สภาวะหรืออาการ ขณะทำสมาธิ ในทางวิทยาศาสตร์มีคำอธิบายไหมครับ ?

ช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 2563 วันที่ 7 - 11 ผมได้มีโอกาสไปเข้าคอร์สปฏิบัติธรรมที่ทาง มจร. วังน้อย (มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย) จัดขึ้น โดยส่วนตัวก็สนใจศึกษาและปฏิบัติอยู่เองแล้วที่บ้าน แต่อาศัยอ่านและศึกษาเอง ไม่เคยไปเข้าอบรมที่ไหนมาก่อนครับ

          จุดประสงค์ที่สนใจในด้านนี่ก็คือ เคยมีอาการนอนไม่หลับ จนต้องใช้ยานอนหลับ เคยอ่านเจอว่าสมาธิช่วยได้ ก็เลยลองศึกษาแล้วนั่งเองดู ก็ช่วยได้จริง จนไม่ต้องใช้ยาอีกเลย แต่ก็ใช้ระยะเวลาปรับสมดุลนานอยู่ ก็นั่งมาเรื่อย ๆ 

          พอเห็นผลก็เลยศึกษาต่อในเรื่องหลักธรรมคำสอนต่าง ๆ แต่จะไม่สนใจในเรื่องอิทธิฤทธิ์ปาฎิหาริย์ เห็นว่าของพวกนี้น่าจะหลวกลวง งมงาย อีกทั้งในคำสอนของพระพุทธเจ้าก็ไม่ได้ให้ค่า หรือความสำคัญมากกว่าการปฏิบัติตามคำสอน

          ที่อ่านหรือได้ยิน ได้ฟังมาเกี่ยวกับอิทธิฤทธิ์ ภาวะ อาการขณะทำสมาธิ ก็ได้ยินได้ฟังมามากอยู่ แต่ไม่เคยประสพกับตัวเอง มีพี่ที่ทำงานมาเล่าให้ฟังเกี่ยวกับการเห็นแสง ขณะนั่งสมาธิ ก็ได้แต่อนุโมทนา เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งอยู่ เพราะไม่เคยประสบกับตัวเอง

          ย้อนกลับมาตอนต้นว่า มีโอกาสไปอบรมกับ มจร.วังน้อย ช่วงวันมาฆบูชา ปีนี้ พี่คนที่เห็นแสงนี่แหละมาชวนไป ระยะเวลา 4 คืน 5 วัน ที่ได้ไปปฏิบัติ อาจารย์ก็แนะนำหลักการ วิธีการนั่งสมาธิ วิธีการเดินจงกรม  ก็ถูกกับจริตตัวเอง เพราะไม่มีเรื่องอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ต่าง ๆ แจ้งว่าอาการ สภาวะที่เกิดขึ้น ก็ให้รู้แล้วปล่อยไป ไม่ต้องไปสนใจอะไร ให้มีสติรู้แค่นั้น สรุปใจความคือ ให้มีสติ คอร์สนี้ไปฝึกสติ เพื่อน ๆ ร่วมคอร์สแต่ละคนก็ปฏิบัติกันจริงจัง 

           กับตัวผมเองก็ถือว่าครั้งนี้เป็นโอกาส คือพร้อมทั้งอาจารย์ ทั้งเพื่อน ๆ ร่วมคอร์สก็ปฏิบัติกันจริงจัง ก็ตั้งใจว่าครั้งนี้จะตั้งใจปฏิบัติ ระหว่างการฝึกปฏิบัติ เห็นบางคนมีอาการตัวโยก อาจารย์ก็ว่าไม่มีอะไร ให้มีสติรู้แล้ววาง จนวันสุดท้ายก่อนกลับ ช่วงเช้ามืดก็ปฏิบัติเหมือนทุกวัน ตื่นตีสี่ ตีห้าก็มาเดินจงกรม นั่งสมาธิตามปกติ แต่วันนี้ผมมีอาการคือ เหมือนที่เคยอ่านเจอคือ ขนลุกซู่ไปทั่งตัว คือมันซ่า ซ่า ซาบซ่านตั้งแต่หัวจรดเท้า ก็ตกใจ แต่ก็พยายามคุมสติ รู้หนอ รู้หนอ ตามที่อาจารย์บอก มีอาการสักประมาณ 2 - 3 นาที รู้สึกเหมือนน้ำตาจะไหล พยายามห้ามตัวเองไว้ ต่อจากนั้นก็เห็นจุดแสงเล็ก ๆ สีเขียว ๆ แว่บนึง แล้วก็กลับมาขนลุกต่ออีกสักแปปนึง ใจก็อยากจะเห็นไอ้แสงที่ว่านั้นอีก ว่ามันใช่ที่พี่ที่ชวนมาเคยเล่าให้ฟังไหม ทีนี้อาการที่ว่าก็หายไปเลย ทีนีก็อยากให้มันซู่ซ่า อีก คราวนี้ก็หายไปหมดเลย พอได้เวลาอาจารย์ก็ประกาศให้ออกจากสมาธิได้

          พอลืมตาออกจากสมาธิก็เลยคิดว่า นี่ละมั่งที่เคยอ่านเจอ ว่าเป็นสภาวะขณะทำสมาธิ ความรู้สึกหลังจากออกจากสมาธิคราวนี้คือ รู้สึกมันอิ่ม มันจะนิ่ง ๆ ไม่ค่อยหวั่นไหว มาเล่าให้พี่ที่ชวนมาฟัง แกก็ว่าเป็นสภาวะ เป็นเรื่องปกติ ทำดีแล้ว แต่อย่าไปยึดติด ให้ทำต่อไป หลังจากกลับจากการปฏิบัติธรรมครั้งนี้ ผมกลับมานั่งเองที่บ้านตามปกติ ก็ไม่เคยเจอกับอาการอย่างนี้อีกเลย น่าจะเป็นเพราะปฏิบัติไม่เข้มข้นเท่าที่ มจร.

          คำถามก็คือ สภาวะที่ผมเจอขณะทำสมาธิครั้งนี้ ในทางวิทยาศาสตร์มีคำอธิบายไหมครับ ไม่ว่าจะเป็นการโยกตัว เห็นแสง ขนลุกซู่ซ่า น้ำตาจะไหล อิ่มเอิบใจ พวกนี้ ในทางวิทยาศาสตร์เคยมีการศึกษาแล้ววิเคราะห์ไหมครับว่ามันเกิดจากอะไร เพราะผมว่าถ้าเราสามารถนำเอาอาการอย่างเช่น ขนลุกซู่ซ่า รู้สึกมีความสุขมาใช้งานได้จะมีประโยชน์มากเลยนะครับ
แก้ไขข้อความเมื่อ
คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 5
ถ้าไปถึงจุดหนึ่ง คุณจะเลิกคิดไปเลยว่ามันไม่มีจริง จะเลิกคิดไปเลยว่าเป็นอาการทางจิต เพราะคุณจะรับรู้ได้ด้วยประสาทสัมผัสทั้งหมดอย่างชัดเจน ไม่ใช่เพียงแค่เห็น

จริง ๆ แล้วมันกลับกันนะครับ ที่อยู่ข้างในนั่นน่ะของจริง ที่อยู่ข้างนอกนี่น่ะของปลอม

ในทางวิทยาศาสตร์ก็คงมีทฤษฎีพวกกาลอวกาศ มิติเชิงซ้อน หรือพหุจักรวาล ที่เขามองว่าหากข้อมูลในมิติอื่นมีจริง หลาย ๆ เรื่องจะสมเหตุสมผลขึ้นมามาก ๆ เลย เพียงแค่ยังไม่มีใครค้นคว้าอย่างเป็นรูปธรรมได้เท่านั้น และนักวิทยาศาสตร์ยังคิดจะใช้ข้อมูลจากมิติอื่นทำสิ่งที่เหนือจินตนาการ อีกหลาย ๆ อย่าง เช่น การเดินทางข้ามอวกาศ การหาแหล่งพลังงานที่ไม่มีจำกัด ซึ่งภายในสมาธิ คุณจะเจอสิ่งที่เขาว่านั่นทั้งหมดเลย

จุดแสงเล็ก ๆ ที่เราเห็น นั่นคือประตูครับ ข้างในมีจักรวาลที่ใหญ่กว่าจักรวาลข้างนอกนี่เสียอีก ไม่เชื่อลองเข้าไปดู
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่