แพร ไหม

ผมพบกับแพรครั้งแรกโดยบังเอิญ ที่ร้านกาแฟไม่ไกลชายหาด ร้านนั้นกลายเป็นร้านประจำของผมในเวลาต่อมาเพราะเธอและรสชาติของลาเต้ที่หวานมันเกินร้านไหนๆ ตอนนั้นแพรอายุยังไม่ทันเต็มยี่สิบ มารับงานพาร์ทไทม์เป็นแคชเชียร์ที่ร้าน เราทักทายกันแบบผมเป็นลูกค้าตอนไปจ่ายเงิน แต่มาพูดกันจริงๆ ตอนเธอมาพักสูบบุหรี่ ผมตำหนิคนสูบบุหรี่โดยเฉพาะเด็กๆ ที่ยังเรียนหนังสืออยู่โดยเฉพาะเด็กสาวคนนี้ มองแล้วก็หาเหตุผลไม่ได้ว่าทำไมผมต้องไปตั้งหน้าตั้งตาตำหนิเธอ ทั้งที่ตัวเองก็สูบบุหรี่ที่โรงเรียนในห้องน้ำตั้งแต่ตอนมัธยมสองหรือสามนี่แหล่ะยังไม่ทันเป็นวัยรุ่นเต็มตัวเสียด้วยซ้ำ "ขอยืมไฟหน่อยค่ะ" ประโยคนั้นเหมือนประตูที่เปิดออกให้รู้จักเธอมากขึ้น ไฟแวบเดียวจากไฟแช็กจีนแดงราคาเจ็ดบาท พาผมมองเข้าไปเห็นในด้านในสุดของชีวิตเธอ จากการคุยกันครั้งละนิดๆ หน่อยๆ ช่วงบ่ายที่ลูกค้าไม่มากนัก โต๊ะสุดด้านนอกของร้านมีที่เขี่ยบุหรี่รูปกระต่ายตั้งอยู่ เรื่องราวในช่วงเวลาที่บุหรี่ถูกเผาไหม้ไม่เกินสองมวนในแต่ละครั้ง 
 

แพรมาจากจากครอบครัวฐานะปานกลาง ในจังหวัดติดแม่น้ำโขงที่กั้นประเทศของเรากับประเทศลาว หัวดี ตั้งใจเรียน นิสัยขบถนิดๆ พ่อแม่ส่งเงินให้ใช้ประมาณหนึ่งแต่ไม่อยากเป็นภาระจึงกู้กองทุนกู้ยืมเรียน ตอนเทอมสอง และทำงานพาร์ทไทม์หารายได้อีกทางหนึ่งระหว่างเรียนตั้งแต่ปีหนึ่ง และฝันว่าเธออยากมีร้านกาแฟแบบที่เธอชอบในวันข้างหน้า 
"หนูจะเป็นคนชงในร้านของตัวเองสักวันหนึ่ง" แพรบอกแบบนั้น 
อย่างที่บอกว่าเราคุ้นเคยกันเพราะพูดคุยกันเสมอ แต่รู้จักกันมากขึ้นในแง่ที่ผมอยากรู้จักเธอมากกว่า ผมไม่ได้เกี้ยวเธอแบบหนุ่มสาวเพราะวัยเราต่างกันมาก เจ็บในใจเล็กๆ ที่รู้ว่าเธอไม่ได้โสด แต่แสดงออกอย่างที่ผมพอทำได้ในวัยนั้น ก็พาเธอไปทานข้าวบ้างตามเวลาที่เธอสะดวก จนวันหนึ่งผมก็บอกชอบแพรในร้านขายของเก่าสำหรับแต่งบ้าน 
"เป็นไรไหม ถ้าน้าจะดูแลแพรจนกระทั่งเรียนจบ ฝันของแพรอาจเป็นจริงเร็วขึ้น" 
เธอมองหน้าผมนิ่งๆ และหากเธอจะต่อว่า หรือด่าทอกลับมา ผมจะไม่ตำหนิเธอเลย อึดใจนั้นนานเหมือนล้านปีแสง  
“หนูคิดดูก่อน” 
ถึงเธอจะบอกว่าความรักเป็นอย่างไรไม่รู้ รักหรือไม่รักก็ไม่รู้ เธอก็บอกเลิกกับแฟนหนุ่มรุ่นพี่ปีสามที่เป็นหนามทิ่มหัวใจผมมาเงียบๆ หลายเดือนจนได้ เธอตัดสินใจไม่นาน เพราะเหตุผลว่าผมเป็นผู้ใหญ่ และเธอไม่ต้องกังวลเรื่องกินยาคุมอีกเพราะผมเป็นหมัน จากนั้นเธอย้ายออกจากหอที่อยู่กับรุ่นพี่มาใช้ชีวิตกับผมแบบชีวิตคี่ คือผมมีครอบครัวแแล้วแต่ไม่มีลูก แพรย้ายมาอยู่ที่คอนโดมิเนียมที่ผมซื้อเอาไว้ปล่อยเช่าที่ว่างอยู่พอดี 
 
 

ใครไม่รู้บอกว่าในชีวิตของคนเรา จะมีใครสักคนที่ถือกุญแจดอกหนึ่งที่จะไขทุกอย่างในชีวิตของคนสักคนได้ ผมกลับมาเป็นหนุ่มอีกครั้ง เมื่อมีชีวิตที่มีสีสีสันกับแพร ได้มองเห็นฝันของเด็กสาวคนหนึ่งเติบโต จนผมต้องทิ้งชีวิตคี่ที่คิดว่าจะประคับประคองมันไว้ได้ให้นานที่สุดโดยไม่ต้องเลือกใครสักคนเพื่ออยู่ด้วยตามขนบธรรมเนียม แพรคือคนถือกุญแจที่บอกว่าผมไม่ได้เป็นหมัน เมื่อเธอตั้งท้องในปีที่สามที่อยู่กับผม ปีที่เธอเรียนจบพอดีและนั่นก็ทำให้ผมต้องเลือกที่จะยุติชีวิตสมรสของผมกับภรรยาลงอย่างสิ้นเชิง ธุรกิจร้านกาแฟไปได้ดี จนขยายสาขาไปได้สี่แห่งในปีแรก เมื่อผมเลือกที่จะรับเงินเกษียนก่อนกำหนด ก็ขายร้านกาแฟทุกร้านที่ทำขึ้นมาให้นักลงทุนรายใหม่ที่ชื่นชอบกาแฟไปจนหมด ไปลงทุนทำไร่กาแฟที่บ้านเกิดแพร ทำโรงคั่วเองและมีร้านกาแฟเล็กๆหลืออยู่เพียงร้านเดียวที่เป็นโชว์รูมกาแฟที่แพรคิดสูตรทำขึ้น มันหล่อเลี้ยงหัวใจขบถของเราทั้งคู่มาเป็นสิบปี

แพรพูดกับผมว่าทุกสิ่งเริ่มเพื่อจบ หลังจากคลอดไหม เธอก็ทำงานหนักเพื่อยืนยันว่ากบถอย่างเธอก็ประสบความสำเร็จได้ และจากผมกับลูกไปเมื่อปีก่อนด้วยโรคปอด เสี้ยวนาทีหนึ่ง ผมเคยคิดจะจบชีวิตตัวเองที่เดินทางมายาวนานตามแพรไป แต่ไหมเป็นความรักแท้ยิ่งกว่า ที่ทำให้ผมยังเดินทางต่อไปให้ไกลที่สุดจนกว่าจะพบแพร ณ ที่ใดที่หนึ่งอีกครั้ง มันคงเหมือนกาแฟหอมกรุ่นสักแก้วที่กลิ่นและรสชาติจางไปเมื่อผ่านเลยเวลา ไหมจะจบมัธยมปลายปีนี้ เธอบอกกับผมเมื่อเรานั่งตรวจสต๊อกกาแฟถุงด้วยกันว่า
"หนูจะเป็นคนชงในร้านของเรา"
"หนูเป็นบาริสต้าที่สวยที่สุดของพ่อ"
ผมบอกไหมไปแบบนั้น เด็กสาวยื่นมือมาจับด้ายผูกข้อมือซีดจางที่ข้อมือขวาของผม เอาบุหรี่ผมไปดับกับที่เขี่ยบุหรี่รูปกระต่าย
"แม่แพรต่างหากที่สวยที่สุด อยู่กับหนูไปนานๆนะคะพ่อ"
ผมยิ้มให้เธอ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่