้นมากว่าอยู่มาได้ไง ทำไมไม่ยอมไปหาหมอหาพระ)
สุดท้ายเดินร้องไห้ไปห้องสอบของสาขาอื่น จ
นอาจารย์ที่คุมสอบเรียกรถพยาบาลของมหาลัยมารับไปห้องพยาบาล
พอตื่นมาแม่ก็มารอที่หอพักแล้วสุดท้ายก็กลับบ้าน
แต่ไม่ได้เล่าเรื่องนี้ให้ใครฟังแต่ร้องไห้ตลอดทาง
กลับมาบ้านก็ร้องไห้(แถวบ้านมีร้านซ่อมมอเตอร์ไซค์ เค้าเบิ้ลรถ ได้ยินเสียงท่อก็จะยิ่งร้อง เพราะตอนนั้นคิดโยงเรื่องนู้นนี้ไปทั่ว)
ก็ดิ่งซึมเศร้าไปประมาณ 2 เดือน เกือบ 3 เดือน
จนเปิดเทอม ปี 3 เทอม 2
ทีนี้แหละจ้า แมเนีย มาเต็ม ไม่เรียนหนังสือ
ไม่หลับไม่นอน คิดว่าตัวเองสวยแต่งหน้าแต่งตา ช็อปปิ้งเสื้อผ้าใหม่หมด
นั่งนิ่งๆไม่ได้เลย รวมถึงเห็นภาพคนอยู่ตลอดเวลา
ขับรถออกไปดูหนังรอบดึกคนเดียว แต่ก่อนแค่ขับออกไปนอกรั้วมหาลัยก็แทบกลั้นใจตายแล้ว แถวมหาลับมีแต่สิบล้อ
เป็นอย่างนี้อยู่ 3 เดือน
และะะแน่นอนนค่ะ สอบ midterm ไม่ได้ฝนข้อสอบ ปล่อยกระดาษเปล่าไปหลายวิชาไปเลยค่าา
และแล้วสวรรค์ก็เป็นใจ ในตอนสอบ มิดเทอม ที่เหลืออีกแค่สองตัวก็จะเสร็จสิ้นฤดูกาลสอบนั้น
กลับมีอาการซึมเศร้าทำร้ายตัวเองขึ้นมา
วันนั้นยังจำได้ดี
เราเรียนมหาลัยต่างจังหวัด ส่วนบ้านเราอยู่กทม
วันนั้นสอบเสร็จส่งกระดาษที่พอจะเขียนได้ไปปุ๊บก็
นั่งรถตู้กลับบ้านทันที เราร้องไห้ตลอดทาง คิดว่า
ตัวเองจะต้องตายเท่านั้น ไม่อยากมีลมหายใจอยู่แล้ว
ตลอดทางที่นั่งอยู่บนรถตู้
คิดแต่ว่าจะทำยังไงดี
ไม่อยากตื่นมามีชีวิตอยู่อีกแล้ว
ขอหลับไปเลยได้ไหม
จนถึงบ้านเราร้องไห้ต่อหน้าพ่อแม่
จนพ่อบอกว่าจะพาไปหาหมอ
ให้กลับไปทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด
ไปสอบอีก 2 วิชาสุดท้ายให้จบ
แล้วจะพาไปหาหมอ
ไปคุยกับหมอว่าเกิดอะไรขึ้น ทั้งหมดเกิดจากอะไร
คุณหมอเค้าช่วยได้
เราก็เลยได้ไปหาหมอหลังสอบเสร็จ
พอได้หาหมอ กินยา ตามที่หมอสั่ง อาการเห็นภาพก็ดีขึ้นเรื่อยๆ คือไม่เห็นภาพคนอีกแล้ว
กลับมากินข้าวได้ครบ_3 มื้อ พูดคุยกับเพื่อนๆได้ดีขึ้นเรื่อยๆ
(ก่อนหน้านั้นเพื่อนเล่าว่าคุยกับเรา แล้วเรานิ่งไม่ยอมตอบ นั่งเฉยๆ เหม่อๆ)
รวมถึงการเจริญอาหารขึ้นมากๆจนน้ำหนักเพิ่มขึ้นเป็นสิบกว่าโล (ตอนแรกใส่ไซต์L ตอนนี้3xl แล้วจ้า 555 )
แต่ประเด็นอยู่ที่การเรียนจ้าาาา ไม่ฝนข้อสอบส่งอาจารย์ ไม่ได้เข้าเขียน บางวิชาเข้าเรียนก็ไม่เข้าหัว
เลยตัดสินใจ ดรอปเรียน ขอเรียนใหม่พร้อมน้อง ซึ่งก็คือต้องจบช้า
กว่าเพื่อน 1 ปี (ในความรู้สึกเราถึงจะจบช้า แต่ไม่เป็นไรเลยนะ เพราะตอนนั้นคือไม่ได้เรียน และถึงเรียนก็เรียนไม่รู้เรื่อง
อะไรเลย ข้อสอบก็ไม่ได้ทำ บางทีก็ทำไปแต่ก็ได้คะแนนแค่เศษเลข สู้ไปรักษาตัวให้ดีและเตรียมตัวเรียนใหม่ดีกว่า)
ช่วงที่พักเรียนไป เป็นช่วงที่อาการยังไม่ดีทั้งหมด ก็มีอาการระแวงเวลาได้ยินเสียงท่อมอไซค์ อาการเศร้าก็ยังอยู่
ช่วงนั้นอยากหายมาก คิดมาตลอดว่าทำไมอยู่ดีๆถึงเป็น เลยสรุปได้ว่าเรียนแล้วเครียด พักผ่อนน้อยบางคืนก็แทบไม่ได้นอน
สารเคมีเลยทำงานผิดปกติ
ทีนี้จะทำยังไง ถ้าเรียนจบไปก็ต้องอยู่กับอาชีพที่ต้องเรียน ก็อาจทำให้มีอาการอีก
เราเลยไปเป็นแม่ค้า ช่วยพี่สาวขายอาหาร ช่วยเค้าปรุง หยิบนู้น จับนี้ เสริฟอาหารอยู่จนถึงปิดร้าน
ลองทำในสิ่งที่ยังไม่เคยทำ เพื่อเป็นแนวทางในการประกอบอาชีพของตัวเองในอนาคต
รวมถึง การเข้าวัด ทำบุญ อุทิตส่วนบุญให้เจ้ากรรมนายเวรทั้งอดีตและปัจจุบัน
ทั้งหมดนี้ทำไปพร้อมๆกับการปรับยาไปเรื่อยๆ เนื่อจากว่ายาชุดแรกที่กิน กดสมองมากๆ
กินแล้วเหมือนจะเป็นลม บางตัวกินไปอาการไม่ดีขึ้นก็เปลี่ยน
จนเปิดเทอมอาการก็ดีขึ้นระดับนึง แต่ยังต้องปรับยาอยู่
มาถึงตรงนี้เราขอให้คนที่กำลังเจอกับโรคๆนี้อยู่อดทน
กินยาตามที่คุณหมอสั่ง นอนเยอะๆ ไม่เครียด แล้วอาการจะค่อยๆดีขึ้นเอง
ก็รักษา ปรับยาเรื่อยๆ แบบที่ไม่ง่วงระหว่างวัน ให้เรียน อ่านหนังสือได้ด้วย
จนเรียนจบตามเกณฑ์ (ก็คือจบพร้อมน้อง) ที่คิดเอาไว้
ก่อนเรียนจบก็ได้งานก่อนแล้ว ซึ่งก็เป็นงานตามสายที่เรียนมา
แน่นอน
อยากลองของว่าที่รักษามาอะเป็นไง
อาการจะกำเริบไหม
ทำมาเรื่อยๆจนจะครบปี
อาการเห็นภาพก็กลับมา มันมาพร้อมกับเคอร์ฟิวโควิดเลยจ้าาา
คือด้วยเนื้องานก็ต้องทำแข่งกับเวลาอยู่แล้ว
นี้ก็เครียดขึ้นไปใหญ่
อาการเห็นภาพก็เลยกลับมา
แต่ก็ลากพาตัวเองจนทำงานครบปี
ทีนี้เลยขอพี่เค้าออก เพราะร่างกายไม่ไหวแล้ว
กลับมากินยาแก้ปวดหัวก็ไม่หายอีกแล้ว
ต้องกินไอบูรเม็ดชมพูๆ ต่อๆกัน เลยขอลาออก
กลับมาพักผ่อนอยู่บ้านก่อน
ก็ต้องขอบคุณทุกคนในบริษัทที่เข้าใจ ก้ไม่คิดว่าจะมีบริษัทไหนจะใจดีกว่านี้อีกแล้ว
ทุกวันนี้อาการปกติมาหลายเดือนมากๆแล้ว
กลับมาช่วยธุรกิจส่วนตัวของที่บ้าน
ดีใจมากๆที่เราผ่านทุกๆอย่างมาได้
เราเลยอยากเป็นกำลังใจให้คนที่กำลังต่อสู้กับโรคนี้อยู่
เข้าใจก่อนว่าโรคนี้มีโอกาสฆ่าตัวตายสูง
ขอให้อดทน ไว้ กินยาตามหมอสั่ง ไม่เครียด นอนให้พอ
เรายังมี พ่อ มี แม่ มีครอบครัวที่รักเรา
ทุกอย่างเริ่มใหม่ได้
บางคนที่ยังกลัวที่จะกลับไปเข้าสังคม กลัวการดูถูก
ก็อยากให้คิดแค่ว่า คำคนก็คือคำคน
คำคนมันทำร้ายคนมานักต่อนักแล้ว
คนมีการศึกษา คนที่ดี เค้าจะเข้าใจเรา
ในสิ่งที่เราเป็น
ถึงแม้ว่าสิ่งนั้นถ้าเลือกได้เราไม่ได้อยากเป็น
เราต้องขอบคุณทุกๆคนที่อยู่รอบๆตัว ทั้งครอบครัว เพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ที่คอยอยู่ข้างๆกัน
เข้าใจเรา แม้เราอาจมีมุมทีไม่น่ารักก็ตามขอบคุณนะค้าาา
และขอบคุณคนที่เข้ามาอ่านกระทู้นี้จนจบด้วยนะคะ😆
แชร์ประสบการณ์ชีวิต ที่มีไบโพล่า มาแล้ววววว 3 ปี
จนตอนนี้อายุ 24 ปีแล้ว ก็ยังอยู่กับโรคนี้แต่ไม่ได้กำเริบเอาไม่อยู่แบบใช้ชีวิตประจำวันไม่ได้
ทุกวันนี้รู้สึกปกติมีความสุขบ้าง ความเศร้าบ้าง ตามสถานการณ์เหมือนคนปกติ
ทำงาน และ ทำกิจวัตรประจำวันได้ทุกอย่างเหมือนก่อนเป็นไบโพล่า
ที่อยากมาเล่าประสบการณ์เพราะอยากเป็นกำลังใจให้คนที่กำลังเป็นโรคนี้อยู่
ต่อสู้กับไบโพล่า ขอให้เชื่อว่าเรามีโอกาสกลับมาเป็นปกติได้แน่นอน
ตอนแรกที่มีอาการ ไม่รู้ตัวว่าตัวเองเป็นโรคอะไร
ตอนที่เป็นจำได้ว่ามีอาการปวดหัวหนักมากบวกเริ่มมีความคิดผิดปกติ(ซึ่งตอนนั้นคิดว่าเป็นเรื่องจริง)คิดว่าจะมีคนมาทำร้าย
ช่วงนั้นสอบ FINAL ปี 3 เทอม 1 ก็เลยไปซื้อยาแก้ปวดหัวทั้งพารามากินไม่หาย
ก็เลยไปร้านขายยานอกมหาลัยเค้าก็แนะนำGOFEN มา จำได้ว่าพอกินไป หลายเม็ดอยู่ เสร็จตื่นมาเบลออออมาก
แต่หอบหิ้วพาร่างกายตัวเองไปสอบวิชาสุดท้ายได้สำเร็จ
พอส่งข้อสอบเสร็จก็ยืนร้องไห้หน้าห้องสอบ แล้วก็กลับมานอนต่อที่ห้อง
คราวนี้แหละมาทั้งเสียง ได้ยินเสียงผู้ชายแต่ไม่เห็นตัว พูดอยู่ข้างหู เราก็เข้าใจไปว่าเป็นเรื่องจริงมีคนจะมาทำร้ายจริงๆ
(ตอนนี้คือขำตอนนั้นมากว่าอยู่มาได้ไง ทำไมไม่ยอมไปหาหมอหาพระ)
สุดท้ายเดินร้องไห้ไปห้องสอบของสาขาอื่น จ
นอาจารย์ที่คุมสอบเรียกรถพยาบาลของมหาลัยมารับไปห้องพยาบาล
พอตื่นมาแม่ก็มารอที่หอพักแล้วสุดท้ายก็กลับบ้าน
แต่ไม่ได้เล่าเรื่องนี้ให้ใครฟังแต่ร้องไห้ตลอดทาง
กลับมาบ้านก็ร้องไห้(แถวบ้านมีร้านซ่อมมอเตอร์ไซค์ เค้าเบิ้ลรถ ได้ยินเสียงท่อก็จะยิ่งร้อง เพราะตอนนั้นคิดโยงเรื่องนู้นนี้ไปทั่ว)
ก็ดิ่งซึมเศร้าไปประมาณ 2 เดือน เกือบ 3 เดือน
จนเปิดเทอม ปี 3 เทอม 2
ทีนี้แหละจ้า แมเนีย มาเต็ม ไม่เรียนหนังสือ
ไม่หลับไม่นอน คิดว่าตัวเองสวยแต่งหน้าแต่งตา ช็อปปิ้งเสื้อผ้าใหม่หมด
นั่งนิ่งๆไม่ได้เลย รวมถึงเห็นภาพคนอยู่ตลอดเวลา
ขับรถออกไปดูหนังรอบดึกคนเดียว แต่ก่อนแค่ขับออกไปนอกรั้วมหาลัยก็แทบกลั้นใจตายแล้ว แถวมหาลับมีแต่สิบล้อ
เป็นอย่างนี้อยู่ 3 เดือน
และะะแน่นอนนค่ะ สอบ midterm ไม่ได้ฝนข้อสอบ ปล่อยกระดาษเปล่าไปหลายวิชาไปเลยค่าา
และแล้วสวรรค์ก็เป็นใจ ในตอนสอบ มิดเทอม ที่เหลืออีกแค่สองตัวก็จะเสร็จสิ้นฤดูกาลสอบนั้น
กลับมีอาการซึมเศร้าทำร้ายตัวเองขึ้นมา
วันนั้นยังจำได้ดี
เราเรียนมหาลัยต่างจังหวัด ส่วนบ้านเราอยู่กทม
วันนั้นสอบเสร็จส่งกระดาษที่พอจะเขียนได้ไปปุ๊บก็
นั่งรถตู้กลับบ้านทันที เราร้องไห้ตลอดทาง คิดว่า
ตัวเองจะต้องตายเท่านั้น ไม่อยากมีลมหายใจอยู่แล้ว
ตลอดทางที่นั่งอยู่บนรถตู้
คิดแต่ว่าจะทำยังไงดี
ไม่อยากตื่นมามีชีวิตอยู่อีกแล้ว
ขอหลับไปเลยได้ไหม
จนถึงบ้านเราร้องไห้ต่อหน้าพ่อแม่
จนพ่อบอกว่าจะพาไปหาหมอ
ให้กลับไปทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด
ไปสอบอีก 2 วิชาสุดท้ายให้จบ
แล้วจะพาไปหาหมอ
ไปคุยกับหมอว่าเกิดอะไรขึ้น ทั้งหมดเกิดจากอะไร
คุณหมอเค้าช่วยได้
เราก็เลยได้ไปหาหมอหลังสอบเสร็จ
พอได้หาหมอ กินยา ตามที่หมอสั่ง อาการเห็นภาพก็ดีขึ้นเรื่อยๆ คือไม่เห็นภาพคนอีกแล้ว
กลับมากินข้าวได้ครบ_3 มื้อ พูดคุยกับเพื่อนๆได้ดีขึ้นเรื่อยๆ
(ก่อนหน้านั้นเพื่อนเล่าว่าคุยกับเรา แล้วเรานิ่งไม่ยอมตอบ นั่งเฉยๆ เหม่อๆ)
รวมถึงการเจริญอาหารขึ้นมากๆจนน้ำหนักเพิ่มขึ้นเป็นสิบกว่าโล (ตอนแรกใส่ไซต์L ตอนนี้3xl แล้วจ้า 555 )
แต่ประเด็นอยู่ที่การเรียนจ้าาาา ไม่ฝนข้อสอบส่งอาจารย์ ไม่ได้เข้าเขียน บางวิชาเข้าเรียนก็ไม่เข้าหัว
เลยตัดสินใจ ดรอปเรียน ขอเรียนใหม่พร้อมน้อง ซึ่งก็คือต้องจบช้า
กว่าเพื่อน 1 ปี (ในความรู้สึกเราถึงจะจบช้า แต่ไม่เป็นไรเลยนะ เพราะตอนนั้นคือไม่ได้เรียน และถึงเรียนก็เรียนไม่รู้เรื่อง
อะไรเลย ข้อสอบก็ไม่ได้ทำ บางทีก็ทำไปแต่ก็ได้คะแนนแค่เศษเลข สู้ไปรักษาตัวให้ดีและเตรียมตัวเรียนใหม่ดีกว่า)
ช่วงที่พักเรียนไป เป็นช่วงที่อาการยังไม่ดีทั้งหมด ก็มีอาการระแวงเวลาได้ยินเสียงท่อมอไซค์ อาการเศร้าก็ยังอยู่
ช่วงนั้นอยากหายมาก คิดมาตลอดว่าทำไมอยู่ดีๆถึงเป็น เลยสรุปได้ว่าเรียนแล้วเครียด พักผ่อนน้อยบางคืนก็แทบไม่ได้นอน
สารเคมีเลยทำงานผิดปกติ
ทีนี้จะทำยังไง ถ้าเรียนจบไปก็ต้องอยู่กับอาชีพที่ต้องเรียน ก็อาจทำให้มีอาการอีก
เราเลยไปเป็นแม่ค้า ช่วยพี่สาวขายอาหาร ช่วยเค้าปรุง หยิบนู้น จับนี้ เสริฟอาหารอยู่จนถึงปิดร้าน
ลองทำในสิ่งที่ยังไม่เคยทำ เพื่อเป็นแนวทางในการประกอบอาชีพของตัวเองในอนาคต
รวมถึง การเข้าวัด ทำบุญ อุทิตส่วนบุญให้เจ้ากรรมนายเวรทั้งอดีตและปัจจุบัน
ทั้งหมดนี้ทำไปพร้อมๆกับการปรับยาไปเรื่อยๆ เนื่อจากว่ายาชุดแรกที่กิน กดสมองมากๆ
กินแล้วเหมือนจะเป็นลม บางตัวกินไปอาการไม่ดีขึ้นก็เปลี่ยน
จนเปิดเทอมอาการก็ดีขึ้นระดับนึง แต่ยังต้องปรับยาอยู่
มาถึงตรงนี้เราขอให้คนที่กำลังเจอกับโรคๆนี้อยู่อดทน
กินยาตามที่คุณหมอสั่ง นอนเยอะๆ ไม่เครียด แล้วอาการจะค่อยๆดีขึ้นเอง
ก็รักษา ปรับยาเรื่อยๆ แบบที่ไม่ง่วงระหว่างวัน ให้เรียน อ่านหนังสือได้ด้วย
จนเรียนจบตามเกณฑ์ (ก็คือจบพร้อมน้อง) ที่คิดเอาไว้
ก่อนเรียนจบก็ได้งานก่อนแล้ว ซึ่งก็เป็นงานตามสายที่เรียนมา
แน่นอน
อยากลองของว่าที่รักษามาอะเป็นไง
อาการจะกำเริบไหม
ทำมาเรื่อยๆจนจะครบปี
อาการเห็นภาพก็กลับมา มันมาพร้อมกับเคอร์ฟิวโควิดเลยจ้าาา
คือด้วยเนื้องานก็ต้องทำแข่งกับเวลาอยู่แล้ว
นี้ก็เครียดขึ้นไปใหญ่
อาการเห็นภาพก็เลยกลับมา
แต่ก็ลากพาตัวเองจนทำงานครบปี
ทีนี้เลยขอพี่เค้าออก เพราะร่างกายไม่ไหวแล้ว
กลับมากินยาแก้ปวดหัวก็ไม่หายอีกแล้ว
ต้องกินไอบูรเม็ดชมพูๆ ต่อๆกัน เลยขอลาออก
กลับมาพักผ่อนอยู่บ้านก่อน
ก็ต้องขอบคุณทุกคนในบริษัทที่เข้าใจ ก้ไม่คิดว่าจะมีบริษัทไหนจะใจดีกว่านี้อีกแล้ว
ทุกวันนี้อาการปกติมาหลายเดือนมากๆแล้ว
กลับมาช่วยธุรกิจส่วนตัวของที่บ้าน
ดีใจมากๆที่เราผ่านทุกๆอย่างมาได้
เราเลยอยากเป็นกำลังใจให้คนที่กำลังต่อสู้กับโรคนี้อยู่
เข้าใจก่อนว่าโรคนี้มีโอกาสฆ่าตัวตายสูง
ขอให้อดทน ไว้ กินยาตามหมอสั่ง ไม่เครียด นอนให้พอ
เรายังมี พ่อ มี แม่ มีครอบครัวที่รักเรา
ทุกอย่างเริ่มใหม่ได้
บางคนที่ยังกลัวที่จะกลับไปเข้าสังคม กลัวการดูถูก
ก็อยากให้คิดแค่ว่า คำคนก็คือคำคน
คำคนมันทำร้ายคนมานักต่อนักแล้ว
คนมีการศึกษา คนที่ดี เค้าจะเข้าใจเรา
ในสิ่งที่เราเป็น
ถึงแม้ว่าสิ่งนั้นถ้าเลือกได้เราไม่ได้อยากเป็น
เราต้องขอบคุณทุกๆคนที่อยู่รอบๆตัว ทั้งครอบครัว เพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ที่คอยอยู่ข้างๆกัน
เข้าใจเรา แม้เราอาจมีมุมทีไม่น่ารักก็ตามขอบคุณนะค้าาา
และขอบคุณคนที่เข้ามาอ่านกระทู้นี้จนจบด้วยนะคะ😆