คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 2
ขอตอบจากมุมมองของคนอายุ 34 และผ่านประสบการณ์การสูญเสียครั้งสำคัญในชีวิตมา 1 ปีแล้ววันนี้มูฟออนได้แล้วนะคะ
ในตอนที่เจ็บปวดจนแทบทนต่อไม่ไหว ความต้องการมูฟออนเพื่อให้กลับมารู้สึกเหมือนเดิม เหมือนก่อนหน้านี้ คือสิ่งที่ต้องการที่สุด เพราะเราอยากหายทรมานจากความเจ็บปวด แต่สิ่งที่คนเราอาจจะเข้าใจผิดก็คือ เราเชื่อว่าถ้าเรารู้สึกไม่เหมือนเดิม แปลว่าเราไม่หาย เรามูฟออนไม่สำเร็จ
เราเองติดกับวังวนนี้ของตัวเองมาเกือบปี จนกระทั่งวันหนึ่งมีเหตุทำให้เราเข้าใจได้ว่า ในความเป็นจริงก็คือเราจะไม่มีทางรู้สึกเหมือนเดิม เพราะว่าคนที่เรารักจากเราไปแล้ว
แต่เราสามารถรู้สึกดีขึ้นจากเหตุกาณ์นี้ได้ด้วยมุมมองใหม่ที่เรามีต่อมัน
ที่มาของมุมมองใหม่เกิดขึ้นจากการที่เราพยายามวางรูทีนเล็กๆให้ตัวเองทำให้สำเร็จในแต่ละวัน เช่นเช็ด Notebook ทุกครั้งหลังใช้งาน หรือแต่ละสัปดาห์ เช่นซักผ้าทุกวันพุธ และค่อยๆขยายใหญ่ขึ้น อ่านดูแล้วอาจจะคิดว่าไม่เกี่ยวกัน แต่มันช่วยได้มากในตอนที่เราเริ่มฟุ้งซ่าน
เราเคยตื่นนอนตอนเช้าแล้วไม่ทานข้าวจนถึงบ่าย 2 เข้านอนก่อนเที่ยงคืนแต่หลับตี 5 เพราะใช้เวลาคิดถึงเรื่องการสูญเสียที่ซ้ำๆในทุกๆแง่มุม เฝ้ารอปาฎิหารย์ สัญญาณจากฟากฟ้าบ้าบอที่ไม่เคยเกิดขึ้น ในตอนที่พึ่งเริ่มมีรูทีนใหม่ๆ ทุกครั้งที่พบว่าตัวเองเริ่มคิดอีกแล้ว เริ่มกลัวอีกแล้ว เราจะกลับมาสนใจในรูทีนที่เราเซ็ทไว้ ตั้งใจทำให้มันครบ
ถามว่ารู้สึกดีขึ้นทันทีเลยไหมเวลาที่ทำอะไรสำเร็จตามที่กำหนด ตอบได้เลยว่าไม่เท่าไหร่ในช่วงแรก แต่ที่พยายามฉุดรั้งตัวเองให้ทำก็เพื่อไม่ให้ผลาญเวลาและทรมานร่างกายไปกับการตื่นมาแล้วไม่ยอมลุกขึ้นไปทำอะไร ลึกๆเชื่อว่าจขกท. ก็รู้สึกไม่ต่างจากเราว่ามันคือการทำลายตัวเองทางอ้อม
จากนั้นเราเริ่มขยายขอบเขตของรูทีนให้ใหญ่ขึ้น และกัดฟันทำตาม เช่นวิ่งวันเว้นวันเป็นเวลาครึ่งชม. ออกไปหาลูกค้าใหม่ๆทุกวันอังคาร
จนวันหนึ่งเราเริ่มมีความเข้าใจใหม่ๆเกิดขึ้นจากเหตุการณ์ทั้งหลายที่เราเซ็ทให้ตัวเองเข้าไปทำ มุมมองที่เราเคยมีต่อการสูญเสียคนที่เรารักก็เปลี่ยนไปเอง
มาในวันนี้เราสามารถมีข้อสรุปที่ชัดเจนให้กับตัวเองได้ว่า
ความหมายของการมูฟออนได้ไม่ใช่ว่าเราไม่รู้สึกเศร้าเสียใจอีกต่อไป แต่มันคือความสามารถในการสามารถรับมือกับความเสียใจได้ดีขึ้น ที่มาจากความสามารถในการจัดการชีวิตด้ายต่างๆของตัวเองได้ดีขึ้น
เราไม่สามารถเป็นคนเดิมก่อนจะเกิดเหตุการณ์สูญเสีย ไม่สามารถมองโลกเหมือนเดิมได้ แต่ในวันนี้เราได้ค้นพบความสุข ความสบายใจ ความเชื่อมั่นในตัวเอง ที่ไม่คิดว่าจะได้กลับมาสัมผัสอีก ในแบบที่รู้สึกแทบไม่แตกต่างจากแต่ก่อน ทว่าแกร่งกว่าเดิม
ทั้งนี้เราไม่เคยเป็นโรคซึมเศร้า อาจเข้าไม่ถึงสภาวะที่อาจจะหนักหน่วงกว่า แต่เราอยากให้จขกท. อย่าเผลอได้คิดเชียวว่าตัวเองต้องลำบากแน่ๆเพราะเป็นโรคนี้ คงยากที่จะมีกำลังใจขึ้นมาฮึดสู้เหมือนใครเขา เพราะเราเห็นคนมากมายรอบตัว ที่ครั้งหนึ่งถูกจิตแพทย์วินิจฉัยว่าเป็นโรคซึมเศร้า แล้ววันนี้มีชีวิตเข้าที่เข้าทาง กลับมายิ้มได้ กับอีกประเภทที่วันนี้ยังจนตรอกยิ่งกว่าเดิม และมีแนวโน้มแย่ลงเรื่อยๆ ขึ้นอยู่กับจขกท. ว่าจะเลือกแบบไหน(ทุกคนมีสิทธิเลือกเสมอ)
เราหวังว่าการแบ่งปันประสบการณ์ของเราจะทำให้จขกท. รู้สึกมีความหวังขึ้นบ้าง รู้สึกดีขึ้นนิดหน่อย และลองฉวยเวลาที่ตัวเองรู้สึกดีขึ้น ตัดสินใจกับเรื่องคำถามในข้อ 1 ดูนะคะ
สุดท้ายนี้ไม่ว่าจขกท. จะเลือกเส้นทางแบบไหน ความรักของคุณแม่ย่อมติดตามจขกท. อยู่เสมอค่ะ
ในตอนที่เจ็บปวดจนแทบทนต่อไม่ไหว ความต้องการมูฟออนเพื่อให้กลับมารู้สึกเหมือนเดิม เหมือนก่อนหน้านี้ คือสิ่งที่ต้องการที่สุด เพราะเราอยากหายทรมานจากความเจ็บปวด แต่สิ่งที่คนเราอาจจะเข้าใจผิดก็คือ เราเชื่อว่าถ้าเรารู้สึกไม่เหมือนเดิม แปลว่าเราไม่หาย เรามูฟออนไม่สำเร็จ
เราเองติดกับวังวนนี้ของตัวเองมาเกือบปี จนกระทั่งวันหนึ่งมีเหตุทำให้เราเข้าใจได้ว่า ในความเป็นจริงก็คือเราจะไม่มีทางรู้สึกเหมือนเดิม เพราะว่าคนที่เรารักจากเราไปแล้ว
แต่เราสามารถรู้สึกดีขึ้นจากเหตุกาณ์นี้ได้ด้วยมุมมองใหม่ที่เรามีต่อมัน
ที่มาของมุมมองใหม่เกิดขึ้นจากการที่เราพยายามวางรูทีนเล็กๆให้ตัวเองทำให้สำเร็จในแต่ละวัน เช่นเช็ด Notebook ทุกครั้งหลังใช้งาน หรือแต่ละสัปดาห์ เช่นซักผ้าทุกวันพุธ และค่อยๆขยายใหญ่ขึ้น อ่านดูแล้วอาจจะคิดว่าไม่เกี่ยวกัน แต่มันช่วยได้มากในตอนที่เราเริ่มฟุ้งซ่าน
เราเคยตื่นนอนตอนเช้าแล้วไม่ทานข้าวจนถึงบ่าย 2 เข้านอนก่อนเที่ยงคืนแต่หลับตี 5 เพราะใช้เวลาคิดถึงเรื่องการสูญเสียที่ซ้ำๆในทุกๆแง่มุม เฝ้ารอปาฎิหารย์ สัญญาณจากฟากฟ้าบ้าบอที่ไม่เคยเกิดขึ้น ในตอนที่พึ่งเริ่มมีรูทีนใหม่ๆ ทุกครั้งที่พบว่าตัวเองเริ่มคิดอีกแล้ว เริ่มกลัวอีกแล้ว เราจะกลับมาสนใจในรูทีนที่เราเซ็ทไว้ ตั้งใจทำให้มันครบ
ถามว่ารู้สึกดีขึ้นทันทีเลยไหมเวลาที่ทำอะไรสำเร็จตามที่กำหนด ตอบได้เลยว่าไม่เท่าไหร่ในช่วงแรก แต่ที่พยายามฉุดรั้งตัวเองให้ทำก็เพื่อไม่ให้ผลาญเวลาและทรมานร่างกายไปกับการตื่นมาแล้วไม่ยอมลุกขึ้นไปทำอะไร ลึกๆเชื่อว่าจขกท. ก็รู้สึกไม่ต่างจากเราว่ามันคือการทำลายตัวเองทางอ้อม
จากนั้นเราเริ่มขยายขอบเขตของรูทีนให้ใหญ่ขึ้น และกัดฟันทำตาม เช่นวิ่งวันเว้นวันเป็นเวลาครึ่งชม. ออกไปหาลูกค้าใหม่ๆทุกวันอังคาร
จนวันหนึ่งเราเริ่มมีความเข้าใจใหม่ๆเกิดขึ้นจากเหตุการณ์ทั้งหลายที่เราเซ็ทให้ตัวเองเข้าไปทำ มุมมองที่เราเคยมีต่อการสูญเสียคนที่เรารักก็เปลี่ยนไปเอง
มาในวันนี้เราสามารถมีข้อสรุปที่ชัดเจนให้กับตัวเองได้ว่า
ความหมายของการมูฟออนได้ไม่ใช่ว่าเราไม่รู้สึกเศร้าเสียใจอีกต่อไป แต่มันคือความสามารถในการสามารถรับมือกับความเสียใจได้ดีขึ้น ที่มาจากความสามารถในการจัดการชีวิตด้ายต่างๆของตัวเองได้ดีขึ้น
เราไม่สามารถเป็นคนเดิมก่อนจะเกิดเหตุการณ์สูญเสีย ไม่สามารถมองโลกเหมือนเดิมได้ แต่ในวันนี้เราได้ค้นพบความสุข ความสบายใจ ความเชื่อมั่นในตัวเอง ที่ไม่คิดว่าจะได้กลับมาสัมผัสอีก ในแบบที่รู้สึกแทบไม่แตกต่างจากแต่ก่อน ทว่าแกร่งกว่าเดิม
ทั้งนี้เราไม่เคยเป็นโรคซึมเศร้า อาจเข้าไม่ถึงสภาวะที่อาจจะหนักหน่วงกว่า แต่เราอยากให้จขกท. อย่าเผลอได้คิดเชียวว่าตัวเองต้องลำบากแน่ๆเพราะเป็นโรคนี้ คงยากที่จะมีกำลังใจขึ้นมาฮึดสู้เหมือนใครเขา เพราะเราเห็นคนมากมายรอบตัว ที่ครั้งหนึ่งถูกจิตแพทย์วินิจฉัยว่าเป็นโรคซึมเศร้า แล้ววันนี้มีชีวิตเข้าที่เข้าทาง กลับมายิ้มได้ กับอีกประเภทที่วันนี้ยังจนตรอกยิ่งกว่าเดิม และมีแนวโน้มแย่ลงเรื่อยๆ ขึ้นอยู่กับจขกท. ว่าจะเลือกแบบไหน(ทุกคนมีสิทธิเลือกเสมอ)
เราหวังว่าการแบ่งปันประสบการณ์ของเราจะทำให้จขกท. รู้สึกมีความหวังขึ้นบ้าง รู้สึกดีขึ้นนิดหน่อย และลองฉวยเวลาที่ตัวเองรู้สึกดีขึ้น ตัดสินใจกับเรื่องคำถามในข้อ 1 ดูนะคะ
สุดท้ายนี้ไม่ว่าจขกท. จะเลือกเส้นทางแบบไหน ความรักของคุณแม่ย่อมติดตามจขกท. อยู่เสมอค่ะ

แสดงความคิดเห็น
ไม่รู้จะทำอย่างไรแล้วกับชีวิต
เราเป็นนักเรียนม.6 จะสอบเข้ามหาวิทยาลัยในปีที่กำลังจะถึงนี้ แต่สภาพจิตใจเราไม่พร้อมเลย
เราเป็นคนหัวกลางๆ ค่ะ เรียนสายศิลป์เลยอ่อนวิทย์-คณิต (คณะที่เราอยากเข้าไม่ต้องใช้วิทย์-คณิตสอบเข้า ตรงนี้ไม่น่าห่วงอะไร) เพื่อนมีเป็นกลุ่มเล็กๆ ส่วนใหญ่ใช้ชีวิตใครชีวิตมัน ช่วยเหลือกันบ้างตามปกติ
จุดเปลี่ยนของเราคือเมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมา แม่เราเสียชีวิตกะทันหันมากๆ ก่อนหน้านี้ยังแข็งแรง อยู่ๆโรคร้ายก็พรากแม่เราไปโดยที่เรายังไม่ได้ตั้งตัว แม่เป็นทุกอย่างของเรา มีปัญหาอะไรหรือมีเรื่องต่างๆ เรากับแม่ก็จะคุยกันตลอด
ก่อนวันที่เขาเสีย เขาดูแข็งแรง พูดคุยเล่นมุขตบมุขกับเราได้ตามปกติ พอวันถัดมาเขาทรุด แล้วจากไปในเย็นวันนั้น เราช็อคมาก หลังจากนั้นชีวิตเราก็เปลี่ยนไป
เราเรียนไม่รู้เรื่อง อ่านหนังสือไม่รู้เรื่อง เรียนบ้างไม่เรียนบ้าง หนีกลับบ้านมาร้องไห้บ้าง งานบ้านแทบไม่แตะ ไม่มีแรงที่จะทำ พยายามฮึดสู้เท่าไหร่ก็วนลูปกลับมาที่เดิม ร้องไห้แทบทั้งวันเป็นเดือนๆ
เราทำร้ายตัวเองด้วย ควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้ และอาละวาด
เราไปพบจิตแพทย์มาแล้ว หมอบอกว่าเรามีอาการของโรคซึมเศร้า เราได้ยามาสองแผง
เรากินยาแล้วรู้สึกง่วงมาก ตาจะหลับ เรียนแทบไม่ได้สอบแทบไม่ได้
หลังจากเริ่มกินยาอาการดิ่งของเราไม่ดีขึ้นเลย เราคิดถึงแม่ เราอยากกอดแม่ อยากเล่าเรื่องต่างๆให้แม่ฟัง บางวันเรานอนทั้งวัน ไม่กินข้าว ไม่อาบน้ำ นอนไม่ทำอะไรเลย เราลุกไม่ไหว
ตอนนี้เราคิดว่า ปีที่กำลังจะถึงเราคงสอบเข้ามหาลัยไม่ได้หรอกถ้ายังเป็นแบบนี้ ผลการเรียนเราตกลงมาก ขนาดสอบที่โรงเรียนเรายังอ่านหนังสือไม่รู้เรื่อง เราเรียนไม่ทันเพื่อน โดนครูขู่เรื่องเวลาเรียนไม่ครบ
เราไปสอบ Pre-Ad มา คะแนนเราห่างจากคะแนนต่ำสุดคณะที่อยากเข้าของปีที่แล้วมาก เอาไปยื่นที่ไหนก็ไม่ติด เราสู้จนไม่รู้จะสู้ยังไงแล้ว เราเหนื่อย บางวันเราอยากตาย เราอยากเจอแม่ เราไม่รู้จะอยู่ไปทำไม แต่เรายังมีพ่อ เราต้องสู้ต่อ
ขอบคุณที่อ่านมาถึงตรงนี้นะคะ เราระบายยาวมาก
คำถามคือ
1.ถ้าเราไม่ไหวจริงๆ เราควรพักไปสอบเข้าในปีถัดไปไหม พอจะทราบการเตรียมตัวคร่าวๆแล้ว แต่กังวลว่าจะโอเคไหม
2.เราควรจะทำอย่างไรถึงจะมูฟออนจากเรื่องแม่ได้ ไม่ได้หมายความว่าลืมเรื่องแม่นะ แต่อยากกลับไปใช้ชีวิตตามปกติให้ได้ ไม่วนลูปแบบเดิม ใครที่เคยสูญเสียคนรักในครอบครัว เข้ามาแชร์ประสบการณ์กันได้นะคะ