Oneplus ยังคงเป็นค่ายที่หลายๆคนหรือว่าคนที่เล่นมือถือน่าจะรู้จักกันดีเป็นอีกแบรนด์ที่ทำมือถือออกมาได้น่าใช้งานเทียบสเปคราคาและทำได้ดีอันดับต้นๆอยู่เสมอแม้ว่าหลังๆอาจจะมีก้าวข้ามไปสู่เรือธงเต็มที่แต่ก็ยังมีการออกรุ่นกลางสเปคแรงออกมาให้ใช้งานอย่างเช่น 7T ก่อนหน้านี้ และในครั้งนี้เองนั้นทาง Oneplus ได้สานต่อมาจนถึงรุ่น 8T ที่ออกมาพร้อมกับสเปคที่แน่นๆในหลายๆจุดทั้งการใช้งาน Snapdragon 865 5G รองรับหน้าจอ 120Hz AMOLED แบบรุ่นพี่รวมถึงการให้ที่ชาร์จไว WarpCharge 65W มาในกล่องไม่ต้องซื้อเพิ่มเติม รวมถึงใช้งาน Android 11 มาให้เลยและรองรับการอัพเดทที่ไวและลื่นไหลอันดับต้นๆของ Android ด้วยกันทำให้แบรนด์นี้ยังคงมีความน่าเล่น น่าใช้งานและเป็น Android Device ที่มีความลื่นไหล เสถียรมากๆตัวนึงเลยถือว่าน่าใช้งานครับ
OnePlus 8T 5G ตัวเครื่องมาพร้อมหน้าจอขนาด 6.55 นิ้วที่มีรีเฟรชเรท 120Hz โดยมาพร้อมฟีเจอร์ Always on และใช้กระจก Gorilla Glass แบบแบนที่ได้รับคะแนน A+ จาก DisplayMate อย่างไรก็ดีกล้องหน้าแบบเจาะรูจะมีความละเอียดอยู่ที่ 16MP และใช้เซ็นเซอร์ Sony IMX471 ภายในตัวเครื่องจะใช้ชิปประมวลผล Snapdragon 865 ที่มาพร้อมโมเด็ม X55 5G และมีแท่งกระจายความร้อนขนาดใหญ่กว่ารุ่นทีผ่านมาถึง 285% อีกทั้งยังมีแผ่นแกรไฟต์ช่วยระบายความร้อนด้วย นอกจากนี้ตัวเครื่องยังมาพร้อม RAM สูงสุดถึง 12GB และรันบนระบบปฏิบัติการ Android 11 ที่ครอบด้วย OxygenOS 11 ส่วนกล้องหลัง 4 ตัวจะประกอบด้วยกล้องตัวหลัก 48MP ที่ใช้เซ็นเซอร์ Sony IMX586 + กล้อง ultra-wide 16MP 123 องศา + กล้องมาโคร 5MP + กล้อง monochrome 2MP โดยกล้องบางตัวสามารถใช้ฟีเจอร์ night scape, ถ่ายวิดิโอ portrait รวมทั้ง video tracking ได้ ตัวเครื่องด้านหลังจะทำด้วยกระจก ส่วนแบตเตอรี่จะมีจำนวน 2 ก้อนก้อนละ 2,250mAh (รวม4,500mAh) และรองรับชาร์จเร็ว 65W ที่สามารถชาร์จแบตตัวสมาร์ทโฟนจนเต็มได้ในเวลา 39 นาที อีกทั้งยังมีเซ็นเซอร์วัดอุณหภูมิถึง 12 จุดขณะชาร์จทำให้สามารถรักษาระดับการชาร์จให้ปลอดภัยได้ นอกจากนี้ตัวหัวชาร์จยังรองรับการชาร์จ PD 45W !
Oneplus 8T 5G เปิดราคามาพร้อมกับ 2 สเปค
- Aquamarine Green สีเขียวน้ำทะเล สวยงามโดดเด่น สำหรับรุ่น 12+256 GB เท่านั้น 29,990 บาท
- Lunar Silver สีเทาสงบ ให้ความรู้สึกความสมดุลที่สมบูรณ์แบบ สำหรับรุ่น 8+128GB เท่านั้น 24,990 บาท
UNBOX
ตัวกล่องนั้นใหญ่มาในแนวยาวๆครับแบบเดียวกับรุ่นของ 8 เขียนเลข 8T สีแดงเด่นเล่นกับตัวอักษรสวยงามเลยครับ และบอกชือรุ่นชัดเจน ทั้งด้านหน้าและด้านข้าง ส่วนอุปกรณ์ในกล่องนั้นมีมาให้คล้ายกับรุ่นเดิมทั้งหมดครับไม่ได้แตกต่างอะไรกับ 8 Pro ก่อนหน้านี้เลยครับ แต่แค่ในเรื่องของตัวเคสนั้นไม่ได้มีแถมมาให้ในกล่องแล้วแอบเสียดายนิดนึง
- ตัวเครื่อง Oneplus 8T
- ที่ชาร์จ WarpCharge 65W (ที่เปลี่ยนจากเดิม)
- สายชาร์จ Type-C TO Type-C (ที่เปลี่ยนจากเดิม)
- สติกเกอร์ 1+
- คู่มือ และ ที่จิ้มซิม
- จดหมายจาก CEO
- ฟิล์มกันรอยติดมาให้เลยจากโรงงาน
- ไม่มีหูฟัง และ ตัวแปลง3.5มม.
DESIGN
งานออกแบบทางด้าน 1+8T รุ่นนี้ถือว่ามีการเปลี่ยนแปลงทั้งหมด ไม่น่าจะนับจาก 7T 8Pro หรือ Nord เองก็ตาม ในแง่ของการออกแบบรุ่นนี้ได้มีการเปลี่ยนแปลงใหม่ทั้งงานออกแบบส่วนกล้องและฝาหลังแบบใหม่นั้นเอง กล้องหลังจัดวางเรียงตามสมัยนิยมแอบคล้ายค่ายในเครืออยู่เหมือนกันครับ พร้อมกับฝาหลังแบบด้าน บางเพียง 8.4mm และน้ำหนักเพียง 188g พร้อมกับหน้าจอแบบ edge-to-edge ขอบบาง และฝาหลังสีสวยๆทั้ง เขียวน้ำเงิน และ เทา บนฝาหลังหลังกระจกด้านแบบ Glossy Glass ทำให้ลดรอยนิ้วมือได้ชัดเจนและสะท้อนแสงที่ทำให้นุ่มนวลมากขึ้น
ทางด้านหน้าจอนั้นใช้งานหน้าจอ AMOLED สีสันสวยงามสู้แสงได้ดีพร้อมกับสีดำสนิทสวยงามเลยทีเดียวมาในขนาด ขนาด 6.55 นิ้ว (2400 × 1080 พิกเซล) 120Hz Full HD+ อัตราส่วน 20:9, ความสว่าง 1100nits, และใช้กระจก Gorilla Glass ส่วนงานออกแบบนั้นเป็นแบบเจาะรูเช่นเดิมครับ ดีไซน์ถือว่าไม่ได้หนีจากเดิมมากนักแต่การเปลี่ยนมาใช้งานหน้าจอแบบนี้ถือว่าถูกใจแน่นอนหน้าจอสวยและได้ลื่นไหลอย่างมาก
ขอบหน้าจอด้านบนนั้นทำได้ค่อนข้างบางเป็นที่อยู่ของ ลำโพงสนทนา และ ลำโพงตัวที่ 2 และ เซนเซอร์ต่างๆแฝงไว้ตรงขอบหน้าจอ และมีความบางขึ้นเยอะอยู่ครับ รุ่นนี้เป็นแบบเจาะรู ใช้กล้องกล้องหน้า 16MP (f/2.45) ที่ใช้เซ็นเซอร์ Sony IMX471, รองรับ EIS เซนเซอร์ตัวเดิมเลยนั้นเองตัวเดียวกับ 1+8 Pro ก่อนหน้านี้เลยครับ
ขอบด้านล่างหน้าจอตัวนี้ต้องบอกว่าทำได้บางมากๆเรียกได้ว่าบางเกือบจะเท่าขอบด้านอื่นๆแล้ว และในการคุมนั้นสามารถใช้งานแบบเต็มหน้าจอ หรือ เป็นปุ่มปกติได้ครับ ในส่วนของสแกนนิ้วนั้นอยู่ตรงกลางด้านล่างหน้าจอ
ขอบทางด้านขวานั้นเราจะเห็นว่าเป็นปุ่ม Power สำหรับการเปิดปิดเครื่อง และ ปุ่ม สไลด์สำหรับเปลี่ยนโหมดเสียง เงียบ สั่น หรือ เสียงดัง เป็นเอกลักษณ์ของทาง Oneplus ที่ยังคงใส่เข้ามาให้ในทุกรุ่นของค่ายนี้ครับใช้งานสะดวก
ขอบเครื่องด้านบนนั้นเราจะเห็นตัว ขีดเสาสัญญาณ และ ไมค์สำหรับตัดเสียง และ บันทึกเสียงตัวที่ 2 ที่ใส่เข้ามาให้ด้วยเช่นกัน และจะเห็นว่าตัวกล้องนั้นไม่ได้นูนออกมามากเท่ากับรุ่นก่อนแล้วจุดนี้ถือว่าทำได้ดีพอสมควร
ขอบเครื่องทางซ้ายมือนั้นเราจะเห็นว่าเป็นปุ่มเพิ่ม ลด เสียงเท่านั้นพร้อมกับขอบโครมเมี่ยมทั้งหมดสีเงินสวยงามและฝาหลังจะโค้งลงมากินขอบเครื่องด้านข้างด้วยเช่นกันทำให้จับได้ถนัดและส่งผลถึงงานออกแบบด้วย
ขอบด้านล่างนั้นจะเป็นที่อยู่ของลำโพงตัวที่ 1 เป็นลำโพงหลักพร้อมกับ รู USB Type-C และ ช่องสำหรับไมค์เสียง บันทึกเสียงเวลา คุยโทรศัพท์ต่างๆ และถาดซิมก็ใส่เข้ามาให้ตรงนี้พร้อมกับการรองรับ Dual SIM
ฝาหลังนั้นเราจะเห็นว่าเป็นงานออกแบบใหม่ทั้งหมดทั้งวัสดุฝาหลังแบบด้านและใช้งานกล้องหลังดีไซน์ใหม่วางไว้มุมซ้ายเครื่องพร้อมกับเรียงกล้องแบบใหม่ แม้จะคล้ายรุ่นอื่นในเครือญาติก็ตาม แต่ก็มีการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดข้างในต่างๆเพิ่มเติม รวมถึงการจัดวางกล้องก็ไม่เหมือนกันครับ ส่วนมีความหนาขึ้นมานิดหน่อยไม่เยอะมากนัก รวมถึงโลโก้ใหม่ และ ฝาหลังก็จัดวางได้อย่างลงตัว สะท้อนแสงสวยงามและป้องกันลายนิ้วมือได้เป็นอย่างดีเลยแหละ
กล้องหลังนั้น กล้องหลัง 48MP (f/1.7) ที่ใช้เซ็นเซอร์ Sony IMX586, ขนาดพิกเซล 0.8μm, รองรับ OIS + EIS Hybrid stabilization + กล้อง ultra-wide 123 องศา 16MP (f/2.2) ใช้เซ็นเซอร์ Sony IMX481 + กล้องมาโคร 3ซม. 5MP + กล้องจับความลึก 2MP การจัดวางเรียงกันแบบใหม่ทำให้ระยะการใช้งานได้ดีขึ้น พร้อมกับไฟแฟลช ตรงกลาง และ ส่วนสีขาวบนสุดนั้นจะเป็น flicker detection sensor สำหรับจับการกระพริบของไฟต่างๆ ไม่ได้มีไฟแฟลช 2 ตำแหน่งนะครับ ไว้สำหรับ
SPEC
- หน้าจอ Fluid AMOLED ขนาด 6.55 นิ้ว (1080 x 2400 พิกเซล) Full HD+, 402 ppi, อัตราส่วน 20:9, มีรีเฟรชเรท 120Hz, รองรับ HDR 10+, ความสว่าง 1100 nits, ใช้กระจก Gorilla Glass
- ชิปประมวลผล Snapdragon 865 7nm ที่ใช้การ์ดจอ Adreno 650
- RAM LPDDR4X 8GB + storage (UFS 3.1) 128GB / RAM LPDDR4X 12GB + storage (UFS 3.1) 256GB
- Android 11 ที่ครอบด้วย OxygenOS 11
- ซิมคู่ (nano + nano)
- กล้องหลัง 48MP (f/1.7) ที่ใช้เซ็นเซอร์ Sony IMX586, ขนาดพิกเซล 0.8μm, รองรับ OIS + EIS Hybrid stabilization + กล้อง ultra-wide 123 องศา 16MP (f/2.2) ใช้เซ็นเซอร์ Sony IMX481 + กล้องมาโคร 3ซม. 5MP + กล้องจับความลึก 2MP, ถ่ายวิดิโอ 4K ได้ที่ 60fps, ถ่าย slow motion 720p ได้ที่ 480fps, ถ่าย slow motion 1080p ได้ที่ 240fps
- กล้องหน้า 16MP (f/2.45) ที่ใช้เซ็นเซอร์ Sony IMX471, รองรับ EIS
- เซ็นเซอร์สแกนนิ้วใต้หน้าจอ
- ขนาดตัวเครื่อง: 160.7×74.1×8.4mm; น้ำหนัก: 188 กรัม
- ใช้พอร์ต USB Type-C, ลำโพง Stereo คู่, Dolby Atmos
- รองรับเครือข่าย 5G SA/NSA, Dual 4G VoLTE, Wi-Fi 6 802.11 ax 2X2 MIMO, Bluetooth 5.1, GPS (L1+L5 Dual Band) + GLONASS
- แบตเตอรี่ 4,500mAh ที่รองรับ Warp Charge 65W
PERFORMANCE
ประสิทธิภาพของตัวเครื่องตัวนี้พกพาความแรงระดับสูงอยู่แล้วด้วย Snapdragon 865 ที่แรงกว่าเดิม พร้อมกับ RAM 12GB และใช้งานหน่วยความจำแบบ UFS 3.0 256GB ตัวนี้คือเร็วมากๆ และทำคะแนนในส่วนของ Antutu ไปได้ 577951 คะแนน และ Geekbench ได้ไป 895/3270 รวมถึงหน่วยความจำอ่านเขียนไปได้สูงมากๆ ทำความเร็วไปได้ 1,674 MB/s และ DRM L1 สำหรับการดู NETFLIX รองรับสูงสุด HDR HD ครับ
SYSTEM UI
Android 11 ที่ครอบด้วย Oxygen OS 10 และหลายๆคนคงทราบกันดีกว่าแบรนด์ OnePlusมักจะได้รับการอัพเกรดซอฟต์แวร์เร็วเป็นอันดับ 2 เป็นรองแค่ Google เท่านั้น และซัพพอร์ตยาวๆเป็นเวลา 2 ปี ซึ่งตลอด 2 ปีนี้จะได้รับการอัพเกรดใหญ่ๆทั้งหมด และได้รับการอัพเกรดด้านความปลอดภัยไปอีก 3 ปี เป็นรุ่นที่ทำระบบมาค่อนข้างดีมากๆและใช้งานได้ดีอันดับต้นๆของ Android การแจ้งเตือนอะไรทำได้ไวกว่าหลายๆตัวในบรรดา Android ด้วย
แน่นอนว่าลากลงมา 1 ครั้งเจอตั้งค่า ลากลงมาอีกรอบก็ เหมือนรุ่นอื่นๆที่ใช้ Android 11 แต่จะเห็นว่าหน้าตาอะไรหลายๆอย่างแอบเปลี่ยนแปลงจากรุ่นก่อนหน้าชัดเจนเลยครับ และสำหรับการแบ่งหน้าจอนั้น ยังคงทำได้เช่นเดิม สามารถกดเข้าหน้าเคลียร์แอปและกด 3 จุดมุมขวาบนได้เลยครับ และสามารถใช้งานหน้าต่างลอยได้ด้วยทำให้แบ่งได้อิสระมากขึ้น ภาพรวมมันเปลี่ยนโทนสีได้เลยเลือก ดำแดง ก็สวยเข้มดีครับ เปลี่ยนรูปทรงไอคอนได้ด้วยนะ
ตัวระบบใช้งานได้ 110 ครับ และ RAM 8 GB ใช้ไป 5.1 GB โดยเป็นการนับเฉลี่ย 1 วันที่แอดมินใช้งานปกติครับผม สำหรับทางแป้นพิมพ์ ตัวนี้ใช้ของ G board อันนี้แอดมินชอบสุดละตัวนี้ เรียบสวยและสเถียรมากๆ
[SR] รีวิว Oneplus 8T 5G หน้าจอ AMOLED 120Hz พร้อม Snap 865 ชาร์จไวสุด WarpCharge 65W !
Oneplus ยังคงเป็นค่ายที่หลายๆคนหรือว่าคนที่เล่นมือถือน่าจะรู้จักกันดีเป็นอีกแบรนด์ที่ทำมือถือออกมาได้น่าใช้งานเทียบสเปคราคาและทำได้ดีอันดับต้นๆอยู่เสมอแม้ว่าหลังๆอาจจะมีก้าวข้ามไปสู่เรือธงเต็มที่แต่ก็ยังมีการออกรุ่นกลางสเปคแรงออกมาให้ใช้งานอย่างเช่น 7T ก่อนหน้านี้ และในครั้งนี้เองนั้นทาง Oneplus ได้สานต่อมาจนถึงรุ่น 8T ที่ออกมาพร้อมกับสเปคที่แน่นๆในหลายๆจุดทั้งการใช้งาน Snapdragon 865 5G รองรับหน้าจอ 120Hz AMOLED แบบรุ่นพี่รวมถึงการให้ที่ชาร์จไว WarpCharge 65W มาในกล่องไม่ต้องซื้อเพิ่มเติม รวมถึงใช้งาน Android 11 มาให้เลยและรองรับการอัพเดทที่ไวและลื่นไหลอันดับต้นๆของ Android ด้วยกันทำให้แบรนด์นี้ยังคงมีความน่าเล่น น่าใช้งานและเป็น Android Device ที่มีความลื่นไหล เสถียรมากๆตัวนึงเลยถือว่าน่าใช้งานครับ
OnePlus 8T 5G ตัวเครื่องมาพร้อมหน้าจอขนาด 6.55 นิ้วที่มีรีเฟรชเรท 120Hz โดยมาพร้อมฟีเจอร์ Always on และใช้กระจก Gorilla Glass แบบแบนที่ได้รับคะแนน A+ จาก DisplayMate อย่างไรก็ดีกล้องหน้าแบบเจาะรูจะมีความละเอียดอยู่ที่ 16MP และใช้เซ็นเซอร์ Sony IMX471 ภายในตัวเครื่องจะใช้ชิปประมวลผล Snapdragon 865 ที่มาพร้อมโมเด็ม X55 5G และมีแท่งกระจายความร้อนขนาดใหญ่กว่ารุ่นทีผ่านมาถึง 285% อีกทั้งยังมีแผ่นแกรไฟต์ช่วยระบายความร้อนด้วย นอกจากนี้ตัวเครื่องยังมาพร้อม RAM สูงสุดถึง 12GB และรันบนระบบปฏิบัติการ Android 11 ที่ครอบด้วย OxygenOS 11 ส่วนกล้องหลัง 4 ตัวจะประกอบด้วยกล้องตัวหลัก 48MP ที่ใช้เซ็นเซอร์ Sony IMX586 + กล้อง ultra-wide 16MP 123 องศา + กล้องมาโคร 5MP + กล้อง monochrome 2MP โดยกล้องบางตัวสามารถใช้ฟีเจอร์ night scape, ถ่ายวิดิโอ portrait รวมทั้ง video tracking ได้ ตัวเครื่องด้านหลังจะทำด้วยกระจก ส่วนแบตเตอรี่จะมีจำนวน 2 ก้อนก้อนละ 2,250mAh (รวม4,500mAh) และรองรับชาร์จเร็ว 65W ที่สามารถชาร์จแบตตัวสมาร์ทโฟนจนเต็มได้ในเวลา 39 นาที อีกทั้งยังมีเซ็นเซอร์วัดอุณหภูมิถึง 12 จุดขณะชาร์จทำให้สามารถรักษาระดับการชาร์จให้ปลอดภัยได้ นอกจากนี้ตัวหัวชาร์จยังรองรับการชาร์จ PD 45W !
Oneplus 8T 5G เปิดราคามาพร้อมกับ 2 สเปค
- Aquamarine Green สีเขียวน้ำทะเล สวยงามโดดเด่น สำหรับรุ่น 12+256 GB เท่านั้น 29,990 บาท
- Lunar Silver สีเทาสงบ ให้ความรู้สึกความสมดุลที่สมบูรณ์แบบ สำหรับรุ่น 8+128GB เท่านั้น 24,990 บาท
UNBOX
ตัวกล่องนั้นใหญ่มาในแนวยาวๆครับแบบเดียวกับรุ่นของ 8 เขียนเลข 8T สีแดงเด่นเล่นกับตัวอักษรสวยงามเลยครับ และบอกชือรุ่นชัดเจน ทั้งด้านหน้าและด้านข้าง ส่วนอุปกรณ์ในกล่องนั้นมีมาให้คล้ายกับรุ่นเดิมทั้งหมดครับไม่ได้แตกต่างอะไรกับ 8 Pro ก่อนหน้านี้เลยครับ แต่แค่ในเรื่องของตัวเคสนั้นไม่ได้มีแถมมาให้ในกล่องแล้วแอบเสียดายนิดนึง
- ตัวเครื่อง Oneplus 8T
- ที่ชาร์จ WarpCharge 65W (ที่เปลี่ยนจากเดิม)
- สายชาร์จ Type-C TO Type-C (ที่เปลี่ยนจากเดิม)
- สติกเกอร์ 1+
- คู่มือ และ ที่จิ้มซิม
- จดหมายจาก CEO
- ฟิล์มกันรอยติดมาให้เลยจากโรงงาน
- ไม่มีหูฟัง และ ตัวแปลง3.5มม.
DESIGN
งานออกแบบทางด้าน 1+8T รุ่นนี้ถือว่ามีการเปลี่ยนแปลงทั้งหมด ไม่น่าจะนับจาก 7T 8Pro หรือ Nord เองก็ตาม ในแง่ของการออกแบบรุ่นนี้ได้มีการเปลี่ยนแปลงใหม่ทั้งงานออกแบบส่วนกล้องและฝาหลังแบบใหม่นั้นเอง กล้องหลังจัดวางเรียงตามสมัยนิยมแอบคล้ายค่ายในเครืออยู่เหมือนกันครับ พร้อมกับฝาหลังแบบด้าน บางเพียง 8.4mm และน้ำหนักเพียง 188g พร้อมกับหน้าจอแบบ edge-to-edge ขอบบาง และฝาหลังสีสวยๆทั้ง เขียวน้ำเงิน และ เทา บนฝาหลังหลังกระจกด้านแบบ Glossy Glass ทำให้ลดรอยนิ้วมือได้ชัดเจนและสะท้อนแสงที่ทำให้นุ่มนวลมากขึ้น
ทางด้านหน้าจอนั้นใช้งานหน้าจอ AMOLED สีสันสวยงามสู้แสงได้ดีพร้อมกับสีดำสนิทสวยงามเลยทีเดียวมาในขนาด ขนาด 6.55 นิ้ว (2400 × 1080 พิกเซล) 120Hz Full HD+ อัตราส่วน 20:9, ความสว่าง 1100nits, และใช้กระจก Gorilla Glass ส่วนงานออกแบบนั้นเป็นแบบเจาะรูเช่นเดิมครับ ดีไซน์ถือว่าไม่ได้หนีจากเดิมมากนักแต่การเปลี่ยนมาใช้งานหน้าจอแบบนี้ถือว่าถูกใจแน่นอนหน้าจอสวยและได้ลื่นไหลอย่างมาก
ขอบหน้าจอด้านบนนั้นทำได้ค่อนข้างบางเป็นที่อยู่ของ ลำโพงสนทนา และ ลำโพงตัวที่ 2 และ เซนเซอร์ต่างๆแฝงไว้ตรงขอบหน้าจอ และมีความบางขึ้นเยอะอยู่ครับ รุ่นนี้เป็นแบบเจาะรู ใช้กล้องกล้องหน้า 16MP (f/2.45) ที่ใช้เซ็นเซอร์ Sony IMX471, รองรับ EIS เซนเซอร์ตัวเดิมเลยนั้นเองตัวเดียวกับ 1+8 Pro ก่อนหน้านี้เลยครับ
ขอบด้านล่างหน้าจอตัวนี้ต้องบอกว่าทำได้บางมากๆเรียกได้ว่าบางเกือบจะเท่าขอบด้านอื่นๆแล้ว และในการคุมนั้นสามารถใช้งานแบบเต็มหน้าจอ หรือ เป็นปุ่มปกติได้ครับ ในส่วนของสแกนนิ้วนั้นอยู่ตรงกลางด้านล่างหน้าจอ
ขอบทางด้านขวานั้นเราจะเห็นว่าเป็นปุ่ม Power สำหรับการเปิดปิดเครื่อง และ ปุ่ม สไลด์สำหรับเปลี่ยนโหมดเสียง เงียบ สั่น หรือ เสียงดัง เป็นเอกลักษณ์ของทาง Oneplus ที่ยังคงใส่เข้ามาให้ในทุกรุ่นของค่ายนี้ครับใช้งานสะดวก
ขอบเครื่องด้านบนนั้นเราจะเห็นตัว ขีดเสาสัญญาณ และ ไมค์สำหรับตัดเสียง และ บันทึกเสียงตัวที่ 2 ที่ใส่เข้ามาให้ด้วยเช่นกัน และจะเห็นว่าตัวกล้องนั้นไม่ได้นูนออกมามากเท่ากับรุ่นก่อนแล้วจุดนี้ถือว่าทำได้ดีพอสมควร
ขอบเครื่องทางซ้ายมือนั้นเราจะเห็นว่าเป็นปุ่มเพิ่ม ลด เสียงเท่านั้นพร้อมกับขอบโครมเมี่ยมทั้งหมดสีเงินสวยงามและฝาหลังจะโค้งลงมากินขอบเครื่องด้านข้างด้วยเช่นกันทำให้จับได้ถนัดและส่งผลถึงงานออกแบบด้วย
ขอบด้านล่างนั้นจะเป็นที่อยู่ของลำโพงตัวที่ 1 เป็นลำโพงหลักพร้อมกับ รู USB Type-C และ ช่องสำหรับไมค์เสียง บันทึกเสียงเวลา คุยโทรศัพท์ต่างๆ และถาดซิมก็ใส่เข้ามาให้ตรงนี้พร้อมกับการรองรับ Dual SIM
ฝาหลังนั้นเราจะเห็นว่าเป็นงานออกแบบใหม่ทั้งหมดทั้งวัสดุฝาหลังแบบด้านและใช้งานกล้องหลังดีไซน์ใหม่วางไว้มุมซ้ายเครื่องพร้อมกับเรียงกล้องแบบใหม่ แม้จะคล้ายรุ่นอื่นในเครือญาติก็ตาม แต่ก็มีการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดข้างในต่างๆเพิ่มเติม รวมถึงการจัดวางกล้องก็ไม่เหมือนกันครับ ส่วนมีความหนาขึ้นมานิดหน่อยไม่เยอะมากนัก รวมถึงโลโก้ใหม่ และ ฝาหลังก็จัดวางได้อย่างลงตัว สะท้อนแสงสวยงามและป้องกันลายนิ้วมือได้เป็นอย่างดีเลยแหละ
กล้องหลังนั้น กล้องหลัง 48MP (f/1.7) ที่ใช้เซ็นเซอร์ Sony IMX586, ขนาดพิกเซล 0.8μm, รองรับ OIS + EIS Hybrid stabilization + กล้อง ultra-wide 123 องศา 16MP (f/2.2) ใช้เซ็นเซอร์ Sony IMX481 + กล้องมาโคร 3ซม. 5MP + กล้องจับความลึก 2MP การจัดวางเรียงกันแบบใหม่ทำให้ระยะการใช้งานได้ดีขึ้น พร้อมกับไฟแฟลช ตรงกลาง และ ส่วนสีขาวบนสุดนั้นจะเป็น flicker detection sensor สำหรับจับการกระพริบของไฟต่างๆ ไม่ได้มีไฟแฟลช 2 ตำแหน่งนะครับ ไว้สำหรับ
SPEC
- หน้าจอ Fluid AMOLED ขนาด 6.55 นิ้ว (1080 x 2400 พิกเซล) Full HD+, 402 ppi, อัตราส่วน 20:9, มีรีเฟรชเรท 120Hz, รองรับ HDR 10+, ความสว่าง 1100 nits, ใช้กระจก Gorilla Glass
- ชิปประมวลผล Snapdragon 865 7nm ที่ใช้การ์ดจอ Adreno 650
- RAM LPDDR4X 8GB + storage (UFS 3.1) 128GB / RAM LPDDR4X 12GB + storage (UFS 3.1) 256GB
- Android 11 ที่ครอบด้วย OxygenOS 11
- ซิมคู่ (nano + nano)
- กล้องหลัง 48MP (f/1.7) ที่ใช้เซ็นเซอร์ Sony IMX586, ขนาดพิกเซล 0.8μm, รองรับ OIS + EIS Hybrid stabilization + กล้อง ultra-wide 123 องศา 16MP (f/2.2) ใช้เซ็นเซอร์ Sony IMX481 + กล้องมาโคร 3ซม. 5MP + กล้องจับความลึก 2MP, ถ่ายวิดิโอ 4K ได้ที่ 60fps, ถ่าย slow motion 720p ได้ที่ 480fps, ถ่าย slow motion 1080p ได้ที่ 240fps
- กล้องหน้า 16MP (f/2.45) ที่ใช้เซ็นเซอร์ Sony IMX471, รองรับ EIS
- เซ็นเซอร์สแกนนิ้วใต้หน้าจอ
- ขนาดตัวเครื่อง: 160.7×74.1×8.4mm; น้ำหนัก: 188 กรัม
- ใช้พอร์ต USB Type-C, ลำโพง Stereo คู่, Dolby Atmos
- รองรับเครือข่าย 5G SA/NSA, Dual 4G VoLTE, Wi-Fi 6 802.11 ax 2X2 MIMO, Bluetooth 5.1, GPS (L1+L5 Dual Band) + GLONASS
- แบตเตอรี่ 4,500mAh ที่รองรับ Warp Charge 65W
PERFORMANCE
ประสิทธิภาพของตัวเครื่องตัวนี้พกพาความแรงระดับสูงอยู่แล้วด้วย Snapdragon 865 ที่แรงกว่าเดิม พร้อมกับ RAM 12GB และใช้งานหน่วยความจำแบบ UFS 3.0 256GB ตัวนี้คือเร็วมากๆ และทำคะแนนในส่วนของ Antutu ไปได้ 577951 คะแนน และ Geekbench ได้ไป 895/3270 รวมถึงหน่วยความจำอ่านเขียนไปได้สูงมากๆ ทำความเร็วไปได้ 1,674 MB/s และ DRM L1 สำหรับการดู NETFLIX รองรับสูงสุด HDR HD ครับ
SYSTEM UI
Android 11 ที่ครอบด้วย Oxygen OS 10 และหลายๆคนคงทราบกันดีกว่าแบรนด์ OnePlusมักจะได้รับการอัพเกรดซอฟต์แวร์เร็วเป็นอันดับ 2 เป็นรองแค่ Google เท่านั้น และซัพพอร์ตยาวๆเป็นเวลา 2 ปี ซึ่งตลอด 2 ปีนี้จะได้รับการอัพเกรดใหญ่ๆทั้งหมด และได้รับการอัพเกรดด้านความปลอดภัยไปอีก 3 ปี เป็นรุ่นที่ทำระบบมาค่อนข้างดีมากๆและใช้งานได้ดีอันดับต้นๆของ Android การแจ้งเตือนอะไรทำได้ไวกว่าหลายๆตัวในบรรดา Android ด้วย
แน่นอนว่าลากลงมา 1 ครั้งเจอตั้งค่า ลากลงมาอีกรอบก็ เหมือนรุ่นอื่นๆที่ใช้ Android 11 แต่จะเห็นว่าหน้าตาอะไรหลายๆอย่างแอบเปลี่ยนแปลงจากรุ่นก่อนหน้าชัดเจนเลยครับ และสำหรับการแบ่งหน้าจอนั้น ยังคงทำได้เช่นเดิม สามารถกดเข้าหน้าเคลียร์แอปและกด 3 จุดมุมขวาบนได้เลยครับ และสามารถใช้งานหน้าต่างลอยได้ด้วยทำให้แบ่งได้อิสระมากขึ้น ภาพรวมมันเปลี่ยนโทนสีได้เลยเลือก ดำแดง ก็สวยเข้มดีครับ เปลี่ยนรูปทรงไอคอนได้ด้วยนะ
ตัวระบบใช้งานได้ 110 ครับ และ RAM 8 GB ใช้ไป 5.1 GB โดยเป็นการนับเฉลี่ย 1 วันที่แอดมินใช้งานปกติครับผม สำหรับทางแป้นพิมพ์ ตัวนี้ใช้ของ G board อันนี้แอดมินชอบสุดละตัวนี้ เรียบสวยและสเถียรมากๆ
SR - Sponsored Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ SR โดยที่เจ้าของกระทู้