▼ กำลังโหลดข้อมูล... ▼
แสดงความคิดเห็น
กระทู้ที่คุณอาจสนใจ
อ่านกระทู้อื่นที่พูดคุยเกี่ยวกับ
เที่ยวไทย
เที่ยวทะเล
ภาพถ่ายจากกล้องโทรศัพท์
ภาพถ่ายทิวทัศน์
จังหวัดกระบี่
ตระเวนเดี่ยวขี่รถเที่ยวดะกระบี่ต่อพังงา ตอนที่ 1
ช่วงคลายมาตรการปลดล็อคโควิดใหม่ ๆ เป็นช่วงที่ผมขยันเดินทางท่องเที่ยวในทริปสั้น ๆ ช่วงวันหยุดต่อเนื่องบ่อยเดือนละทริป โดยทริปตระเวนเดี่ยวขี่รถเที่ยวดะกระบี่ต่อพังงาเป็นทริปที่ 2 ที่ผมได้เดินทางท่องเที่ยวหลังผ่อนปรนมาตรการโควิด อาศัยวันหยุดต่อเนื่อง 4 วันช่วงปลายเดือนกรกฏาคม ผมมองว่าแม้จะเที่ยวทะเลในช่วงกรีนซีซั่นที่มีโอกาสพบเจอฝนได้ง่าย แต่บรรยากาศทะเลยามนี้กลับดูเงียบสงบเป็นส่วนตัวดีมาก มองไปทางไหนป่าไม้และภูเขาก็เขียวชะอุ่มมองแล้วสบายตาไปหมด ทำให้ทริปนี้จึงเป็นอีก 1 ทริปที่ประทับใจผมด้วยเช่นกัน ก่อนอื่นทำความรู้จักกันโปรแกรมการเที่ยวในทริปนี้ของผม จำนวน 4 คืน 5 วันก่อนนะครับ
วันแรก : เดินทางไปจังหวัดกระบี่
วันที่ 2 : เที่ยวย่านอ่าวนาง
วันที่ 3 : เที่ยวย่านอ่าวลึก
วันที่ 4 : เที่ยวย่านตะกั่วทุ่งและท้ายเหมือง
วันที่ 5 : เดินทางกลับ
วันที่ 1 - 2 เดินทางไปจังหวัดกระบี่ และเที่ยวย่านอ่าวนาง
ใจจริงไม่ชอบการเดินทางนาน ๆ ในการไปเที่ยว แต่ผมสู้ราคาตั๋วเครื่องบินที่แพงมาก ๆ ในช่วงเทศกาลวันหยุดไม่ไหว จึงขอใช้บริการรถบัสจากสายใต้ใหม่มายังจังหวัดกระบี่แทนรึกัน เพราะยังไงก็ช่วยเซฟเงินในกระเป๋าได้หลายอยู่ วันแรกเดินทางมาสายใต้ก็เกือบตกรถซะแล้ว เพราะการจราจรบนท้องถนนรถติดจริง ๆ ไม่คาดคิดว่าถนนที่นั่งรถเข้ากรุงเทพฯ บ่อย ๆ ที่ใช้เวลาแค่ 50 นาทีก็ถึงที่หมาย แต่วันศุกร์ที่จะเจอวันหยุดต่อเนื่องกลับทำให้รถราบนถนนติดนานกว่าจะถึงสายใต้ปาไป 2 ชั่วโมง แถมผู้คนเดินทางในบริเวณขนส่งสายใต้ที่ต้องการเดินทางในช่วงวันหยุดยาวก็มากมายคับคลั่งเสียจริง ๆ
รถใช้เวลาวิ่งช้ากว่าจะถึง บขส. จังหวัดกระบี่ เพราะช่วงหลังสวน ละแมต่อสุราษฎร์ธานีกำลังขยายถนนทำทางกันอยู่ ทำให้ผมมาถึงกระบี่ก็ล่วงเลยเวลาไป 8 โมงแล้ว
ก่อนนั่งรถสองแถวสีเหลืองเข้าไปในตัวเมืองกระบี่เพื่อไปยังร้านเช่ารถมอเตอร์ไซค์ ผมก็เดินสำรวจดูรถบัสและรถตู้ที่วิ่งไปจังหวัดใกล้เคียงแถบนี้ก็เห็นว่ามีรถหลายบริษัทและวิ่งกันหลายรอบทั้งไปภูเก็ต สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช เกาะลันตา ตรัง และหาดใหญ่ เรียกว่าหากเราเที่ยวต่อเนื่องจังหวัดใกล้กันก็สามารถนั่งรถต่อไปได้ง่าย
นอกจากที่ บขส. กระบี่จะมีร้านอาหารให้นั่งทานด้านในสถานีแล้ว ยังมีร้านเช่ารถมอเตอร์ไซค์อยู่ที่นี่ด้วย หากใครสนใจอยากขี่รถมอเตอร์ไซค์เที่ยวก็สามารถลงรถบัสที่นี่แล้วเช่ารถเที่ยวต่อได้เลย เสียดายว่าก่อนมาที่นี่ผมได้โทรจองรถเช่าไว้กับทางร้านในตัวเมืองกระบี่ไว้แล้ว
นั่งรถสองแถวไม่นานรถก็มาจอดที่ร้านเช่ารถในตัวเมืองกระบี่ ค่าเช่ารถเกียร์ออโต้ตกวันละ 250 บาท ผมเช่ารถ 4 วันก็เป็นเงิน 1,000 บาท บวกค่าน้ำมันรถประมาณ 400 บาทก็รวมทั้งหมด 1,400 บาท ถือว่าประหยัดคุ้มค่ามากกับการเที่ยวตระเวนไปหลายที่ใน 2 จังหวัดของทริปนี้
จุดหมายแรกจากร้านเช่ารถผมขี่รถไปที่พักก่อนเลย เพื่อเก็บสัมภาระก่อนเดินทางเที่ยวในทริปนี้ สำหรับคืนแรกผมเลือกที่พักย่านหนองทะเลเพื่อจะได้สะดวกในการขี่รถตอนเช้ามืดขึ้นไปดูทะเลหมอกตอนเช้าที่ดินแดงดอยที่อยู่ใกล้ ๆ ที่พัก
สอบถามราคาที่พักก่อนมาแต่ไม่ได้จองเพราะคิดว่าเดี๋ยวมาดูสภาพห้องจริงก่อนแล้วค่อยตัดสินใจ เพราะช่วงฤดูฝนอย่างนี้ที่พักก็คงว่างหลายแห่ง พอดูภายในบ้านพักแล้วถูกใจที่พักที่นี่มาก ราคาไม่แพงแค่คืนละ 489 บาทให้มาเป็นหลัง ที่พักนี้มีชื่อว่า Lay Back Villa เป็นที่พักติดถนนใกล้แยกหนองทะเลทางไปหาดคลองม่วง ใกล้ ๆ กับที่พักก็มีปั๊มน้ำมัน ร้านสะดวกซื้อ 7 - 11 และร้านขายอาหารของชาวบ้าน
เจ้าของที่พักเป็นหญิงไทยที่มีสามีเป็นฝรั่ง เปิดรีสอร์ทบ้านพักเล็ก ๆ ในราคาไม่แพงและคุณภาพยอดเยี่ยม เจ้าของบริการดีมาก เดินมาแนะนำการใช้อุปกรณ์ต่าง ๆ ภายในห้อง เจ้าของเห็นแม่บ้านทำห้องน้ำของบ้านพักเราไม่สะอาด ถึงกับจะมาขัดพื้นห้องน้ำใหม่ให้เองเลย ผมเองก็เกรงใจเพราะดูแล้วก็ไม่ได้สกปรกอะไรมากขนาดต้องขัดห้องน้ำใหม่ เลยบอกปฏิเสธเจ้าของที่พักไป หากเพื่อน ๆ คนไหนไม่ติดว่าต้องหาที่พักติดทะเล ผมว่าที่พักแห่งนี้น่าสนใจมาพักนะครับคุณภาพเกินราคาที่จ่ายจริง ๆ
หลังเก็บสัมภาระเสร็จแล้วก็ได้เวลาโบยบินของเราแล้ว รอมานาน ผมขี่รถไปยังจุดหมายแรกของทริปนี้ก็คือ ท่าปอมคลองสองน้ำ ซึ่งอยู่ห่างจากที่นี่ไปราว 20 ก.ม. ใช้เวลาขี่รถราว ๆ ครึ่งชั่วโมงได้
ถนนที่ผมขี่รถไปยังท่าปอมคลองสองน้ำเป็นถนนสายในจากหนองทะเลเลาะไปจนถึงเขาคราม ถนนราดยางดีตลอดสาย โดยระหว่างทางจะผ่านแหล่งท่องเที่ยวใหม่ ๆ ที่สามารถแวะเที่ยวชมได้อย่างคลองหรูด คลองน้ำใส หรือคลองสระแก้ว รวมทั้งยังสามารถไปยังอ่าวท่าเลนที่โด่งดังเรื่องพายเรือคายัคชมป่าชายเลนได้อีกด้วย
จากลานจอดรถของท่าปอมคลองสองน้ำ เดินไปยังจุดจำหน่ายตั๋วค่าเข้าชม พร้อมลงชื่อและตรวจวัดอุณหภูมิก่อนเข้าชมตามมาตรการคัดกรองช่วงโควิด ตอนผมมาที่นี่เพิ่งกลับมาเปิดให้บริการนักท่องเที่ยวเข้ามาเที่ยวชมได้ไม่นาน ถ้าจำไม่ผิดราคาค่าเข้าชมน่าจะคนละ 50 บาท พอดีนานเกือบ 3 เดือนที่ไปมาแล้วจึงยังไม่ค่อยได้แล้ว
ท่าปอมคลองสองน้ำเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศน์วิทยาที่ได้รับการยกย่องให้เป็น 1 ใน Unseen Thailand ลักษณะเป็นป่าพรุน้ำกร่อยกับป่าชายเลนที่อุดมสมบูรณ์ พืชพรรณธรรมชาติของป่าแห่งนี้อาศัยคลองสองสายที่มีระบบน้ำจืดผสมกับน้ำทะเล ต้นไม้ในผืนป่าโดดเด่นที่มีรากโผล่บนน้ำขึ้นมาหายใจ สีน้ำเขียวอมฟ้าดูใสและสะท้อนยามเมื่อต้องแสงแดด เป็นภาพชวนฝันที่ใครหลายคนอยากมาเห็นกับสายตาของตนเองสักครั้งเมื่อมาเที่ยวสถานที่แห่งนี้
อบต. เขาครามที่ดูแลรับผิดชอบแหล่งท่องเที่ยวแห่งนี้ได้ทำทางเดินเทด้วยปูนซีเมนต์อย่างดีสลับกับสะพานไม้ข้ามพื้นที่ของดินพรุในผืนป่า ลัดเลาะเข้าด้านในป่าเป็นระยะทางยาว 700 เมตร ระหว่างทางมีศาลาพักหลบแดดให้นักท่องเที่ยวนั่งชมวิวได้สบาย ๆ อยู่หลายจุด
ความใสของน้ำสีเขียวมรกตช่างยั่วยวนให้ผมอดใจไม่ไหวต้องหยิบกล้องถ่ายรูปมาถ่ายความงามของที่นี่เก็บไว้เป็นความทรงจำ แม้ตอนที่ผมมาท้องฟ้าจะอึมครึมเพราะฝนเพิ่งหยุดตกมาไม่นาน จึงไม่มีแสงแดดส่องมาที่ผิวน้ำทั้ง ๆ ที่เป็นเวลาช่วงบ่าย แต่สีน้ำและความใสของน้ำที่นี่ก็ไม่ลดน้อยลงเลย จึงไม่แปลกใจว่าทำไมที่นี่จึงเป็นหนึ่งในแหล่งท่องเที่ยวของประเทศไทยอีกแห่งที่ไม่ควรพลาดชม
ที่นี่จึงไม่ให้นักท่องเที่ยวลงเล่นน้ำด้านในของท่าปอมคลองสองน้ำได้ แต่สามารถเล่นน้ำบริเวณด้านหน้าที่ทาง อบต. จัดไว้ให้ได้ ถึงแม้จะลงเล่นน้ำไม่ได้ แต่ทาง อบต.ที่นี่ก็ทำบันไดลงไปยังระเบียงไม้ที่ยื่นไปที่คลอง ทำให้นักท่องเที่ยวเดินลงไปชมความงามของน้ำในคลองและเอาเท้าจุ่มน้ำเล่นได้ น้ำที่นี่ใสไหลเย็นจริง ๆ ด้านในก็มีต้นไม้ขึ้นหนาแน่นทำให้ไม่ร้อนอบอ้าวเลย
ผมใช้เวลาชมท่าปอมคลองสองน้ำอยู่นาน 2 ชั่วโมงได้เพราะเพลิดเพลินกับการหามุมสวย ๆ ถ่ายรูปเก็บไว้มากมาย ต่อมาผมจึงขี่รถต่อไปเที่ยวชม อ่าวนาง เพราะมาเที่ยวกระบี่รอบนี้เรียกว่ามาเก็บตกแหล่งท่องเที่ยวที่ครั้ง ๆ มากระบี่แล้วยังไม่ได้ไป จึงเดินทางมายังอ่าวนางเพื่อนั่งเรือไปเที่ยวยัง หาดไร่เลย์ ต่อนั่นเอง