เมื่อ "ลูกผู้ชาย" อย่างผมถูกกระทำให้เป็น "ลูกสาว" : ประสบการณ์ชีวิตและความรักตั้งแต่วัยเด็กจนถึงปัจจุบัน ตอนที่ 12

กระทู้สนทนา
ถ้าท่านผู้อ่านได้อ่านมาจนถึงตอนที่ 11 ผมจะบอกว่าในความรู้สึกของผม ตอนที่ 1-11 เป็นเพียง introduction เท่านั้น กว่าจะผ่านชีวิตมาจนปรกติได้ทุกวันนี้ (เพื่อนที่เป็นจิตแพทย์และนักจิตวิทยาชอบอ้างว่าแทบไม่มีคนที่ปรกติ 100% หรอก) ผมก็ต้องผ่านความกดดันมาหลายด่าน ที่เขียนในตอนที่ 1-11 ต้องขอบอกว่าเขียนโดยย่อและผ่านการ censor ของตัวเองแล้ว ชีวิตตอนนี้ของผมถือว่าดีนะ แต่อยากกล่าวถึงอดีตไว้เป็นเครื่องเตือนใจหรือเป็นสิ่งที่ต้องเฝ้าระวัง ผมเองที่ผ่านมาได้ ผมเองคิดว่าตัวผมเองมีคุณสมบัติที่สำคัญ 3 ประการคือว่านอนสอนง่าย ไม่เรื่องมากและไม่คิดมาก อีกส่วนที่ต้องให้เครดิตคือแม่และป้าอินนี่แหละ เพราะทั้งสองท่านได้ปลูกฝังความคิดเรื่องศาสนาในหัวผมด้วย แต่เนื่องจากเป็นคนที่ชอบวิเคราะห์และไม่เชื่ออะไรง่ายๆ ทำให้ผมเอาคำว่า “กรรมเก่า” และ “การทำบุญเพื่อสร้างกุศลใหม่” ละไว้ในฐานที่เข้าใจ อาจไม่นำมาเป็นคำตอบและการแก้ปัญหาของทุกเรื่อง โดยเฉพาะเรื่องนี้ เพราะถ้าเราไปปักใจ 100% ว่าสาเหตุคือกรรมเก่า ถ้ายึดแค่ concept เราอาจไม่รู้ว่าสาเหตุที่แท้จริงคืออะไร แล้วชีวิตจะเดินต่อได้ยังไง โอกาสในการแก้ปัญหายังมีอยู่ไหม ประเด็นเหล่านี้คือประเด็นที่ใหญ่มากที่เราจะต้องตระหนักและรัดกุม อาจรอบคอบบ้าง ไม่รอบคอบบ้าง ก็แล้วแต่สติปัญญาและอารมณ์ในแต่ละช่วงของชีวิต

สืบเนื่องจากตอนที่แล้ว ผมคาดเอาเองว่าพวกครูเกริกและครูฝึกทหารโหดน่าจะมียีนนักรบอยู่ในตัวกันไม่มากก็น้อย ส่วนพวก รปภ.โหด ผมไม่แน่ใจ มันอาจเป็นแค่การสั่งสอนเด็กที่คิดว่าเป็นกรรมกรอย่างสาสมกับสภาพที่ดำรงอยู่ก็ได้ แต่ก็อาจมียีนนักรบแฝงอยู่ก็ได้ ส่วนตัวผมเอง ผมคาดเอาเองว่าตัวผมก็น่าที่จะมียีนนักรบแฝงอยู่ในตัวด้วย เพราะตอนเด็กๆ จิตใจส่วนลึกชอบความสมบุกสมบันมาก ชอบการฝึกของทหาร การฝึกของตำรวจฮ่องกง ชอบอะไรที่มันลุยๆ แต่เนื่องจากสภาพการถูกเลี้ยงดูอย่างที่ท่านผู้อ่านทราบมาแล้ว ทำให้วิถีจิตแปรปรวนสูง (ผมหาคำเองนะครับ เพราะนึกไม่ออกว่าจะใช้คำไหน) และมีความสับสนในตัวมากจนถึงมากที่สุด แต่ด้วยนิสัยส่วนตัวบางอย่างประกอบกับคาดว่าน่าจะมียีนนักรบอยู่ด้วย ทำให้ผ่านปากเหยี่ยวปากกามาได้และยังอยู่รอดปลอดภัยจนถึงปี 2563 ด้วยวัย 49 ปี ขอบอกล่วงหน้าไว้ก่อนเลยว่าในปัจจุบันในจิตใจผมนี่แมนมากๆ (สภาพภายนอกตั้งแต่เด็กจนทุกวันนี้ ไม่ค่อยต่างกันมาก แต่บุคลิกอาจต่างตอนที่กำลังสื่อสารกับใครอยู่) และก็ชอบมวยปล้ำมาก โดยเฉพาะมวยปล้ำญี่ปุ่น ชอบมากถึงขั้นมากที่สุด 

อย่างเมื่อวาน พอจองตั๋วที่จะไปดูมวยปล้ำได้ในวันที่ 21 พย 63 ก็เกิดอาการฮึกเหิม ไปเปลี่ยนโลก Social Networks ของตัวเองให้อยู่ในโหมดของมวยปล้ำทั้งหมด แล้วยังลามมาถึงพันทิปด้วย ในพันทิปเอง ผมเปลี่ยนรูปเป็นรูปนักมวยปล้ำก่อน แล้วค่อยดำเนินการเปลี่ยนนามแฝง นามแฝงแรกที่อยากเปลี่ยน ทางพันทิปแจ้งว่าชื่อมันโหดไปไม่เหมาะสม ผมก็เลยเลือกมาใช้นามแฝงนี้ ซึ่งก็คือ LXUAWROPDIQYT ไม่ต้องพยายามอ่านก็ได้นะครับ เพราะมันคือรหัสที่ผมใช้ส่วนตัวกับเพื่อนที่เป็นทหารรบพิเศษ เราสนิทกันมาก เลยต้องมีรหัสไว้ทำภารกิจบางอย่างครับ อักษรแต่ละตัวมีความหมายของมันครับ 

L=Life
X=Xenophobia
U=Unity of Command
A=Assorted Color
W=Wail
R=Reunion
O=Obey
P=Principal Investigator
D=Dealing
I=Initiatively
Q=Quality
Y=Yeild
T=Transparency

ความหมายมันก็จะประมาณนี้แหละครับ ชีวิตที่ดีของผมตอนนี้คือมีแม่ครับ แต่เป็นแม่ที่ยังรู้สึกว่าลูกชายตัวเองถูกเลี้ยงแบบ “ยุงไม่ให้ไต่ ไรไม่ให้ตอม” เลี้ยงแบบไข่ในหิน ทำให้ทุกวันนี้แกยังห่วงผมเหมือนผมอายุประมาณ 5 ขวบ ก็คงต้องปล่อยให้แม่คิดไปอย่างนั้นก่อนครับ ตอนนี้แกก็ 75 แล้ว ส่วนพ่อที่อายุประมาณ 82 ปี ก็ยังมีความสัมพันธ์เหมือนเดิมครับคือห่างเหินกันแบบสุดๆ สมัยเด็กๆจนถึงวัยรุ่นนี่ โหยหาอ้อมกอดจากพ่อมาก แต่ไม่เคยได้เลย แล้วยังมาโดนญาติฝั่งแม่กักขังหน่วงเหนี่ยวอีก ไม่ให้เจอผู้ชายเลย ถ้าเจอเพื่อนผู้ชาย ญาติฝั่งแม่ก็จะกีดกัน ไม่ให้คบหาด้วย ป้าอินกล่อมบ่อยมากว่า “มาเป็นผู้หญิงเถอะนะ” พอโดนครูเกริกกระทำ หลังจากนั้นก็โคตรจะสับสนเลยครับ สภาพภายนอกอาจดูไม่ออกเพราะผมเฉยๆ แต่สภาพภายในนี่ วุ่นวายมากๆ เรื่องที่น่ากลัวมากคือทางป้าอินพยายามเอาผู้หญิงออกจากชีวิตผมด้วย พยายามขู่ว่าถ้าใกล้ผู้หญิงจะผิดผี แล้วแกยังพูดประมาณว่าถ้าเข้าใกล้ผู้หญิงมากๆ ผู้หญิงบางคนอาจจะแอบตัดองคชาติของเรา ทำให้ผมกลัวผู้หญิงอยู่พักนึง ไม่กล้าเข้าใกล้เลย พอเข้าใกล้ผู้หญิงไม่ได้ มีเพื่อนผู้ชายก็ไม่ได้ ก็ต้องหาทางออกด้วยการดูทีวีครับ แต่พอถูกสั่งห้ามว่าดูอะไรที่รุนแรงไม่ได้ก็มาดูละคร แต่แม่ก็มาบอกว่า “ผู้ชายเขาไม่ดูละครกันนะ” แม่อาจต้องการสื่อสารกับป้าอินก็ได้ แต่ผมก็เบื่อๆ ก็คิดในใจว่างั้นก็ไม่ดูก็ได้ ทางออกสุดท้ายก็คือฟังละครวิทยุครับ แต่ต้องแอบฟังด้วยนะ 

ผมคาดเองว่าการฟังละครวิทยุน่าจะส่งเสริมจินตนาการในหัวผมมาก เพราะมันต้องนึกตลอดเวลาว่าพระเอกเสียงแบบนี้ หน้าตาจะเป็นยังไง ได้ยินเสียงสถานการณ์แบบนี้ ภาพมันต้องเป็นแบบนี้นะ คือตอนนั้นสร้างภาพเก่งมากครับ จนเห็นตัวละครต่างๆ ได้เหมือนพวกเขามีชีวิต คาดว่าพอทำแบบนี้ได้ การสร้างบุคลิกต่างๆของตัวเองหรืออาจเรียกว่าเป็นเพื่อนในจินตนาการก็เริ่มทำได้ง่ายขึ้น จนพอทำไปทำมาก็เริ่มเชี่ยวชาญจนสามารถช่วยให้ผมรอดพ้นปัญหาหลายอย่างมาได้ อีกสองคนที่ช่วยได้มากคือเพื่อนกับแฟน ในชีวิตผม เชื่อไหมว่ามีเพื่อนสนิทที่เป็นผู้ชายตัวเป็นๆคนแรกคือตอนเรียนปริญญาโทใบที่สอง เขาเป็นเพื่อนที่ดีมาก เขาชื่อฉัตรชัยครับ รู้จักกันมาตั้งแต่ประมาณปี 2539 แล้วก็สนิทกันมากจนถึงบัดนี้

ฉัตรชัยคงมองเห็นความแปลกหลายอย่างในตัวผม เขาคงสงสัย แต่พอผมมีโอกาสเล่าเรื่องต่างๆให้เขาฟัง เขาก็กลายเป็นคนที่ให้คำปรึกษาที่ดีมาก อีกคนที่ช่วยได้มากคือแมรี่ แฟนคนปัจจุบันที่อาศัยอยู่ที่ประเทศอังกฤษ แมรี่ดีมาก ดีทุกอย่างและเข้าใจผมทุกอย่างเลย แต่กว่าจะเจอแมรี่ ผมดันมาเจอแสงดาวกับโทนี่ หว่องก่อน แสงดาวถือเป็นแฟนคนแรก ผมรู้จักเธอพร้อมๆกับรู้จักโทนี่ หว่อง หนุ่มหล่อสไตล์ฮ่องกง แต่ทำงานที่ไทย ตอนแรกความสัมพันธ์ของผมกับแสงดาวดีมาก แต่เธอจบปริญญาโทจากสหรัฐอเมริกา ลืมบอกไปว่าผมเจอเธอตอนเรียนปริญญาเอกครั้งแรก (ที่เรียกว่าครั้งแรกเพราะเรียนไม่จบครับ หนีแสงดาวไปอยู่เมืองนอกซะก่อน ตอนนี้กำลังเรียนปริญญาเอกครั้งที่ 2 แต่ไม่แน่ว่าจะจบรึเปล่า เพราะตอนอายุประมาณนี้คือ 49 ก็นึกแต่อดีตครับ ตั้งใจเขียนกระทู้นี้มากกว่าทำวิทยานิพนธ์ซะอีก) แสงดาวพกพาความเป็นนักสิทธิสตรีมาจากเมืองนอก ผมมารู้ภายหลังว่าเธอชอบทำตัวเหมือนผู้ชาย สูบบุหรี่กินเหล้าและเที่ยวหนัก พอเธอทำตัวเป็นผู้ชาย (อ้างว่าผู้หญิงมีสิทธิทำ จะได้เท่าเทียมกับผู้ชาย) เธอก็ปลุกความเป็นผู้หญิงในตัวผมขึ้นมา เวลาจะมีอะไรกัน (ครอบครัวเศรษฐีของเธอสนับสนุนการอยู่ก่อนแต่งหรืออาจจะขัดลูกสาวไม่ได้) มันเหมือนกับว่าองคชาติของผมหายไปเลย มันเหมือนความสัมพันธ์แบบหญิงรักหญิง ผมก็เลยทนไม่ได้ ตอนนี้เล่าได้ แต่ตอนนั้นทุกข์หนักมาก จนทำให้ผมเครียดเลยหนีออกมาจากบ้านที่อยู่กับแสงดาวแบบอยู่ก่อนแต่ง (ครอบครัวของเธอมีบ้านใหญ่เหมือนวังอยู่ 4 หลัง จึงให้เราสองคนไปอยู่หลังนึงตามคำขอของแสงดาว) 

พอหนีมา โทนี่ หว่องก็พาผมหนีไปต่างประเทศ เริ่มจากสิงคโปร์ก่อน แล้วรอทำวีซ่าเพื่อจะไปอังกฤษ ตอนนั้นผมกับโทนี่อาจมีแอบวายอยู่พักนึง แต่ไม่มีความสัมพันธ์กันทางกาย จนท้ายที่สุดก็ได้มาเจอแมรี่ ณ กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ การมีอะไรกับแมรี่ทำให้ผมรู้สึกว่าเป็นลูกผู้ชายเต็มตัว และนั่นคือการมีเพศสัมพันธ์กับผู้หญิงครั้งแรก กับคนแรกและคนสุดท้ายก็คือแมรี่ แต่เรื่องมันไม่จบแค่นั้นหรอกครับ

ก่อนจะเล่าไปไกล อาจจะต้องวนกลับมาตอนผมอยู่ปี 2 และดำรงตำแหน่งประธานเชียร์ครับ การตัดสินใจดำรงตำแหน่งนี้ มันก็มีทั้งข้อดีและข้อเสียละครับ และแน่นอนว่าต้องไปเจอกับความรุนแรงอีกแล้ว เพราะไปเจอกับพวกที่มียีนนักรบแสดงออกมากและแฝงมาอยู่ในระบบที่ทำให้เราต้องเจอเขา ตอนนั้นผมน่าจะเสี่ยงต่อการเสียสุขภาพจิตหลายอย่าง แต่ก็รอดมาได้ ตอนหน้าค่อยมาเล่าให้ฟังก็แล้วกันนะครับ
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่