บันทึกนี้ผมตั้งใจไว้ว่าจะเขียนตอนที่อยู่ที่ เอสที เรสซิเด๊นท์ในซอยลาดพร้าว114
เมื่อสี่-ห้าปีที่แล้วผมต้องกลายเป็นคนไร้บ้านไร้ลูกเมียที่ร่วมอยู่กันมา 16 ปี
เหตุที่ผมต้องกลายมาเป็นคนแบบที่ว่าเป็นเพราะเมื่อปี 2550 เดือนสิงหา ผมออกเที่ยวกลางคืน ที่ที่ไปคือโรมิโอ สถานบันเทิงระดับสูงในซอยสุขุมวิท 24
เที่ยวอยู่ร่วม7เดือน อดีตภรรยาก็บอกเลิกกันเถอะ
ผมมันเป็นคนปากไวดันสวนกลับไปว่าเรื่องหย่าล่ะ เธอตอบกลับมาว่าเอาไวันัดกันอีกที
ราวอาทิตย์กว่าเราไปเซ็นหย่ากันที่สำนักงานเขตพญาไท
หลังจากที่เราหย่ากันแล้วผมก็ยังอยู่ร่วมบ้านกับเธอ
เรื่องราวดำเนินมาถึงวันที่ 30 สิงหาคม 2551
เช้าตรู่ของวันนั้นผมกำลังนอนหลับอยู่ที่พื้นชั้นล่างอันเย็นยะเยียบในฤดูฝน
มีเสียงอดีตภรรยาของผมถามว่าเมื่อไหร่ผมจะแยกบ้านออกไป
ผมได้แต่ฟังไว้แล้วก็หลับต่อ
ครู่ต่อมามีเสียงร้องกรี๊ดดังมาก ทำให้ผมที่อยู่ในภาวะง่วง+สลึมสลือต้องตกใจตื่นขึ้นมาหาว่าเสียงนั้นมาจากไหน
รู้สึกตัวเต็มที่ก็รู้ว่าเสียงมาจากชั้นบนแน่ เลยรีบวิ่งขึ้นไปถึงหน้าประตูห้องน้ำก็ได้ยินเสียงขว้างปาข้าวของ...ผมเปล่งเสียงทะลุประตูเข้าไปหวังให้เธอได้ยิน" ปุ้มเป็นอะไรน่ะ" แต่เธอกลับตะโกนออกมาว่าอย่ามายุ่ง
ผมเห็นทีว่าอยู่ไม่ได้แน่เลยวิ่งเข้าไปในห้องเสื้อผ้า รีบเก็บเสื้อผ้ากับสัมภาระสารพัด แล้วเอาไปใส่ไว้ในรถ
สายๆ ผมออกจากบ้านมาที่สตาร์บัคส์ ในห้างคาร์ฟูพระรามสี่
ในร้าน มีมุมเล็กๆที่เป็นซอกหลืบสำหรับผู้ที่ต้องการความเป็นส่วนตัว
ที่มุมนั้นมีการจัดวางที่มีโต๊ะแบบนั่งคู่กันอยู่สองชุด ริมกระจก ทางเข้า ที่ที่ผมเลือกนั่งคือ ชุดโซฟาเดี่ยวตัวใหญ่หนานุ่มอยู่ติดผนังที่แบ่งเป็นสัดส่วนจากอีกด้านที่เป็นห้องของพนักงานของร้าน
ใกล้เที่ยงผมออกไปที่หน้าวินฯอยู่หน้าห้างฯให้เจ้า น้องวินมอไซค์ ที่ผมเรียกใช้งานเป็นประจำไปขนของมาจากออฟฟิศเจ้าจิ๊บ(เพื่อนสาธิตฯ) (เจ้าจิ๊บมีบริษัทอยู่รัชดา ซึ่งผมไปทำงานด้วยแค่สองอาทิตย์)
ระหว่างที่ผมอยู่ในร้าน น้องๆในสตาร์บัคส์ มีเจ้าเอ็ม เจ้าเตย เจ้าติ๊ก เจ้าซิมที่เวียนมานั่งคุยเป็นเพื่อนผม
เรื่องที่ผมคุยให้น้องสี่คนนั้นฟังคือเรื่องผมเลิกกับภรรยา แล้วออกมาอยู่คนเดียว
เจ้าซิมบอกกว่าพี่ไปพักอยู่ที่ที่ซิมอยู่ดีมั้ย อยู่ซอยปรีดีย์ สี่สิบหก
ซิมบอกกับผมซิมขอเวลาหาห้องให้พี่วันสองวันนะระหว่างที่ซิมหาห้องให้พี่ พี่หาที่อยู่ไปก่อน
ไม่รอช้าผมโทร.หาโรงแรม ไอบิสซอยนานา(สุขุมวิทซอยสี่) เพราะผมชอบความครึกครื้นในซอยนั้นยามที่ต้องการความมีชีวิตชีวา
โรงแรมนั้นเป็นโรงแรมที่ผมขับรถผ่านเป็นประจำ
สองชั่วโมงต่อมาเจ้ามาถึงหน้าวินฯ เจ้ามาหาผมในร้านถามผมว่าให้เอาของไปไว้ที่ไหน ผมบอก เอาไปฝากไว้ที่โรงแรม ไอบิส
ผมนั่งอยู่ในร้านจนเวลาสองทุ่มกว่าน้องๆในร้าน เตรียมเก็บร้าน ผมนั่งรอจนร้านปิดในเวลาสี่ทุ่ม
ตอนนั้นผมไม่มีใครให้อยู่เป็นเพื่อนแล้ว
ผมขึ้นไปเอารถออกจากห้างฯขับออกมาวิ่งไปทางซอยนานาสุขุมวิทซอยสี่
ถึงโรงแรมที่ผมจองห้องไว้ เอารถจอดไว้ที่โรงแรม
ภายในรถของผมมีข้าวของแน่นคันรถ ถ้าพนักงานมาเห็นต้องรู้ว่าเจ้าหมอนี่ต้องไดนไล่ออกมาจากบ้านแน่
ผมเข้าไปเช็คอิน ใช้บัตรเดบิตของกสิกรรูดไว้เป็นการการันตีว่าผมมีเงินที่จะจ่ายค่าห้องได้
เรียบร้อยจากการลงทะเบียนเข้าพัก พนักงานต้อนรับบอกผมว่าห้องพักของผมอยู่สุดทางเดินทางชั้นสี่
ก่อนขึ้นห้องพัก ผมถามพนักงานของโรงแรมว่ามีวินฯเอาของมาฝากไว้ในชื่อผมหรือเปล่า พนักงานตอบ มีครับ ของคุณผู้ชายเยอะนะครับต้องการพนักงานช่วยขนมั้ยครับ ผมบอกดีครับ
พนักงานต้อนรับเรียกพนักงานเปิดประตูให้เอารถขนของผู้เข้าพักมาแล้วมาขนของที่เจ้านำมาฝากไว้ พนักงานต้อนรับส่งกุญแจห้องพักให้ผม
ผมขึ้นไปที่ห้อง เอาของเข้าไปเก็บ
หลังจากนั้นผมลงมานั่งที่คอฟฟี่ช็อพสั่งไวน์มาดื่มละเลียดไปกับเสียงเพลงคลอเคลียเบา เบา ที่เปิดจากการควบคุมของพนักงานในคอฟฟี่ช็อพ
บรรยากาศดีเหลือเกินจนทำให้นึกถึงอดีตภรรยา ถ้าเรายังอยู่ด้วยกันผมคงพาเธอมาที่นี่ นั่งดื่มนั่งกินอาหาร แล้วพูดจาภาษารักต่อกัน
สี่ทุ่มครึ่งคอฟฟี่ช็อพปิด แต่ผมยังไม่อยากขึ้นนอน ไม่อยากอยู่คนเดียว เลยออกจากโรงแรมเดินไปปากซอย เพื่อหาใครสักคนเป็นเพื่อนให้คลายความอ้างว้างแต่ตามบาร์ต่างๆมีคนเต็มไปหมด และเสียงเพลงในบาร์เหล่านั้นมันอึกทึกครึกโครมเกินไป เลยเดินกลับโรงแรมแบบคนเงียบเหงาเปล่าเปลี่ยว
เดินมาก่อนถึงโรงแรม ผมเห็นหญิงสาวสูงสง่าผิวขาวราวหยวกกล้วยอยู่ในชุดแส็กสีดำ ชุดของเธอรัดรูปโชว์ให้เห็นถึงเนินเนื้อบนหน้าอกอวบอูมไล่ระเรื่อยลงมาจนถึงชายชุดนั้นเผยให้เห็นถึงท่อนบนของส่วนขาที่ขาวเนียนสะอาดตา
เธอยืนอยู่คนเดียวเหมือนรอใครอยู่สักคน ผมจึงเดินเข้าไปทักทายเธอว่ายืนคอยใครเหรอครับ เธอบอกหนูก็รอพี่อยู่นั่นแหละค่ะ
ผมดีใจมากที่คืนนั้นจะได้ใครสักคนอยู่เป็นเพื่อน
ผมถามเธอว่าคืนนี้ไปอยู่กับผมมั้ยครับ เธอตอบด้วยเสียงเซ็กซี่ดีใจมากที่ผมชวนเธอไปอยู่เป็นเพื่อน
เราเดินเคียงคู่กันไปที่โรงแรม
ขณะที่เรากำลังจะเดินผ่านเคาน์เตอร์ต้อนรับ หญิงสาวของผมเดินไปที่เคาน์เตอร์แล้วยื่นบัตรประชาชนให้กับพนักงานของโรงแรมไว้ เป็นการการันตีตัวเองว่าเธอเป็นใครแล้วจะไม่ทำอันตรายต่อผม
แล้วเราทั้งสองก็พากันขึ้นไปบนห้องพัก
ภายในห้องเราต่างคนต่างอาบน้ำ ออกจากห้องน้ำ ไปที่เตียงที่มีผ้าขาวสะอาดตาปูอยู่...?
เราต่างนอนกันคนละฟากของเตียง พูดคุยกันสารพัดเรื่องจนผมอดที่จะถามชื่อเธอไม่ได้ว่าชื่ออะไร
เธอคงอยากให้ชื่อเธอเป็นปริศนาจึงส่ายหน้าไปมาเป็นการบอกให้รู้ว่าเธอไม่อยากบอกชื่อของเธอ แต่ผมเร่งเร้าถามจนเธอต้องบอกออกมา
จอยค่ะ...?!
ชื่อของเธอนั้นบอกถึงความหมายของความสนุกสนานที่เผื่อแผ่ไปยังคนคู่เคียง
แล้วเราต่างนอนคลอเคลียกันจนเกือบรุ่งสางก็หลับไหลไปด้วยความอ่อนเพลีย
เช้าขึ้นมาเราทั้งสองตื่นขึ้นพร้อมความหิว ผมลงไปที่รถ หยิบหม้อหุงข้าวที่เอามาจากบ้าน แล้วหุงข้าวกล้องเพื่อให้จอยกินกับน้ำพริก
ตอนที่เสียบหม้อหุงข้าวนั้น ไฟทั้งห้องดับลง ผมรู้เลยว่าหม้อหุงข้าวคงทำพิษเข้าให้แล้ว จึงโทร.ลงไปที่ฟร้อนท์ว่าไฟดับทั้งห้องรบกวนให้ช่างมาดูด้วย
ช่างไฟประจำโรงแรมขึ้นมาเรียกผมให้เปิดประตูห้อง
ผมไปเปิดประตูให้ช่างเข้ามา ช่างไปดูที่แผงคัตเอาท์ของห้องพักแล้วสับสวิทช์ให้ใหม่
จากนั้นพนักงานกลับออกไป ผมจึงปิดสวิทช์เครื่องใช้ไฟฟ้าทั้งหมดที่มีอยู่ในห้องแล้วก็หุงข้าวต่อ
ไม่นานนัก ข้าวสุก ผมตักข้าวให้จอยกินกับน้ำพริกที่ติดมาจากบ้าน จอยบอกว่าอยากกินข้าวกล้องมานานแล้ว
มื้อนั้นจอยกินข้าวเพียงคนเดียว
จอยอิ่มข้าวไปร่วมชั่วโมงผมหิวขึ้นมาจึงลงไปกินอาหารที่ห้องอาหารของโรงแรม ซึ่งมีทั้งอาหารเช้าแบบอเมริกัน มีทั้งข้าวสวยข้าวต้มกับข้าวสามสี่อย่าง ผลไม้ ชา/กาแฟ น้ำผลไม้ให้เลือกดื่มกิน
อิ่มอาหารมื้อนั้นผมขึ้นห้องแล้วก็นอนคุยกับจอยหลากหลายเรื่อง
จอยพักอยู่ที่ห้องเช่าในซอยสุขุมวิทสิบแปดอยู่กับเพื่อนตอนนั้นผมกับจอยต่างนุ่งผ้าเช็ดตัวไร้สิ่งห่อหุ้มร่างกายผมกอดจอย จอยกอดตอบผม ผมค่อยค่อยลูบไล้ผิวกายเนียนนุ่มไปมาบนแขนทั้งสองข้างของจอย
จากนั้นผมค่อยๆวางมือนุ่มหนาของผมลงบนตัวจอย แล้วค่อยๆเลื่อนไหลไปตามเนินเนื้ออก ลากวนไปที่ปทุมถันทั้งสองข้าง จนถึงยอดบัวตูมชูชัน ลากลงไปที่เนินหน้าท้อง จอยบิดตัวไปมาอย่างเสียวสะท้าน
อารมณ์ของหญิงสาวกระเจิดกระเจิงจนไม่อยากให้ผมละมือจากเรือนร่างเธอ
เพื่อให้อารมณ์ของจอยเพิ่มความสุขซ่านมากขึ้นผมใช้มือข้างขวาค่อยๆไต่ลงไปที่เนินขาข้างบนไต่ลงไป ไต่ลงไปจนถึงเรียวขาล่าง ลงไปจนถึงปลายเท้า
ผมเปลี่ยนจากมือแล้วใช้ริมฝีปากขบเบาๆที่นิ้วเท้าทั้งสองข้างสลับกับใช้ลิ้นวนไปตามจุด...กลับขึ้นไปจากที่ใช้มือในตอนแรก จอยครางเสียงกระเส่าบอกให้รู้ถึงความต้องการที่อยากให้ผมทำอะไรเธอสักอย่างให้อารมณ์ที่พลุ่งพล่าน โดนดับลง
ถึงจุดนี้ผมต้องหยุดเพื่อต้องไปหาสิ่งที่ต้องใช้ป้องกันที่จะทำให้เราทั้งสองปลอดภัยระหว่างที่เรา...!?
ผมออกจากห้องเดินไปจนถึงร้านสะดวกซื้อกลางซอยซื้อถุงป้องกันกับวาสซลิน แล้วกลับไปที่ห้อง เพื่อ...บรรเลงเพลงรักต่อ
แล้วผมสร้างความสุขให้เธอเป็นครั้งที่สอง จนเธอสุดจะทน ผมก็ฝาก...ชิ้นส่วนกลางลำตัวของผมเข้าไปในห่วงรักของจอยค่อยๆบรรเลงจากช้าไปสู่ความเร็วจนจอยสุดจะทนในความเสียวซ่านที่ผมมอบให้
สุดท้ายเราก็บรรเลงเพลงรักกันจนบ่ายคล่อย แล้วต่างหลับไหลไปในอ้อมกอดของกันและกัน
ตกตอนเย็นผมตื่นขึ้นมาจอยยังหลับสนิทอยู่ในอ้อมกอดของผม ด้วยความที่ผมอยากออกจากห้องไปหาที่นั่งที่โล่งโปร่งสบาย
ผมจึงออกจากห้อง ออกจากโรงแรม เดินไปทางปากซอย จนไปเจอร้านที่ให้นั่งชิลหน้าโรงแรมเล็กๆโรงแรมหนึ่ง ผมนั่งลงที่โต๊ะหน้าสุดของร้าน หยิบเมนูเล็กๆที่ ตั้งอยู่บนโต๊ะเห็นมีไก่แดดเดียวน่ากินมากเลยสั่งมากินพลางเหม่อมองดูบรรยากาศที่หน้าโรงแรมนั้น
เวลาผ่านไปนานร่วมสองชั่วโมง ผมกลับโรงแรมจอยไม่อยู่เธอได้บอกก่อนหน้าไว้แล้วว่าเธอจะกลับไปห้องของเธอเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่
ตกดึกผมอยู่ในห้องเพียงคนเดียว จอยกลับมาแล้ว เธอบอกรอจอยนานมั้ย ผมบอกไม่เป็นไร แล้วเราก็นั่งนอนคุยกันไปสลับกับการบรรเลงเพลงรักจนมาถึงเรื่องราวของเราทั้งสอง ผมบอกกับจอยว่าผมกลายเป็นคนโดดเดี่ยวจนมาเจอเธอ
คืนนั้น จอยออกไปข้างนอก ส่วนผมลงมานั่งที่คอฟฟี่ช็อพ สั่งเบียร์มาจิบร่างกายผมอ่อนล้ามาก เลยหลับไปบนโซฟาจนพนักงานมาปลุก คอฟฟี่ช็อพจะปิดแล้วครับ ผมบอกกับบริกรคนนั้นว่าเช็คบิลได้เลย พนักงานเอาบิลมาให้ผมเซ็น
จากนั้นผมก็ขึ้นห้องนอนรอให้จอยกลับมา
เกือบตีสาม จอยกลับมาพร้อมกับมีเงินมาสามพัน ผมถามว่าไปได้เงินมาจากไหน จอยบอก จอยออกไปว๊อล์กมา(ศัพท์ของหญิงสาวที่เดินคนเดียวยามราตรี)
รอดตายแล้วเราทั้งสองเพราะตอนนั้นผมไม่เหลือเงินแล้ว
คืนนี้เป็นคืนที่สองที่ผมกับจอยอยู่ร่วมกัน จอยให้ผมถือเงินที่ได้มาไว้ทั้งหมด แต่ก็ไม่ได้ใช้อะไรมากมาย เพราะไปนั่งที่ค็อฟฟี่ช็อบก็ลงบิลไว้หรือไปนั่งที้ร้านอาหารของโรงแรมก็ลงบิลไว้
จนเข้าคืนที่สาม คืนนี้เป็นคืนสุดท้ายที่ได้อยู่ด้วยกัน ผมถามจอยว่าจากวันนี้แล้ว จอยจะไปไหนต่อ ไม่รู้สิ จอยคิดไม่ออกเหมือนกัน แล้วพี่หละ จอยถามผม ผมบอกก็จะไปหาห้องเช่าอยู่
ในคืนนั้นเองผมโทรศัพท์หาอดีตภรรยา ว่ามีเรื่องใช้เงิน เธออยู่ที่เมืองจีน คุยได้ไม่นานเพราะเธอต้องเป็นคนเสียค่าโทรศัพท์ ผมจึงรีบคุยว่าจะต้องมีเงินไว้มัดจำห้องเช่า ค่าโรงแรมที่พักอยู่ และเผื่อไว้เป็นค่ากิน ค่าน้ำมันรถ แล้วยังมีเงินที่ต้องใช้คืนแก่จอยอีกสามพัน(อันนี้ไม่ได้บอก) เธอถามอีกทีว่าต้องใช้เงินเท่าไหร่
มาถึงตรงนี้ ผมอึกอักที่จะบอกจำนวนเงินแก่เธอ จนเธอต้องถามย้ำว่าเท่าไหร่ ผมเลยบอกว่าxxxxx
เธอไม่ว่าอะไรเพราะรู้ว่าผมต้องใช้เงินมาก ออกไปก็เช่าโรงแรมอยู่ อ้าว ก็ไม่รู้จะไปอยู่ที่ไหนนี่นา แล้วยังค่ามัดจำห้องพักอีกหมื่นหก เธอบอกพรุ่งนี้จะโอนให้
เข้าวันรุ่งขึ้น จอยไปจากผมแล้ว จริงๆผมคิดถึงเธอเหมือนกัน แต่ไม่อยากผูกความสัมพันธ์ต่อ
ตอนสายๆผมไปหาซิมที่สตาร์บัคส์ ผมถามซิมว่าได้ห้องพักให้พี่มั้ย ซิม บอกว่าได้พี่ แล้วต้องจ่ายเงินยังไง ก็มีค่ามัดจำสองเดือนค่าห้องล่วงหน้าหนึ่งเดือน รวมเป็นหมื่นหก
ค่าห้องหมื่นหก ค่าโรงแรมที่พักตกสี่พันกว่า ยังมีเงินเหลืออยู่ร่วมหมื่น จากที่อดีตภรรยาโอนให้
วันนั้นซิมมีเบรคก่อนเที่ยง ผมเลยพาซิมมายังที่โรงแรม เพื่อเก็บของ แต่พาซิมไปกินข้าวที่ร้านอาหารไทยตรงปากซอยสุขุมวิทซอยห้า ซิมบอกเขินๆยังไงก็ไม่รู้ที่ต้องมากินข้าวกับพี่สองคนในร้านหรูหราแบบนี้ เพราะพี่ไม่ใช่แฟนซิม อย่าคิดมาก พี่น้องกันผมพูดเพื่อให้ซิมคลายความกังวล
กินกันอิ่มแล้วทั้งผมแ
คนไร้บ้าน
เมื่อสี่-ห้าปีที่แล้วผมต้องกลายเป็นคนไร้บ้านไร้ลูกเมียที่ร่วมอยู่กันมา 16 ปี
เหตุที่ผมต้องกลายมาเป็นคนแบบที่ว่าเป็นเพราะเมื่อปี 2550 เดือนสิงหา ผมออกเที่ยวกลางคืน ที่ที่ไปคือโรมิโอ สถานบันเทิงระดับสูงในซอยสุขุมวิท 24
เที่ยวอยู่ร่วม7เดือน อดีตภรรยาก็บอกเลิกกันเถอะ
ผมมันเป็นคนปากไวดันสวนกลับไปว่าเรื่องหย่าล่ะ เธอตอบกลับมาว่าเอาไวันัดกันอีกที
ราวอาทิตย์กว่าเราไปเซ็นหย่ากันที่สำนักงานเขตพญาไท
หลังจากที่เราหย่ากันแล้วผมก็ยังอยู่ร่วมบ้านกับเธอ
เรื่องราวดำเนินมาถึงวันที่ 30 สิงหาคม 2551
เช้าตรู่ของวันนั้นผมกำลังนอนหลับอยู่ที่พื้นชั้นล่างอันเย็นยะเยียบในฤดูฝน
มีเสียงอดีตภรรยาของผมถามว่าเมื่อไหร่ผมจะแยกบ้านออกไป
ผมได้แต่ฟังไว้แล้วก็หลับต่อ
ครู่ต่อมามีเสียงร้องกรี๊ดดังมาก ทำให้ผมที่อยู่ในภาวะง่วง+สลึมสลือต้องตกใจตื่นขึ้นมาหาว่าเสียงนั้นมาจากไหน
รู้สึกตัวเต็มที่ก็รู้ว่าเสียงมาจากชั้นบนแน่ เลยรีบวิ่งขึ้นไปถึงหน้าประตูห้องน้ำก็ได้ยินเสียงขว้างปาข้าวของ...ผมเปล่งเสียงทะลุประตูเข้าไปหวังให้เธอได้ยิน" ปุ้มเป็นอะไรน่ะ" แต่เธอกลับตะโกนออกมาว่าอย่ามายุ่ง
ผมเห็นทีว่าอยู่ไม่ได้แน่เลยวิ่งเข้าไปในห้องเสื้อผ้า รีบเก็บเสื้อผ้ากับสัมภาระสารพัด แล้วเอาไปใส่ไว้ในรถ
สายๆ ผมออกจากบ้านมาที่สตาร์บัคส์ ในห้างคาร์ฟูพระรามสี่
ในร้าน มีมุมเล็กๆที่เป็นซอกหลืบสำหรับผู้ที่ต้องการความเป็นส่วนตัว
ที่มุมนั้นมีการจัดวางที่มีโต๊ะแบบนั่งคู่กันอยู่สองชุด ริมกระจก ทางเข้า ที่ที่ผมเลือกนั่งคือ ชุดโซฟาเดี่ยวตัวใหญ่หนานุ่มอยู่ติดผนังที่แบ่งเป็นสัดส่วนจากอีกด้านที่เป็นห้องของพนักงานของร้าน
ใกล้เที่ยงผมออกไปที่หน้าวินฯอยู่หน้าห้างฯให้เจ้า น้องวินมอไซค์ ที่ผมเรียกใช้งานเป็นประจำไปขนของมาจากออฟฟิศเจ้าจิ๊บ(เพื่อนสาธิตฯ) (เจ้าจิ๊บมีบริษัทอยู่รัชดา ซึ่งผมไปทำงานด้วยแค่สองอาทิตย์)
ระหว่างที่ผมอยู่ในร้าน น้องๆในสตาร์บัคส์ มีเจ้าเอ็ม เจ้าเตย เจ้าติ๊ก เจ้าซิมที่เวียนมานั่งคุยเป็นเพื่อนผม
เรื่องที่ผมคุยให้น้องสี่คนนั้นฟังคือเรื่องผมเลิกกับภรรยา แล้วออกมาอยู่คนเดียว
เจ้าซิมบอกกว่าพี่ไปพักอยู่ที่ที่ซิมอยู่ดีมั้ย อยู่ซอยปรีดีย์ สี่สิบหก
ซิมบอกกับผมซิมขอเวลาหาห้องให้พี่วันสองวันนะระหว่างที่ซิมหาห้องให้พี่ พี่หาที่อยู่ไปก่อน
ไม่รอช้าผมโทร.หาโรงแรม ไอบิสซอยนานา(สุขุมวิทซอยสี่) เพราะผมชอบความครึกครื้นในซอยนั้นยามที่ต้องการความมีชีวิตชีวา
โรงแรมนั้นเป็นโรงแรมที่ผมขับรถผ่านเป็นประจำ
สองชั่วโมงต่อมาเจ้ามาถึงหน้าวินฯ เจ้ามาหาผมในร้านถามผมว่าให้เอาของไปไว้ที่ไหน ผมบอก เอาไปฝากไว้ที่โรงแรม ไอบิส
ผมนั่งอยู่ในร้านจนเวลาสองทุ่มกว่าน้องๆในร้าน เตรียมเก็บร้าน ผมนั่งรอจนร้านปิดในเวลาสี่ทุ่ม
ตอนนั้นผมไม่มีใครให้อยู่เป็นเพื่อนแล้ว
ผมขึ้นไปเอารถออกจากห้างฯขับออกมาวิ่งไปทางซอยนานาสุขุมวิทซอยสี่
ถึงโรงแรมที่ผมจองห้องไว้ เอารถจอดไว้ที่โรงแรม
ภายในรถของผมมีข้าวของแน่นคันรถ ถ้าพนักงานมาเห็นต้องรู้ว่าเจ้าหมอนี่ต้องไดนไล่ออกมาจากบ้านแน่
ผมเข้าไปเช็คอิน ใช้บัตรเดบิตของกสิกรรูดไว้เป็นการการันตีว่าผมมีเงินที่จะจ่ายค่าห้องได้
เรียบร้อยจากการลงทะเบียนเข้าพัก พนักงานต้อนรับบอกผมว่าห้องพักของผมอยู่สุดทางเดินทางชั้นสี่
ก่อนขึ้นห้องพัก ผมถามพนักงานของโรงแรมว่ามีวินฯเอาของมาฝากไว้ในชื่อผมหรือเปล่า พนักงานตอบ มีครับ ของคุณผู้ชายเยอะนะครับต้องการพนักงานช่วยขนมั้ยครับ ผมบอกดีครับ
พนักงานต้อนรับเรียกพนักงานเปิดประตูให้เอารถขนของผู้เข้าพักมาแล้วมาขนของที่เจ้านำมาฝากไว้ พนักงานต้อนรับส่งกุญแจห้องพักให้ผม
ผมขึ้นไปที่ห้อง เอาของเข้าไปเก็บ
หลังจากนั้นผมลงมานั่งที่คอฟฟี่ช็อพสั่งไวน์มาดื่มละเลียดไปกับเสียงเพลงคลอเคลียเบา เบา ที่เปิดจากการควบคุมของพนักงานในคอฟฟี่ช็อพ
บรรยากาศดีเหลือเกินจนทำให้นึกถึงอดีตภรรยา ถ้าเรายังอยู่ด้วยกันผมคงพาเธอมาที่นี่ นั่งดื่มนั่งกินอาหาร แล้วพูดจาภาษารักต่อกัน
สี่ทุ่มครึ่งคอฟฟี่ช็อพปิด แต่ผมยังไม่อยากขึ้นนอน ไม่อยากอยู่คนเดียว เลยออกจากโรงแรมเดินไปปากซอย เพื่อหาใครสักคนเป็นเพื่อนให้คลายความอ้างว้างแต่ตามบาร์ต่างๆมีคนเต็มไปหมด และเสียงเพลงในบาร์เหล่านั้นมันอึกทึกครึกโครมเกินไป เลยเดินกลับโรงแรมแบบคนเงียบเหงาเปล่าเปลี่ยว
เดินมาก่อนถึงโรงแรม ผมเห็นหญิงสาวสูงสง่าผิวขาวราวหยวกกล้วยอยู่ในชุดแส็กสีดำ ชุดของเธอรัดรูปโชว์ให้เห็นถึงเนินเนื้อบนหน้าอกอวบอูมไล่ระเรื่อยลงมาจนถึงชายชุดนั้นเผยให้เห็นถึงท่อนบนของส่วนขาที่ขาวเนียนสะอาดตา
เธอยืนอยู่คนเดียวเหมือนรอใครอยู่สักคน ผมจึงเดินเข้าไปทักทายเธอว่ายืนคอยใครเหรอครับ เธอบอกหนูก็รอพี่อยู่นั่นแหละค่ะ
ผมดีใจมากที่คืนนั้นจะได้ใครสักคนอยู่เป็นเพื่อน
ผมถามเธอว่าคืนนี้ไปอยู่กับผมมั้ยครับ เธอตอบด้วยเสียงเซ็กซี่ดีใจมากที่ผมชวนเธอไปอยู่เป็นเพื่อน
เราเดินเคียงคู่กันไปที่โรงแรม
ขณะที่เรากำลังจะเดินผ่านเคาน์เตอร์ต้อนรับ หญิงสาวของผมเดินไปที่เคาน์เตอร์แล้วยื่นบัตรประชาชนให้กับพนักงานของโรงแรมไว้ เป็นการการันตีตัวเองว่าเธอเป็นใครแล้วจะไม่ทำอันตรายต่อผม
แล้วเราทั้งสองก็พากันขึ้นไปบนห้องพัก
ภายในห้องเราต่างคนต่างอาบน้ำ ออกจากห้องน้ำ ไปที่เตียงที่มีผ้าขาวสะอาดตาปูอยู่...?
เราต่างนอนกันคนละฟากของเตียง พูดคุยกันสารพัดเรื่องจนผมอดที่จะถามชื่อเธอไม่ได้ว่าชื่ออะไร
เธอคงอยากให้ชื่อเธอเป็นปริศนาจึงส่ายหน้าไปมาเป็นการบอกให้รู้ว่าเธอไม่อยากบอกชื่อของเธอ แต่ผมเร่งเร้าถามจนเธอต้องบอกออกมา
จอยค่ะ...?!
ชื่อของเธอนั้นบอกถึงความหมายของความสนุกสนานที่เผื่อแผ่ไปยังคนคู่เคียง
แล้วเราต่างนอนคลอเคลียกันจนเกือบรุ่งสางก็หลับไหลไปด้วยความอ่อนเพลีย
เช้าขึ้นมาเราทั้งสองตื่นขึ้นพร้อมความหิว ผมลงไปที่รถ หยิบหม้อหุงข้าวที่เอามาจากบ้าน แล้วหุงข้าวกล้องเพื่อให้จอยกินกับน้ำพริก
ตอนที่เสียบหม้อหุงข้าวนั้น ไฟทั้งห้องดับลง ผมรู้เลยว่าหม้อหุงข้าวคงทำพิษเข้าให้แล้ว จึงโทร.ลงไปที่ฟร้อนท์ว่าไฟดับทั้งห้องรบกวนให้ช่างมาดูด้วย
ช่างไฟประจำโรงแรมขึ้นมาเรียกผมให้เปิดประตูห้อง
ผมไปเปิดประตูให้ช่างเข้ามา ช่างไปดูที่แผงคัตเอาท์ของห้องพักแล้วสับสวิทช์ให้ใหม่
จากนั้นพนักงานกลับออกไป ผมจึงปิดสวิทช์เครื่องใช้ไฟฟ้าทั้งหมดที่มีอยู่ในห้องแล้วก็หุงข้าวต่อ
ไม่นานนัก ข้าวสุก ผมตักข้าวให้จอยกินกับน้ำพริกที่ติดมาจากบ้าน จอยบอกว่าอยากกินข้าวกล้องมานานแล้ว
มื้อนั้นจอยกินข้าวเพียงคนเดียว
จอยอิ่มข้าวไปร่วมชั่วโมงผมหิวขึ้นมาจึงลงไปกินอาหารที่ห้องอาหารของโรงแรม ซึ่งมีทั้งอาหารเช้าแบบอเมริกัน มีทั้งข้าวสวยข้าวต้มกับข้าวสามสี่อย่าง ผลไม้ ชา/กาแฟ น้ำผลไม้ให้เลือกดื่มกิน
อิ่มอาหารมื้อนั้นผมขึ้นห้องแล้วก็นอนคุยกับจอยหลากหลายเรื่อง
จอยพักอยู่ที่ห้องเช่าในซอยสุขุมวิทสิบแปดอยู่กับเพื่อนตอนนั้นผมกับจอยต่างนุ่งผ้าเช็ดตัวไร้สิ่งห่อหุ้มร่างกายผมกอดจอย จอยกอดตอบผม ผมค่อยค่อยลูบไล้ผิวกายเนียนนุ่มไปมาบนแขนทั้งสองข้างของจอย
จากนั้นผมค่อยๆวางมือนุ่มหนาของผมลงบนตัวจอย แล้วค่อยๆเลื่อนไหลไปตามเนินเนื้ออก ลากวนไปที่ปทุมถันทั้งสองข้าง จนถึงยอดบัวตูมชูชัน ลากลงไปที่เนินหน้าท้อง จอยบิดตัวไปมาอย่างเสียวสะท้าน
อารมณ์ของหญิงสาวกระเจิดกระเจิงจนไม่อยากให้ผมละมือจากเรือนร่างเธอ
เพื่อให้อารมณ์ของจอยเพิ่มความสุขซ่านมากขึ้นผมใช้มือข้างขวาค่อยๆไต่ลงไปที่เนินขาข้างบนไต่ลงไป ไต่ลงไปจนถึงเรียวขาล่าง ลงไปจนถึงปลายเท้า
ผมเปลี่ยนจากมือแล้วใช้ริมฝีปากขบเบาๆที่นิ้วเท้าทั้งสองข้างสลับกับใช้ลิ้นวนไปตามจุด...กลับขึ้นไปจากที่ใช้มือในตอนแรก จอยครางเสียงกระเส่าบอกให้รู้ถึงความต้องการที่อยากให้ผมทำอะไรเธอสักอย่างให้อารมณ์ที่พลุ่งพล่าน โดนดับลง
ถึงจุดนี้ผมต้องหยุดเพื่อต้องไปหาสิ่งที่ต้องใช้ป้องกันที่จะทำให้เราทั้งสองปลอดภัยระหว่างที่เรา...!?
ผมออกจากห้องเดินไปจนถึงร้านสะดวกซื้อกลางซอยซื้อถุงป้องกันกับวาสซลิน แล้วกลับไปที่ห้อง เพื่อ...บรรเลงเพลงรักต่อ
แล้วผมสร้างความสุขให้เธอเป็นครั้งที่สอง จนเธอสุดจะทน ผมก็ฝาก...ชิ้นส่วนกลางลำตัวของผมเข้าไปในห่วงรักของจอยค่อยๆบรรเลงจากช้าไปสู่ความเร็วจนจอยสุดจะทนในความเสียวซ่านที่ผมมอบให้
สุดท้ายเราก็บรรเลงเพลงรักกันจนบ่ายคล่อย แล้วต่างหลับไหลไปในอ้อมกอดของกันและกัน
ตกตอนเย็นผมตื่นขึ้นมาจอยยังหลับสนิทอยู่ในอ้อมกอดของผม ด้วยความที่ผมอยากออกจากห้องไปหาที่นั่งที่โล่งโปร่งสบาย
ผมจึงออกจากห้อง ออกจากโรงแรม เดินไปทางปากซอย จนไปเจอร้านที่ให้นั่งชิลหน้าโรงแรมเล็กๆโรงแรมหนึ่ง ผมนั่งลงที่โต๊ะหน้าสุดของร้าน หยิบเมนูเล็กๆที่ ตั้งอยู่บนโต๊ะเห็นมีไก่แดดเดียวน่ากินมากเลยสั่งมากินพลางเหม่อมองดูบรรยากาศที่หน้าโรงแรมนั้น
เวลาผ่านไปนานร่วมสองชั่วโมง ผมกลับโรงแรมจอยไม่อยู่เธอได้บอกก่อนหน้าไว้แล้วว่าเธอจะกลับไปห้องของเธอเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่
ตกดึกผมอยู่ในห้องเพียงคนเดียว จอยกลับมาแล้ว เธอบอกรอจอยนานมั้ย ผมบอกไม่เป็นไร แล้วเราก็นั่งนอนคุยกันไปสลับกับการบรรเลงเพลงรักจนมาถึงเรื่องราวของเราทั้งสอง ผมบอกกับจอยว่าผมกลายเป็นคนโดดเดี่ยวจนมาเจอเธอ
คืนนั้น จอยออกไปข้างนอก ส่วนผมลงมานั่งที่คอฟฟี่ช็อพ สั่งเบียร์มาจิบร่างกายผมอ่อนล้ามาก เลยหลับไปบนโซฟาจนพนักงานมาปลุก คอฟฟี่ช็อพจะปิดแล้วครับ ผมบอกกับบริกรคนนั้นว่าเช็คบิลได้เลย พนักงานเอาบิลมาให้ผมเซ็น
จากนั้นผมก็ขึ้นห้องนอนรอให้จอยกลับมา
เกือบตีสาม จอยกลับมาพร้อมกับมีเงินมาสามพัน ผมถามว่าไปได้เงินมาจากไหน จอยบอก จอยออกไปว๊อล์กมา(ศัพท์ของหญิงสาวที่เดินคนเดียวยามราตรี)
รอดตายแล้วเราทั้งสองเพราะตอนนั้นผมไม่เหลือเงินแล้ว
คืนนี้เป็นคืนที่สองที่ผมกับจอยอยู่ร่วมกัน จอยให้ผมถือเงินที่ได้มาไว้ทั้งหมด แต่ก็ไม่ได้ใช้อะไรมากมาย เพราะไปนั่งที่ค็อฟฟี่ช็อบก็ลงบิลไว้หรือไปนั่งที้ร้านอาหารของโรงแรมก็ลงบิลไว้
จนเข้าคืนที่สาม คืนนี้เป็นคืนสุดท้ายที่ได้อยู่ด้วยกัน ผมถามจอยว่าจากวันนี้แล้ว จอยจะไปไหนต่อ ไม่รู้สิ จอยคิดไม่ออกเหมือนกัน แล้วพี่หละ จอยถามผม ผมบอกก็จะไปหาห้องเช่าอยู่
ในคืนนั้นเองผมโทรศัพท์หาอดีตภรรยา ว่ามีเรื่องใช้เงิน เธออยู่ที่เมืองจีน คุยได้ไม่นานเพราะเธอต้องเป็นคนเสียค่าโทรศัพท์ ผมจึงรีบคุยว่าจะต้องมีเงินไว้มัดจำห้องเช่า ค่าโรงแรมที่พักอยู่ และเผื่อไว้เป็นค่ากิน ค่าน้ำมันรถ แล้วยังมีเงินที่ต้องใช้คืนแก่จอยอีกสามพัน(อันนี้ไม่ได้บอก) เธอถามอีกทีว่าต้องใช้เงินเท่าไหร่
มาถึงตรงนี้ ผมอึกอักที่จะบอกจำนวนเงินแก่เธอ จนเธอต้องถามย้ำว่าเท่าไหร่ ผมเลยบอกว่าxxxxx
เธอไม่ว่าอะไรเพราะรู้ว่าผมต้องใช้เงินมาก ออกไปก็เช่าโรงแรมอยู่ อ้าว ก็ไม่รู้จะไปอยู่ที่ไหนนี่นา แล้วยังค่ามัดจำห้องพักอีกหมื่นหก เธอบอกพรุ่งนี้จะโอนให้
เข้าวันรุ่งขึ้น จอยไปจากผมแล้ว จริงๆผมคิดถึงเธอเหมือนกัน แต่ไม่อยากผูกความสัมพันธ์ต่อ
ตอนสายๆผมไปหาซิมที่สตาร์บัคส์ ผมถามซิมว่าได้ห้องพักให้พี่มั้ย ซิม บอกว่าได้พี่ แล้วต้องจ่ายเงินยังไง ก็มีค่ามัดจำสองเดือนค่าห้องล่วงหน้าหนึ่งเดือน รวมเป็นหมื่นหก
ค่าห้องหมื่นหก ค่าโรงแรมที่พักตกสี่พันกว่า ยังมีเงินเหลืออยู่ร่วมหมื่น จากที่อดีตภรรยาโอนให้
วันนั้นซิมมีเบรคก่อนเที่ยง ผมเลยพาซิมมายังที่โรงแรม เพื่อเก็บของ แต่พาซิมไปกินข้าวที่ร้านอาหารไทยตรงปากซอยสุขุมวิทซอยห้า ซิมบอกเขินๆยังไงก็ไม่รู้ที่ต้องมากินข้าวกับพี่สองคนในร้านหรูหราแบบนี้ เพราะพี่ไม่ใช่แฟนซิม อย่าคิดมาก พี่น้องกันผมพูดเพื่อให้ซิมคลายความกังวล
กินกันอิ่มแล้วทั้งผมแ