G.K.Line
12.
“เหม่ยชิง ออกไปโลกภายนอกกับผมเถอะ”
สิ้นเสียงชักชวนอย่างจริงจังของเหลียงฉี โลกรอบกายของเหม่ยชิงเหมือนกับเชื่องช้าลงไปถนัดตา หญิงสาวเงียบและดูเคร่งเครียด ชายผู้พูดเองก็มีอาการไม่ต่างกันเมื่อเห็นแววตาที่เต็มไปด้วยความสับสนของนาง คล้ายคนกำลังหลงทางแล้วไม่แน่ใจว่าควรเลือกไปทางไหนดี นางก้มหน้าลงครุ่นคิดอย่างวิตกกังวล
ก่อนหน้านี้เล็กน้อย...
หลายเดือนแล้วที่คู่หูนักล่าพำนักอยู่ในหมู่บ้านสายหมอก เหลียงฉีและเหม่ยชิงต่างก็ตกหลุมรักกัน และไปมาหาสู่กันบ่อยขึ้น ในเวลากลางวันทั้งคู่ก็จะทำตัวเป็นปกติไม่แสดงออก เพราะเป็นห่วงเรื่องความเหมาะสมและเรื่องอื่นอีกหลายอย่างซึ่งอาจเกิดความยุ่งยากตามมา
ครั้นยามที่ทุกคนเข้าสู่ห้วงนิทรากันหมดแล้ว นักล่าอสุรกายหนุ่มก็จะลอบไปหาหญิงคนรัก ทั้งคู่มักใช้เวลานั่งนับดาวชมจันทร์ด้วยกันจนกระทั่งใกล้รุ่งสางจึงกลับที่พัก ทว่าการกระทำทั้งหมดนี้ไม่อาจเล็ดรอดจากสายตาของเพื่อนนักล่าอสุรกายอีกคนไปได้ เฟิงอิ่งรู้ทุกเรื่องราวและทุกการเคลื่อนไหวของคู่หู แต่เขาก็เลือกที่จะเก็บมันไว้ ต่อหน้าเหลียงฉีและเหม่ยชิงเขาทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น
หลายครั้งที่เฟิงอิ่งแอบตามคู่หูออกไป เขาตามไปทั้งที่รู้ดีว่าจะพบกับอะไรบ้างแต่ก็ยังทำอย่างนั้น ซึ่งทุกภาพที่เห็นและทุกวันที่ดำเนินไป ยิ่งตอกย้ำรอยร้าวในใจให้ร้าวลึกจนแผลใจเปิดกว้างมากขึ้นทุกที ยามเมื่ออยู่คนเดียวเรื่องราวที่เคยเก็บงำเอาไว้มิดชิดก็พรั่งพรูออกมาตามบาดแผลของใจ คอยย้ำซ้ำๆ ให้ต้องเจ็บช้ำอยู่ร่ำไป
สะสมอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันจนใจร้อนรุ่มนั้นเต็มไปด้วยความโกรธ เกลียด อิจฉาริษยา และยิ่งนับวันไฟริษยาก็ยิ่งทวีความร้อนแรงเป็นทับทวีคูณ ความแค้นคับอกจนแทบจะระเบิด
ยิ่งเมื่อได้เห็นใบหน้ายิ้มแย้มอย่างอารมณ์ดีของเพื่อนสนิทที่ตีหน้าซื่อเพราะยังเข้าใจว่าไม่มีใครรู้เห็นด้วยแล้ว ยิ่งทำให้เฟิงอิ่งแทบสะกดกลั้นความขุ่นมัวเอาไว้ไม่อยู่จนนึกอยากจะตัดสินปัญหาหัวใจให้มันรู้ดำรู้แดงกันไปข้างหนึ่งเสียเลย
แต่จะทำแบบนั้นลงไปไม่ได้ เพราะเขาเองก็รู้สถานการณ์เวลานี้ดีเช่นกัน มาแตกคอกันในหมู่บ้านประหลาดแห่งนี้ ไม่ส่งผลดีอะไรกับตัวเองสักนิด แต่กลับกันมันจะส่งผลเสียเอาด้วยซ้ำ ทางออกที่ดีที่สุดสำหรับเรื่องนี้ก็คือต้องออกจากหมู่บ้านนี้ไปให้ได้เท่านั้น
“เหลียง พวกเราอยู่ที่นี่มานานเกินไปแล้วนะ เราน่าจะหาทางออกจากหมู่บ้านบ้าๆ นี่ แล้วกลับไปใช้ชีวิตแบบเดิมของเราได้แล้ว”
และแล้วเฟิงอิ่งก็ตัดสินใจเอ่ยปากกับคู่หู เขาเลือกเอาวันที่อากาศแจ่มใส เมฆขาวกำลังลอยเลื่อนบนท้องฟ้า ดวงอาทิตย์ส่องแสงให้ความอบอุ่น สายลมหยอกล้อใบไม้ใบหญ้าบางเบา เป็นวันที่ดีเหมาะอย่างยิ่งต่อการพูดเกลี้ยกล่อมให้อีกฝ่ายคล้อยตาม
ขณะนั่งคุยกัน จู่ๆ คู่หูก็พูดประโยคนั้นออกมา น้ำเสียงราบเรียบดูเหมือนแค่ต้องการบอกเล่า แต่มันกลับทำเอาเหลียงฉีถึงกับสะดุ้ง ชายหนุ่มอยู่ที่นี่มานานจนเริ่มคุ้นชินกับการใช้ชีวิตของคนที่นี่ และเริ่มปรับตัวเข้ากับวิถีชีวิตเรียบง่ายสงบสุขได้แล้ว ที่สำคัญ เขากำลังปลูกต้นรักอยู่กับสตรีนางหนึ่งและมันกำลังผลิดอกออกผลงดงาม
ไม่รู้เหมือนกันว่าตนเองเลิกสนใจเรื่องที่จะออกไปจากหมู่บ้านสายหมอกและลบเลือนเรื่องราวของโลกภายนอกไปจากหัวสมองตั้งแต่ตอนไหน เหลียงฉีพอใจกับชีวิตแบบนี้มากกว่า เขาพอใจที่จะได้พูดคุยสรวลเสเฮฮา ไปมาหาสู่กันกับเพื่อนบ้าน ช่วยกันเลี้ยงสัตว์ปลูกผักปลูกหญ้าทำมาหากินไปตามประสา
อาจเพราะชีวิตที่ผ่านมาของเขามีแต่งาน และมันเป็นงานที่ต้องแย่งชิงชีวิตของผู้อื่น ดังนั้น เมื่อได้หยุดพักมาอยู่ในโลกอีกแบบหนึ่ง จึงทำให้ได้เข้าใจจิตใจตนเองมากขึ้นว่าแท้จริงแล้วเขาอยากอยู่ในโลกที่ไม่ต้องดิ้นรนขวนขวาย ไม่ต้องแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นจนต้องประหัตประหารใคร ชีวิตเรียบง่ายกับหญิงคนรักนั่นละคือแท้จริงแห่งปรารถนาในใจเขา
แต่คำพูดของเพื่อนสนิทที่เพิ่งได้ยินนั้นเหมือนบังคับให้เขาต้องตัดสินใจเลือก เฟิงอิ่งกำลังจะให้เขาเลือกระหว่างหญิงสาวคนรักกับเพื่อนรัก ซึ่งสำหรับเขาแล้วคนทั้งคู่มีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันเลย เหลียงฉีนิ่งอึ้งอย่างใช้ความคิด แต่ก็ยังคิดไม่ตกว่าจะหาทางออกสำหรับเรื่องนี้อย่างไรดี
“นายคงกำลังคิดหนักเรื่องเหม่ยชิงอยู่สินะ เหลียง”
“นายรู้...” เหลียงฉีอ้อมแอ้มถาม หันมาสบตาคู่หู สายตาแสดงอาการแปลกใจ เฟิงอิ่งยิ้มมุมปากพร้อมพยักหน้าให้เป็นเชิงยอมรับ พูดต่อด้วยสีหน้าท่าทางสุขุมเหมือนทุกครั้ง
“ฉันเป็นคู่หูของนายนะ เราเป็นคู่หูที่รู้ใจกันยิ่งกว่าผัวเมียรู้ใจกันเสียอีก เหมือนอย่างที่ใครๆ เค้าพูดกันนั่นละ นายคิดหรือทำอะไรทำไมฉันจะไม่รู้ ถ้าเรื่องแค่นี้ยังสังเกตไม่เห็นละก็ ฉายาแสงสว่างและเงาก็คงเป็นคำที่คนอื่นตั้งให้เล่นๆ แล้วละ”
“เฮ้อ จริงของนาย ถ้างั้นนายก็คงเข้าใจว่าเรื่องนี้มันยากสำหรับฉัน” เหลียงฉีถอนหายใจหนัก ยอมรับแต่โดยดี
“ฉันรู้” เฟิงอิ่งเองก็รับว่ารู้ออกมาตรงๆ
“นายคิดว่าฉันพูดเรื่อยเปื่อย พูดในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้อย่างนั้นเหรอไง ที่พูดก็เพราะรู้เรื่องทุกอย่างดีน่ะสิ และจะบอกอะไรให้นะเหลียง ฉันหาทางออกเอาไว้แล้วละถึงได้พูดเรื่องนี้กับนาย”
เหลียงฉีให้ความสนใจในคำพูดนั้นทันที ความหวังซึ่งเคยริบหรี่ถูกเฟิงอิ่งจุดประกายให้มองเห็นว่ามีทางเป็นไปได้
“นายมีหนทางอย่างงั้นเหรอ เฟิง เราจะทำยังไงกันดี” สีหน้าและน้ำเสียงออกอาการตื่นเต้นดีใจจนเก็บไว้ไม่อยู่
“จะไปยากอะไร นายก็พาเหม่ยชิงออกไปจากที่นี่ด้วยกันเลยสิ เท่านี้เราก็จะได้ทำงานของเราต่อ และนายก็ได้สมหวังในความรักด้วย” ได้ยินดังนั้น พริบตาเดียวที่ความหวังปรากฏขึ้นพลันมันก็ดับวูบลงกลายเป็นความสิ้นหวังอีกครั้งหนึ่ง แม้ไม่ต้องถามเหลียงฉีก็รู้ดีว่าเหม่ยชิงต้องไม่ยอมตามเขาออกไปจากหมู่บ้านแห่งนี้เป็นแน่
“และที่สำคัญที่สุดนะเหลียง สตรีแห่งน้ำคนนี้เป็นคนพิเศษ ถ้าหากเธอยอมตามพวกเราออกไป บางทีการค้นคว้าวิจัยของเราอาจจะรุดหน้าไปอย่างรวดเร็ว หรือไม่ก็อาจประสบผลสำเร็จไปเลยก็ได้”
เฟิงอิ่งที่สังเกตอาการของเพื่อนตลอดเวลาพูดเกลี้ยกล่อม สำทับถึงประโยชน์อื่นที่จะตามมาหากทุกอย่างเป็นไปตามคาด มันทำให้เหลียงฉีคิดหนัก วิตกและวุ่นวายใจจนรู้สึกพลุ่งพล่านปั่นป่วนไปหมด เขากำลังตัดสินใจไม่ถูกว่าจะเลือกทางไหนดี
จะยอมทิ้งเพื่อนรัก ทิ้งงานทั้งหมดที่ทำมาและอยู่ที่นี่กับหญิงคนรัก หรือจะยอมทิ้งหญิงคนรักแล้วออกไปกับเพื่อนคู่หูที่ร่วมฝ่าฟันเคียงบ่าเคียงไหล่ด้วยกันมานาน
กับอีกทางหนึ่งก็คือ ต้องหาวิธีโน้มน้าวเหม่ยชิงให้ออกไปสู่โลกภายนอกพร้อมกันกับเขา แต่จะทำยังไงให้เหม่ยชิงยอมตามเขาออกไปจากหมู่บ้านนี่สิ และจะเป็นยังไงถ้านางเกิดรู้ว่าตัวเองจะต้องถูกพาไปวิจัยเหมือนหนูทดลอง
ในขณะที่เหลียงฉีจมอยู่กับความคิดวกวน เขาไม่ทันได้สังเกตเห็นรอยยิ้มและแววตาที่ผิดแผกไปจากเดิมของเพื่อนคู่หูที่เคยร่วมเป็นร่วมตายด้วยกันมาว่าบัดนี้มันได้ส่อแววของความเป็นคนเจ้าเล่ห์เพทุบาย มันเป็นสายตาอันร้ายกาจที่ไม่หลงเหลือความหวังดีอยู่ในนั้นอยู่เลยแม้สักนิด
ใจจริงแล้วเหลียงฉีไม่อยากเลือกทางใดสักทาง เพราะไม่ว่าจะเป็นทางไหนก็ล้วนแล้วแต่ต้องมีการเสียสละ และในตอนนี้เขาก็ยังไม่พร้อมที่จะเสียสละอะไรสักอย่าง ส่วนทางเลือกที่คู่หูบอกว่าดีที่สุดนั้นก็กลับเป็นทางเลือกซึ่งไม่รู้ว่าจะทำได้จริงอย่างไร
เรื่องนี้รบกวนจิตใจของเหลียงฉีตลอดทั้งคืนจนเขาไม่สามารถข่มตาให้หลับลงได้ กระทั่งถึงเวลารุ่งสางเสียงเอะอะซึ่งดังขึ้นอย่างผิดปกติภายนอกตัวบ้านก็ทำให้เขาหลุดออกจากห้วงความคิด
“เกิดอะไรขึ้นเหรอครับ จะไปไหนกันตั้งแต่ยังเช้ามืดแบบนี้”
เหลียงฉีออกมาดูที่หน้าบ้าน เขาถามชาวบ้านคนหนึ่งในหลายคนที่กำลังเดินผ่านที่พักไป ตั้งแต่เข้ามาอยู่ที่นี่ เขาไม่ค่อยได้เห็นชาวบ้านรวมกลุ่มเดินไปไหนมาไหนด้วยกันโดยปราศจากเครื่องมือทำไร่ทำสวนแบบนี้ โดยเฉพาะในเวลาเช่นนี้ที่ทั้งหมดดูเร่งรีบจนผิดวิสัย เขาจึงคิดว่าน่าจะเกิดเรื่องอะไรบางอย่างที่ไม่ปกติขึ้น
“เสี่ยวถิงตายแล้วน่ะ ตายก่อนรุ่งสางไม่นานนี้เอง”
เสี่ยวถิงที่พูดถึงคือเด็กหญิงขี้อ้อนอายุสามขวบที่กำลังอยู่ในวัยน่ารักน่าอุ้ม ตัวจ่ำม่ำน่ากอด แก้มป่องแดงเป็นลูกท้อ ช่างพูดช่างถาม มักซุกซนตามประสาเด็ก เธอจึงเป็นที่รักใคร่โปรดปรานของคนทั้งหมู่บ้าน เมื่อหลายวันก่อนเขาเองก็ยังได้อุ้มได้เล่นสนุกกับแกอยู่เลย แล้วเพียงไม่กี่วันทำไมเด็กน้อยถึงมาเสียชีวิตลงได้
เหลียงฉีออกเดินตามกลุ่มชาวบ้านไปยังสถานที่เกิดเหตุ ไม่นานเฟิงอิ่งก็ตามมาสมทบ
ที่บ้านเกิดเหตุ มีชาวบ้านหลายคนยืนสังเกตการณ์อยู่แล้ว หนึ่งในนั้นมีเหม่ยชิงรวมอยู่ด้วย ร่างไร้วิญญาณของเด็กน้อยอยู่บนแคร่ไม้ไผ่ ผู้เป็นแม่ร่ำไห้อยู่ข้างๆ ราวกับจะขาดใจตายตาม บรรยากาศโดยรอบถูกปกคลุมไปด้วยความเศร้าสลด
ผู้คนที่มามุงดูต่างพากันนิ่งเงียบไม่มีใครกล้าพูดอะไรออกมา ได้แต่มองดูอย่างเห็นใจหญิงผู้สูญเสียลูกสาวไปกะทันหัน และความเงียบแบบนั้นก็ยิ่งทำให้บรรยากาศเป็นไปด้วยความเศร้าโศกทวีคูณ
“มันกลับมาอีกแล้ว มันกลับมาเอาชีวิตเด็กๆ ของพวกเราไปอีกแล้ว”
เสียงหนึ่งโจษถึงการเสียชีวิตของเด็กน้อยขึ้นมา คนพูดกำลังคิดว่าเหตุร้ายนี้เกิดจากคำสาปของหมู่บ้าน ต่อมาก็เริ่มมีคนพูดว่าเป็นเพราะภูตผีปีศาจ แต่ก็มีบ้างที่วินิจฉัยว่าเกิดจากโรคระบาด เสียงโจษจันของชาวบ้านซึ่งไม่ทราบความจริงที่แน่ชัดเริ่มแตกกันออกไปเป็นหลายกระแส แต่ที่คล้ายกันก็คือทุกคนมีสีหน้าหวาดกลัวและกังวลใจ
คู่หูนักล่าเดินเข้าไปใกล้เพื่อลอบสำรวจร่างไร้วิญญาณที่นอนแน่นิ่งอยู่บนแคร่ ต่างสังเกตเห็นมือและเท้าของร่างเล็กมีตุ่มใสกระจายไปทั่ว ลักษณะแบบนี้น่าจะเป็นอาการของโรคติดต่อบางอย่าง เด็กน้อยคงติดโรคมาจากที่ไหนสักแห่ง
สองคู่หูครุ่นคิด ถ้าจะว่าไปแล้วหมู่บ้านแห่งนี้เหมือนหลุดออกจากเวลาปัจจุบันย้อนกลับไปในอดีตหลายร้อยปี วิทยาการและการแพทย์สมัยใหม่ยังล้าหลังต่างกับโลกภายนอกอยู่มาก คงไม่มีใครคิดได้ว่าเด็กป่วยจากเชื้อโรคอะไร และยิ่งไม่สามารถหาทางรักษาให้หายได้ เด็กน้อยจึงต้องมาจบชีวิตลงก่อนวัยอันควรแบบนี้
เนื่องจากเป็นการตายที่ผิดธรรมชาติของคนที่นี่และยังไม่ทราบถึงสาเหตุที่แท้จริง ดังนั้นพิธีศพของเด็กหญิงจึงถูกจัดการอย่างเร่งรีบและรวดเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ ร่างไร้วิญญาณของเด็กน้อยถูกนำไปเผาในวันนั้นเอง จากนั้นกระดูกก็ถูกเก็บและนำไปฝังรวมกับคนอื่นๆ ในสุสานของหมู่บ้าน
และในคืนนั้นเองเหลียงฉีก็ลอบมาพบกับเหม่ยชิงตามปกติ แม้คืนนี้จะมีเรื่องร้ายเกิดขึ้นในหมู่บ้าน แต่ดาวยังคงกะพริบงดงามอยู่บนฟ้า ดวงจันทร์ก็ยังคงทอแสงนวลตาลงมาไม่เปลี่ยนแปลง
หมู่บ้านยามค่ำคืนที่เงียบสงบอยู่แล้ว แต่ในคืนนี้กลับยิ่งเงียบไปกว่าเดิม ไม่มีเสียงแมลงร้องระงมหรือแม้เพียงเสียงลมพัดผ่านใบไม้ให้ได้ยิน ราวกับทั้งหมู่บ้านกำลังตกอยู่ท่ามกลางความเศร้าโศก
การตายของเสี่ยวถิงนั้นนอกจากคนเป็นแม่ที่ใจสลายแล้ว เหม่ยชิงก็เป็นอีกคนหนึ่งที่รู้สึกเสียใจมากไม่แพ้กัน คืนนี้นางจึงเงียบลงไม่พูดไม่จา ใบหน้างามสลดเศร้าสร้อย เหลียงฉีนึกอยากพูดปลอบใจหญิงคนรักให้คลายเศร้าลงบ้าง แต่ก็คิดว่าบางทีการนั่งอยู่เป็นเพื่อนเงียบๆ อย่างนี้อาจจะดีกว่าพูดอะไรออกไปซึ่งอาจไม่เข้าท่า เพราะไม่ได้รู้ซึ้งถึงจิตใจของนางจริงๆ
รหัสลับรัตติกาล ตอนที่ 12
12.
“เหม่ยชิง ออกไปโลกภายนอกกับผมเถอะ”
สิ้นเสียงชักชวนอย่างจริงจังของเหลียงฉี โลกรอบกายของเหม่ยชิงเหมือนกับเชื่องช้าลงไปถนัดตา หญิงสาวเงียบและดูเคร่งเครียด ชายผู้พูดเองก็มีอาการไม่ต่างกันเมื่อเห็นแววตาที่เต็มไปด้วยความสับสนของนาง คล้ายคนกำลังหลงทางแล้วไม่แน่ใจว่าควรเลือกไปทางไหนดี นางก้มหน้าลงครุ่นคิดอย่างวิตกกังวล
ก่อนหน้านี้เล็กน้อย...
หลายเดือนแล้วที่คู่หูนักล่าพำนักอยู่ในหมู่บ้านสายหมอก เหลียงฉีและเหม่ยชิงต่างก็ตกหลุมรักกัน และไปมาหาสู่กันบ่อยขึ้น ในเวลากลางวันทั้งคู่ก็จะทำตัวเป็นปกติไม่แสดงออก เพราะเป็นห่วงเรื่องความเหมาะสมและเรื่องอื่นอีกหลายอย่างซึ่งอาจเกิดความยุ่งยากตามมา
ครั้นยามที่ทุกคนเข้าสู่ห้วงนิทรากันหมดแล้ว นักล่าอสุรกายหนุ่มก็จะลอบไปหาหญิงคนรัก ทั้งคู่มักใช้เวลานั่งนับดาวชมจันทร์ด้วยกันจนกระทั่งใกล้รุ่งสางจึงกลับที่พัก ทว่าการกระทำทั้งหมดนี้ไม่อาจเล็ดรอดจากสายตาของเพื่อนนักล่าอสุรกายอีกคนไปได้ เฟิงอิ่งรู้ทุกเรื่องราวและทุกการเคลื่อนไหวของคู่หู แต่เขาก็เลือกที่จะเก็บมันไว้ ต่อหน้าเหลียงฉีและเหม่ยชิงเขาทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น
หลายครั้งที่เฟิงอิ่งแอบตามคู่หูออกไป เขาตามไปทั้งที่รู้ดีว่าจะพบกับอะไรบ้างแต่ก็ยังทำอย่างนั้น ซึ่งทุกภาพที่เห็นและทุกวันที่ดำเนินไป ยิ่งตอกย้ำรอยร้าวในใจให้ร้าวลึกจนแผลใจเปิดกว้างมากขึ้นทุกที ยามเมื่ออยู่คนเดียวเรื่องราวที่เคยเก็บงำเอาไว้มิดชิดก็พรั่งพรูออกมาตามบาดแผลของใจ คอยย้ำซ้ำๆ ให้ต้องเจ็บช้ำอยู่ร่ำไป
สะสมอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันจนใจร้อนรุ่มนั้นเต็มไปด้วยความโกรธ เกลียด อิจฉาริษยา และยิ่งนับวันไฟริษยาก็ยิ่งทวีความร้อนแรงเป็นทับทวีคูณ ความแค้นคับอกจนแทบจะระเบิด
ยิ่งเมื่อได้เห็นใบหน้ายิ้มแย้มอย่างอารมณ์ดีของเพื่อนสนิทที่ตีหน้าซื่อเพราะยังเข้าใจว่าไม่มีใครรู้เห็นด้วยแล้ว ยิ่งทำให้เฟิงอิ่งแทบสะกดกลั้นความขุ่นมัวเอาไว้ไม่อยู่จนนึกอยากจะตัดสินปัญหาหัวใจให้มันรู้ดำรู้แดงกันไปข้างหนึ่งเสียเลย
แต่จะทำแบบนั้นลงไปไม่ได้ เพราะเขาเองก็รู้สถานการณ์เวลานี้ดีเช่นกัน มาแตกคอกันในหมู่บ้านประหลาดแห่งนี้ ไม่ส่งผลดีอะไรกับตัวเองสักนิด แต่กลับกันมันจะส่งผลเสียเอาด้วยซ้ำ ทางออกที่ดีที่สุดสำหรับเรื่องนี้ก็คือต้องออกจากหมู่บ้านนี้ไปให้ได้เท่านั้น
“เหลียง พวกเราอยู่ที่นี่มานานเกินไปแล้วนะ เราน่าจะหาทางออกจากหมู่บ้านบ้าๆ นี่ แล้วกลับไปใช้ชีวิตแบบเดิมของเราได้แล้ว”
และแล้วเฟิงอิ่งก็ตัดสินใจเอ่ยปากกับคู่หู เขาเลือกเอาวันที่อากาศแจ่มใส เมฆขาวกำลังลอยเลื่อนบนท้องฟ้า ดวงอาทิตย์ส่องแสงให้ความอบอุ่น สายลมหยอกล้อใบไม้ใบหญ้าบางเบา เป็นวันที่ดีเหมาะอย่างยิ่งต่อการพูดเกลี้ยกล่อมให้อีกฝ่ายคล้อยตาม
ขณะนั่งคุยกัน จู่ๆ คู่หูก็พูดประโยคนั้นออกมา น้ำเสียงราบเรียบดูเหมือนแค่ต้องการบอกเล่า แต่มันกลับทำเอาเหลียงฉีถึงกับสะดุ้ง ชายหนุ่มอยู่ที่นี่มานานจนเริ่มคุ้นชินกับการใช้ชีวิตของคนที่นี่ และเริ่มปรับตัวเข้ากับวิถีชีวิตเรียบง่ายสงบสุขได้แล้ว ที่สำคัญ เขากำลังปลูกต้นรักอยู่กับสตรีนางหนึ่งและมันกำลังผลิดอกออกผลงดงาม
ไม่รู้เหมือนกันว่าตนเองเลิกสนใจเรื่องที่จะออกไปจากหมู่บ้านสายหมอกและลบเลือนเรื่องราวของโลกภายนอกไปจากหัวสมองตั้งแต่ตอนไหน เหลียงฉีพอใจกับชีวิตแบบนี้มากกว่า เขาพอใจที่จะได้พูดคุยสรวลเสเฮฮา ไปมาหาสู่กันกับเพื่อนบ้าน ช่วยกันเลี้ยงสัตว์ปลูกผักปลูกหญ้าทำมาหากินไปตามประสา
อาจเพราะชีวิตที่ผ่านมาของเขามีแต่งาน และมันเป็นงานที่ต้องแย่งชิงชีวิตของผู้อื่น ดังนั้น เมื่อได้หยุดพักมาอยู่ในโลกอีกแบบหนึ่ง จึงทำให้ได้เข้าใจจิตใจตนเองมากขึ้นว่าแท้จริงแล้วเขาอยากอยู่ในโลกที่ไม่ต้องดิ้นรนขวนขวาย ไม่ต้องแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นจนต้องประหัตประหารใคร ชีวิตเรียบง่ายกับหญิงคนรักนั่นละคือแท้จริงแห่งปรารถนาในใจเขา
แต่คำพูดของเพื่อนสนิทที่เพิ่งได้ยินนั้นเหมือนบังคับให้เขาต้องตัดสินใจเลือก เฟิงอิ่งกำลังจะให้เขาเลือกระหว่างหญิงสาวคนรักกับเพื่อนรัก ซึ่งสำหรับเขาแล้วคนทั้งคู่มีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันเลย เหลียงฉีนิ่งอึ้งอย่างใช้ความคิด แต่ก็ยังคิดไม่ตกว่าจะหาทางออกสำหรับเรื่องนี้อย่างไรดี
“นายคงกำลังคิดหนักเรื่องเหม่ยชิงอยู่สินะ เหลียง”
“นายรู้...” เหลียงฉีอ้อมแอ้มถาม หันมาสบตาคู่หู สายตาแสดงอาการแปลกใจ เฟิงอิ่งยิ้มมุมปากพร้อมพยักหน้าให้เป็นเชิงยอมรับ พูดต่อด้วยสีหน้าท่าทางสุขุมเหมือนทุกครั้ง
“ฉันเป็นคู่หูของนายนะ เราเป็นคู่หูที่รู้ใจกันยิ่งกว่าผัวเมียรู้ใจกันเสียอีก เหมือนอย่างที่ใครๆ เค้าพูดกันนั่นละ นายคิดหรือทำอะไรทำไมฉันจะไม่รู้ ถ้าเรื่องแค่นี้ยังสังเกตไม่เห็นละก็ ฉายาแสงสว่างและเงาก็คงเป็นคำที่คนอื่นตั้งให้เล่นๆ แล้วละ”
“เฮ้อ จริงของนาย ถ้างั้นนายก็คงเข้าใจว่าเรื่องนี้มันยากสำหรับฉัน” เหลียงฉีถอนหายใจหนัก ยอมรับแต่โดยดี
“ฉันรู้” เฟิงอิ่งเองก็รับว่ารู้ออกมาตรงๆ
“นายคิดว่าฉันพูดเรื่อยเปื่อย พูดในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้อย่างนั้นเหรอไง ที่พูดก็เพราะรู้เรื่องทุกอย่างดีน่ะสิ และจะบอกอะไรให้นะเหลียง ฉันหาทางออกเอาไว้แล้วละถึงได้พูดเรื่องนี้กับนาย”
เหลียงฉีให้ความสนใจในคำพูดนั้นทันที ความหวังซึ่งเคยริบหรี่ถูกเฟิงอิ่งจุดประกายให้มองเห็นว่ามีทางเป็นไปได้
“นายมีหนทางอย่างงั้นเหรอ เฟิง เราจะทำยังไงกันดี” สีหน้าและน้ำเสียงออกอาการตื่นเต้นดีใจจนเก็บไว้ไม่อยู่
“จะไปยากอะไร นายก็พาเหม่ยชิงออกไปจากที่นี่ด้วยกันเลยสิ เท่านี้เราก็จะได้ทำงานของเราต่อ และนายก็ได้สมหวังในความรักด้วย” ได้ยินดังนั้น พริบตาเดียวที่ความหวังปรากฏขึ้นพลันมันก็ดับวูบลงกลายเป็นความสิ้นหวังอีกครั้งหนึ่ง แม้ไม่ต้องถามเหลียงฉีก็รู้ดีว่าเหม่ยชิงต้องไม่ยอมตามเขาออกไปจากหมู่บ้านแห่งนี้เป็นแน่
“และที่สำคัญที่สุดนะเหลียง สตรีแห่งน้ำคนนี้เป็นคนพิเศษ ถ้าหากเธอยอมตามพวกเราออกไป บางทีการค้นคว้าวิจัยของเราอาจจะรุดหน้าไปอย่างรวดเร็ว หรือไม่ก็อาจประสบผลสำเร็จไปเลยก็ได้”
เฟิงอิ่งที่สังเกตอาการของเพื่อนตลอดเวลาพูดเกลี้ยกล่อม สำทับถึงประโยชน์อื่นที่จะตามมาหากทุกอย่างเป็นไปตามคาด มันทำให้เหลียงฉีคิดหนัก วิตกและวุ่นวายใจจนรู้สึกพลุ่งพล่านปั่นป่วนไปหมด เขากำลังตัดสินใจไม่ถูกว่าจะเลือกทางไหนดี
จะยอมทิ้งเพื่อนรัก ทิ้งงานทั้งหมดที่ทำมาและอยู่ที่นี่กับหญิงคนรัก หรือจะยอมทิ้งหญิงคนรักแล้วออกไปกับเพื่อนคู่หูที่ร่วมฝ่าฟันเคียงบ่าเคียงไหล่ด้วยกันมานาน
กับอีกทางหนึ่งก็คือ ต้องหาวิธีโน้มน้าวเหม่ยชิงให้ออกไปสู่โลกภายนอกพร้อมกันกับเขา แต่จะทำยังไงให้เหม่ยชิงยอมตามเขาออกไปจากหมู่บ้านนี่สิ และจะเป็นยังไงถ้านางเกิดรู้ว่าตัวเองจะต้องถูกพาไปวิจัยเหมือนหนูทดลอง
ในขณะที่เหลียงฉีจมอยู่กับความคิดวกวน เขาไม่ทันได้สังเกตเห็นรอยยิ้มและแววตาที่ผิดแผกไปจากเดิมของเพื่อนคู่หูที่เคยร่วมเป็นร่วมตายด้วยกันมาว่าบัดนี้มันได้ส่อแววของความเป็นคนเจ้าเล่ห์เพทุบาย มันเป็นสายตาอันร้ายกาจที่ไม่หลงเหลือความหวังดีอยู่ในนั้นอยู่เลยแม้สักนิด
ใจจริงแล้วเหลียงฉีไม่อยากเลือกทางใดสักทาง เพราะไม่ว่าจะเป็นทางไหนก็ล้วนแล้วแต่ต้องมีการเสียสละ และในตอนนี้เขาก็ยังไม่พร้อมที่จะเสียสละอะไรสักอย่าง ส่วนทางเลือกที่คู่หูบอกว่าดีที่สุดนั้นก็กลับเป็นทางเลือกซึ่งไม่รู้ว่าจะทำได้จริงอย่างไร
เรื่องนี้รบกวนจิตใจของเหลียงฉีตลอดทั้งคืนจนเขาไม่สามารถข่มตาให้หลับลงได้ กระทั่งถึงเวลารุ่งสางเสียงเอะอะซึ่งดังขึ้นอย่างผิดปกติภายนอกตัวบ้านก็ทำให้เขาหลุดออกจากห้วงความคิด
“เกิดอะไรขึ้นเหรอครับ จะไปไหนกันตั้งแต่ยังเช้ามืดแบบนี้”
เหลียงฉีออกมาดูที่หน้าบ้าน เขาถามชาวบ้านคนหนึ่งในหลายคนที่กำลังเดินผ่านที่พักไป ตั้งแต่เข้ามาอยู่ที่นี่ เขาไม่ค่อยได้เห็นชาวบ้านรวมกลุ่มเดินไปไหนมาไหนด้วยกันโดยปราศจากเครื่องมือทำไร่ทำสวนแบบนี้ โดยเฉพาะในเวลาเช่นนี้ที่ทั้งหมดดูเร่งรีบจนผิดวิสัย เขาจึงคิดว่าน่าจะเกิดเรื่องอะไรบางอย่างที่ไม่ปกติขึ้น
“เสี่ยวถิงตายแล้วน่ะ ตายก่อนรุ่งสางไม่นานนี้เอง”
เสี่ยวถิงที่พูดถึงคือเด็กหญิงขี้อ้อนอายุสามขวบที่กำลังอยู่ในวัยน่ารักน่าอุ้ม ตัวจ่ำม่ำน่ากอด แก้มป่องแดงเป็นลูกท้อ ช่างพูดช่างถาม มักซุกซนตามประสาเด็ก เธอจึงเป็นที่รักใคร่โปรดปรานของคนทั้งหมู่บ้าน เมื่อหลายวันก่อนเขาเองก็ยังได้อุ้มได้เล่นสนุกกับแกอยู่เลย แล้วเพียงไม่กี่วันทำไมเด็กน้อยถึงมาเสียชีวิตลงได้
เหลียงฉีออกเดินตามกลุ่มชาวบ้านไปยังสถานที่เกิดเหตุ ไม่นานเฟิงอิ่งก็ตามมาสมทบ
ที่บ้านเกิดเหตุ มีชาวบ้านหลายคนยืนสังเกตการณ์อยู่แล้ว หนึ่งในนั้นมีเหม่ยชิงรวมอยู่ด้วย ร่างไร้วิญญาณของเด็กน้อยอยู่บนแคร่ไม้ไผ่ ผู้เป็นแม่ร่ำไห้อยู่ข้างๆ ราวกับจะขาดใจตายตาม บรรยากาศโดยรอบถูกปกคลุมไปด้วยความเศร้าสลด
ผู้คนที่มามุงดูต่างพากันนิ่งเงียบไม่มีใครกล้าพูดอะไรออกมา ได้แต่มองดูอย่างเห็นใจหญิงผู้สูญเสียลูกสาวไปกะทันหัน และความเงียบแบบนั้นก็ยิ่งทำให้บรรยากาศเป็นไปด้วยความเศร้าโศกทวีคูณ
“มันกลับมาอีกแล้ว มันกลับมาเอาชีวิตเด็กๆ ของพวกเราไปอีกแล้ว”
เสียงหนึ่งโจษถึงการเสียชีวิตของเด็กน้อยขึ้นมา คนพูดกำลังคิดว่าเหตุร้ายนี้เกิดจากคำสาปของหมู่บ้าน ต่อมาก็เริ่มมีคนพูดว่าเป็นเพราะภูตผีปีศาจ แต่ก็มีบ้างที่วินิจฉัยว่าเกิดจากโรคระบาด เสียงโจษจันของชาวบ้านซึ่งไม่ทราบความจริงที่แน่ชัดเริ่มแตกกันออกไปเป็นหลายกระแส แต่ที่คล้ายกันก็คือทุกคนมีสีหน้าหวาดกลัวและกังวลใจ
คู่หูนักล่าเดินเข้าไปใกล้เพื่อลอบสำรวจร่างไร้วิญญาณที่นอนแน่นิ่งอยู่บนแคร่ ต่างสังเกตเห็นมือและเท้าของร่างเล็กมีตุ่มใสกระจายไปทั่ว ลักษณะแบบนี้น่าจะเป็นอาการของโรคติดต่อบางอย่าง เด็กน้อยคงติดโรคมาจากที่ไหนสักแห่ง
สองคู่หูครุ่นคิด ถ้าจะว่าไปแล้วหมู่บ้านแห่งนี้เหมือนหลุดออกจากเวลาปัจจุบันย้อนกลับไปในอดีตหลายร้อยปี วิทยาการและการแพทย์สมัยใหม่ยังล้าหลังต่างกับโลกภายนอกอยู่มาก คงไม่มีใครคิดได้ว่าเด็กป่วยจากเชื้อโรคอะไร และยิ่งไม่สามารถหาทางรักษาให้หายได้ เด็กน้อยจึงต้องมาจบชีวิตลงก่อนวัยอันควรแบบนี้
เนื่องจากเป็นการตายที่ผิดธรรมชาติของคนที่นี่และยังไม่ทราบถึงสาเหตุที่แท้จริง ดังนั้นพิธีศพของเด็กหญิงจึงถูกจัดการอย่างเร่งรีบและรวดเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ ร่างไร้วิญญาณของเด็กน้อยถูกนำไปเผาในวันนั้นเอง จากนั้นกระดูกก็ถูกเก็บและนำไปฝังรวมกับคนอื่นๆ ในสุสานของหมู่บ้าน
และในคืนนั้นเองเหลียงฉีก็ลอบมาพบกับเหม่ยชิงตามปกติ แม้คืนนี้จะมีเรื่องร้ายเกิดขึ้นในหมู่บ้าน แต่ดาวยังคงกะพริบงดงามอยู่บนฟ้า ดวงจันทร์ก็ยังคงทอแสงนวลตาลงมาไม่เปลี่ยนแปลง
หมู่บ้านยามค่ำคืนที่เงียบสงบอยู่แล้ว แต่ในคืนนี้กลับยิ่งเงียบไปกว่าเดิม ไม่มีเสียงแมลงร้องระงมหรือแม้เพียงเสียงลมพัดผ่านใบไม้ให้ได้ยิน ราวกับทั้งหมู่บ้านกำลังตกอยู่ท่ามกลางความเศร้าโศก
การตายของเสี่ยวถิงนั้นนอกจากคนเป็นแม่ที่ใจสลายแล้ว เหม่ยชิงก็เป็นอีกคนหนึ่งที่รู้สึกเสียใจมากไม่แพ้กัน คืนนี้นางจึงเงียบลงไม่พูดไม่จา ใบหน้างามสลดเศร้าสร้อย เหลียงฉีนึกอยากพูดปลอบใจหญิงคนรักให้คลายเศร้าลงบ้าง แต่ก็คิดว่าบางทีการนั่งอยู่เป็นเพื่อนเงียบๆ อย่างนี้อาจจะดีกว่าพูดอะไรออกไปซึ่งอาจไม่เข้าท่า เพราะไม่ได้รู้ซึ้งถึงจิตใจของนางจริงๆ