สวัสดีค่ะ ตามหัวข้อกท.เลยค่ะ เรารู้สึกแย่มากๆกับการที่พ่อแม่เป็นห่วงและดูแลเรามากเกินไป เรารู้สึกเหนื่อนและอึดอัดมากๆ ไม่อยากมีความรู้สึกแบบนี้เลยค่ะ
เริ่มแรกเราเป็นลูกสาวคนเดียว อายุ18 อยู่มหาวิทยาลัยแล้วค่ะ เป็นคนแบบ introvert ไม่ค่อยออกจากบ้านแต่ชอบออกค่ายและทำกิจกรรมจิตอาสาเพื่อสังคมค่ะ
เราเริ่มรู้ตัวว่าเป็นคนชอบทำกิจกรรมตอนช่วงม.ปลายค่ะ มีงานอะไรก็อยากทำอยากร่วมไปหมด ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะไม่เคยได้ทำมาก่อนเลยอยากรู้อยากลอง แต่ไม่ว่าจะเป็นค่ายข้างนอกหรือค่ายของทางรร.หรือกิจกรรมต่างๆ ที่อาจต้องอยู่รร.มืดค่ำพวกท่านมักไม่ให้ไปค่ะ เราเคยไปแค่ค่ายYMCAครั้งเดียว โดยครั้งนั้นมีเพื่อนที่รร.สมัครไปด้วยกันประมาณ 10 คน ส่วนค่ายหรือกิจกรรมอื่นๆเราได้ไปแค่แบบไปเช้าเย็นกลับค่ะ ส่วนใหญ่คือพ่อแม่ไปรับส่งหรือส่งขึ้นรถไฟฟ้าแล้วไปรับไม่เคยได้เดินทางเองคนเดียวสักที ซึ่งเราก็เข้าใจเพราะแถวบ้านไม่มีรถไฟฟ้าและรถเมล์ผ่าน ต้องรอสองแถวอย่างเดียวแล้วต่อรถเมล์ไปรถไฟฟ้า เหตุผลที่ถูกใช้ทุกๆครั้งเวลาไม่ให้ไปค่ายคือ "ลูกยังเด็ก" "แม่กับป๊าเป็นห่วง" "ไว้ใจได้รึเปล่าก็ไม่รู้(หมายถึงองค์กรณ์ที่จัดค่าย)" ถึงแม่ว่าจะหาข้อมูลองค์กรณ์มาให้ว่าไว้ใจได้นะแต่สุดท้ายก็จะโดนสองเหตุผลแรกปัดตกไปเช่นเดิมหรือไม่พ่อแม่ก็ไม่ได้ใส่ใจอยู่แล้วว่าไว้ใจได้หรือไม่แต่แค่ไม่อยากให้ไป ตอนนั้นเราก็แบบเก็บความรู้สึกแย่ไว้ในใจ พยายามทำความเข้าใจว่าเราพึ่งอายุ15-17ปี เราคงยังเด็กในสายตาเขา ไม่เป็นไร เดี๋ยวโตก็ได้ไป
เคยมีค่ายที่ไปกับทางรร.คืออาสาสมัครไปดูแลน้องๆที่ดอย1สัปดาห์ มีคุณครูไปกันหลายท่านและไปเป็นประจำทุกปี เราที่ตอนนั้นอยู่ม.6อยากไปมากค่ะเลยไปขอแน่นอนว่าพวกท่านไม่ให้โดยให้เหตุผลว่าเป็นห่วงเหมือนทุกครั้ง ทั้งๆที่ค่ายนี้เรารู้สึกว่าน่าเชื่อถือที่สุดในบรรดาค่ายทั้งหมดที่เราขอ คนที่ไปมีแต่เด็กในรร. กับครู คนขับรถก็เป็นคนของรร. ไม่น่ากลัวว่าจะเมาแล้วขับหรือขับเร็วแน่นอน ค.ปลอดภัยค่อนข้างมากด้วย พอมาตอนนี้เราเลยเริ่มรู้สึกแย่ขึ้นมาว่าที่ไม่ให้ไปเพราะเป็นห่วงหรือไม่ไว้ใจในตัวเรากันแน่?? ตอนนั้นเราอายุ17ปีค่ะ รู้สึกว่าตัวเองโตแล้วและมีวุฒิภาวะมากพอ แต่พ่อแม่ก็ยังคงไม่ให้เราไปอยู่ดี แล้วช่วงนั้นก็เป็นช่วงที่เครียดเรื่องเข้ามหาวิทยาลัยมากด้วยเลยยิ่งรู้สึกแย่เข้าไปอีก แล้วก็ได้แต่ปลอบใจตัวเองว่าเดี๋ยวพอขึ้นมหาวิทยาลัยก็ดีขึ้นเอง
พอขึ้นมหาวิทยาลัยเราอยากอยู่หอค่ะ แต่พี่บ้านไม่ให้ด้วยปัญหาค่าใช้จ่าย เพราะคุณพ่อกำลังจะเกษียณปีหน้าส่วนคุณอม่ก็ไม่ได้ทำงาน จะขอทุนก็ไม่ได้เพราะคุณสมบัติไม่ตรงและเราเองก็ไม่ได้อยากขอด้วนเพราะรู้ว่ามีคนที่น่าจะลำบากกว่าเราเลยตัดสินใจจะขอตอนที่คุณพ่อเกษียณเพราะที่บ้านจะไม่มีรายได้ ความจริงแล้วบ้านอยู่ใกล้มหิดลค่ะ แต่ติดมหาลัยในเมืองที่มีรถไฟฟ้าผ่านแต่ก็ต้องตื่นประมาณตี5ไปเรียนอยู่ดี รู้สึกผิดหวังมากค่ะ เพราะคาดหวังไว้มากๆๆๆๆๆๆ ว่าขึ้นมหาลัยจะได้อยู่หอเพราะนอกจากมหิดลแล้วที่อื่นไกลบ้านหมด แต่สุดท้ายเราเองก็เข้าใจและยอมอยู่บ้านค่ะถึงแรกๆจะงอแงบ้างนิดหน่อยๆก็ตามแต่ยอมรับว่าผิดหวังมากค่ะ เพราะช่วงมัธยมเราไม่เคยได้ทำกิจกรรมอะไรเลยจึงหลังไว้กับชีวิตในรั้วมหาลัยไว้มาก กลายเป็นว่าตอนนี้ก็ไม่ต่างอะไรจากเรียนมัธยมค่ะ เรียนเสร็จก็รีบกลับบ้านเหมือนเดิม แค่กินข้าวกับเพื่อนถึงห้าโมงครึ่งก็โดนโทรจิกแล้ว เราน่ะไม่ได้อยากเที่ยวกลางคืนหรอกค่ะ แต่แบบอยากทำกิจกรรมหลายๆอย่างซึ่งบางอย่างต้องอยู่ดึกถึงทุ่มสองทุ่มซึ่งพ่อแม่ไม่ให้ค่ะ เพราะเขาเป็นคนมารับเรากลับบ้าน จะกลับเองก็ไม่ยอมบอกว่าอันตราย และเหตุผลที่ว่าเป็นผู้หญิงกลับบ้านมืดค่ำจะดูเป็นผู้หญิงไม่ดี(เรางงเหตุผลนี้มากค่ะ เพร่ะเราอยู่เพื่อทำงานไม่ใช่เที่ยว ชุดก็ชุดมหาลัย ไม่แต่งตัวโป๊ กลับบ้านกับพ่อแม่ตลอด ดูไม่ดียังไง งั้นเวลาเดินห้างกับพ่อแม่จนมืดค่ำก็ต้องเป็นผู้หญิงไม่ดีเหรอคะ?) ล่าสุดขอไปค่ายที่ภาคเหนือสองสัปดาห์ช่วงปิดเทอมก็ไม่ให้ไปค่ะ บอกให้ไปปี3-4 แต่คือช่วงนั้นเราน่าจะต้องทำธีสิสค่ะเพราะเป็นปีสุดท้าย อีกอย่างคณะจองเรา(ไม่รู้ว่าคณะอื่นไปมั้ย)เป็นคณะที่ต้องฝึกงานช่วงปิดเทอมค่ะ เราไม่อยากไปหวังน้ำบ่อหน้า ในเมื่อมีโอกาสเราก็อยากคว้าเอาไว้ เพราะตอนม.ปลายเราเสียโอกาสหลายๆอย่างกับคำว่า "เป็นห่วง" กับคำพูดที่เหมือนบอกให้ "รอโอกาสหน้า" มามากแล้ว
จนมาช่วงนี้เรารู้สึกรำคาญพ่อแม่มากๆ ทุกครั้งที่ท่านพูดอะไรเพื่อแสดงความเป็นห่วงหรือย้ำเรื่องอะไรซ้ำเราจะเผลอขึ้นเสียงใส่ด้วยความโมโหอย่างลืมตัว(คิดว่าเป็นเรื่องฮอร์โมน+ค.รู้สึกแย่ๆว่าพ่อแม่เป็นห่วงมากเกินไปและไม่ไว้ใจ ตอนนี้กำลังปรับปรุงตัวอยู่ค่ะ) เราแอบร้องไห้โดยไม่ให้พวกท่านรู้บ่อยมากๆ ตั้งแต่ม.ปลายจนตอนนี้มหาวิทาลัยก็เริ่มถี่ขึ้นมากจน3-5ครั้งต่อสัปดาห์แล้วค่ะ(เช็คแล้วว่าไม่ใช่โรคซึมเศร้าค่ะ แต่น่าจะเครียด)
ตอนนี้เรารู้สึกแย่มากๆที่มีความคิดแบบนี้แล้วก็ไม่อยากร้องไห้บ่อยๆลยค่ะ มีใครมีวิธีแก้มั้ยคะ อยากฟังความคิดเห็นของเพื่อนๆ พี่ๆ ที่อาจเคยหรือไม่เคยประสบปัญหาเดียวกันรวมถึงพ่อแม่ผู้ปกครองทุกท่านด้วยค่ะ
รู้สึกอึดอัดกับความเป็นห่วงของพ่อแม่มากๆ ควรจัดการความรู้สึกแบบนี้ยังไงดีคะ??
เริ่มแรกเราเป็นลูกสาวคนเดียว อายุ18 อยู่มหาวิทยาลัยแล้วค่ะ เป็นคนแบบ introvert ไม่ค่อยออกจากบ้านแต่ชอบออกค่ายและทำกิจกรรมจิตอาสาเพื่อสังคมค่ะ
เราเริ่มรู้ตัวว่าเป็นคนชอบทำกิจกรรมตอนช่วงม.ปลายค่ะ มีงานอะไรก็อยากทำอยากร่วมไปหมด ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะไม่เคยได้ทำมาก่อนเลยอยากรู้อยากลอง แต่ไม่ว่าจะเป็นค่ายข้างนอกหรือค่ายของทางรร.หรือกิจกรรมต่างๆ ที่อาจต้องอยู่รร.มืดค่ำพวกท่านมักไม่ให้ไปค่ะ เราเคยไปแค่ค่ายYMCAครั้งเดียว โดยครั้งนั้นมีเพื่อนที่รร.สมัครไปด้วยกันประมาณ 10 คน ส่วนค่ายหรือกิจกรรมอื่นๆเราได้ไปแค่แบบไปเช้าเย็นกลับค่ะ ส่วนใหญ่คือพ่อแม่ไปรับส่งหรือส่งขึ้นรถไฟฟ้าแล้วไปรับไม่เคยได้เดินทางเองคนเดียวสักที ซึ่งเราก็เข้าใจเพราะแถวบ้านไม่มีรถไฟฟ้าและรถเมล์ผ่าน ต้องรอสองแถวอย่างเดียวแล้วต่อรถเมล์ไปรถไฟฟ้า เหตุผลที่ถูกใช้ทุกๆครั้งเวลาไม่ให้ไปค่ายคือ "ลูกยังเด็ก" "แม่กับป๊าเป็นห่วง" "ไว้ใจได้รึเปล่าก็ไม่รู้(หมายถึงองค์กรณ์ที่จัดค่าย)" ถึงแม่ว่าจะหาข้อมูลองค์กรณ์มาให้ว่าไว้ใจได้นะแต่สุดท้ายก็จะโดนสองเหตุผลแรกปัดตกไปเช่นเดิมหรือไม่พ่อแม่ก็ไม่ได้ใส่ใจอยู่แล้วว่าไว้ใจได้หรือไม่แต่แค่ไม่อยากให้ไป ตอนนั้นเราก็แบบเก็บความรู้สึกแย่ไว้ในใจ พยายามทำความเข้าใจว่าเราพึ่งอายุ15-17ปี เราคงยังเด็กในสายตาเขา ไม่เป็นไร เดี๋ยวโตก็ได้ไป
เคยมีค่ายที่ไปกับทางรร.คืออาสาสมัครไปดูแลน้องๆที่ดอย1สัปดาห์ มีคุณครูไปกันหลายท่านและไปเป็นประจำทุกปี เราที่ตอนนั้นอยู่ม.6อยากไปมากค่ะเลยไปขอแน่นอนว่าพวกท่านไม่ให้โดยให้เหตุผลว่าเป็นห่วงเหมือนทุกครั้ง ทั้งๆที่ค่ายนี้เรารู้สึกว่าน่าเชื่อถือที่สุดในบรรดาค่ายทั้งหมดที่เราขอ คนที่ไปมีแต่เด็กในรร. กับครู คนขับรถก็เป็นคนของรร. ไม่น่ากลัวว่าจะเมาแล้วขับหรือขับเร็วแน่นอน ค.ปลอดภัยค่อนข้างมากด้วย พอมาตอนนี้เราเลยเริ่มรู้สึกแย่ขึ้นมาว่าที่ไม่ให้ไปเพราะเป็นห่วงหรือไม่ไว้ใจในตัวเรากันแน่?? ตอนนั้นเราอายุ17ปีค่ะ รู้สึกว่าตัวเองโตแล้วและมีวุฒิภาวะมากพอ แต่พ่อแม่ก็ยังคงไม่ให้เราไปอยู่ดี แล้วช่วงนั้นก็เป็นช่วงที่เครียดเรื่องเข้ามหาวิทยาลัยมากด้วยเลยยิ่งรู้สึกแย่เข้าไปอีก แล้วก็ได้แต่ปลอบใจตัวเองว่าเดี๋ยวพอขึ้นมหาวิทยาลัยก็ดีขึ้นเอง
พอขึ้นมหาวิทยาลัยเราอยากอยู่หอค่ะ แต่พี่บ้านไม่ให้ด้วยปัญหาค่าใช้จ่าย เพราะคุณพ่อกำลังจะเกษียณปีหน้าส่วนคุณอม่ก็ไม่ได้ทำงาน จะขอทุนก็ไม่ได้เพราะคุณสมบัติไม่ตรงและเราเองก็ไม่ได้อยากขอด้วนเพราะรู้ว่ามีคนที่น่าจะลำบากกว่าเราเลยตัดสินใจจะขอตอนที่คุณพ่อเกษียณเพราะที่บ้านจะไม่มีรายได้ ความจริงแล้วบ้านอยู่ใกล้มหิดลค่ะ แต่ติดมหาลัยในเมืองที่มีรถไฟฟ้าผ่านแต่ก็ต้องตื่นประมาณตี5ไปเรียนอยู่ดี รู้สึกผิดหวังมากค่ะ เพราะคาดหวังไว้มากๆๆๆๆๆๆ ว่าขึ้นมหาลัยจะได้อยู่หอเพราะนอกจากมหิดลแล้วที่อื่นไกลบ้านหมด แต่สุดท้ายเราเองก็เข้าใจและยอมอยู่บ้านค่ะถึงแรกๆจะงอแงบ้างนิดหน่อยๆก็ตามแต่ยอมรับว่าผิดหวังมากค่ะ เพราะช่วงมัธยมเราไม่เคยได้ทำกิจกรรมอะไรเลยจึงหลังไว้กับชีวิตในรั้วมหาลัยไว้มาก กลายเป็นว่าตอนนี้ก็ไม่ต่างอะไรจากเรียนมัธยมค่ะ เรียนเสร็จก็รีบกลับบ้านเหมือนเดิม แค่กินข้าวกับเพื่อนถึงห้าโมงครึ่งก็โดนโทรจิกแล้ว เราน่ะไม่ได้อยากเที่ยวกลางคืนหรอกค่ะ แต่แบบอยากทำกิจกรรมหลายๆอย่างซึ่งบางอย่างต้องอยู่ดึกถึงทุ่มสองทุ่มซึ่งพ่อแม่ไม่ให้ค่ะ เพราะเขาเป็นคนมารับเรากลับบ้าน จะกลับเองก็ไม่ยอมบอกว่าอันตราย และเหตุผลที่ว่าเป็นผู้หญิงกลับบ้านมืดค่ำจะดูเป็นผู้หญิงไม่ดี(เรางงเหตุผลนี้มากค่ะ เพร่ะเราอยู่เพื่อทำงานไม่ใช่เที่ยว ชุดก็ชุดมหาลัย ไม่แต่งตัวโป๊ กลับบ้านกับพ่อแม่ตลอด ดูไม่ดียังไง งั้นเวลาเดินห้างกับพ่อแม่จนมืดค่ำก็ต้องเป็นผู้หญิงไม่ดีเหรอคะ?) ล่าสุดขอไปค่ายที่ภาคเหนือสองสัปดาห์ช่วงปิดเทอมก็ไม่ให้ไปค่ะ บอกให้ไปปี3-4 แต่คือช่วงนั้นเราน่าจะต้องทำธีสิสค่ะเพราะเป็นปีสุดท้าย อีกอย่างคณะจองเรา(ไม่รู้ว่าคณะอื่นไปมั้ย)เป็นคณะที่ต้องฝึกงานช่วงปิดเทอมค่ะ เราไม่อยากไปหวังน้ำบ่อหน้า ในเมื่อมีโอกาสเราก็อยากคว้าเอาไว้ เพราะตอนม.ปลายเราเสียโอกาสหลายๆอย่างกับคำว่า "เป็นห่วง" กับคำพูดที่เหมือนบอกให้ "รอโอกาสหน้า" มามากแล้ว
จนมาช่วงนี้เรารู้สึกรำคาญพ่อแม่มากๆ ทุกครั้งที่ท่านพูดอะไรเพื่อแสดงความเป็นห่วงหรือย้ำเรื่องอะไรซ้ำเราจะเผลอขึ้นเสียงใส่ด้วยความโมโหอย่างลืมตัว(คิดว่าเป็นเรื่องฮอร์โมน+ค.รู้สึกแย่ๆว่าพ่อแม่เป็นห่วงมากเกินไปและไม่ไว้ใจ ตอนนี้กำลังปรับปรุงตัวอยู่ค่ะ) เราแอบร้องไห้โดยไม่ให้พวกท่านรู้บ่อยมากๆ ตั้งแต่ม.ปลายจนตอนนี้มหาวิทาลัยก็เริ่มถี่ขึ้นมากจน3-5ครั้งต่อสัปดาห์แล้วค่ะ(เช็คแล้วว่าไม่ใช่โรคซึมเศร้าค่ะ แต่น่าจะเครียด)
ตอนนี้เรารู้สึกแย่มากๆที่มีความคิดแบบนี้แล้วก็ไม่อยากร้องไห้บ่อยๆลยค่ะ มีใครมีวิธีแก้มั้ยคะ อยากฟังความคิดเห็นของเพื่อนๆ พี่ๆ ที่อาจเคยหรือไม่เคยประสบปัญหาเดียวกันรวมถึงพ่อแม่ผู้ปกครองทุกท่านด้วยค่ะ