รหัสลับรัตติกาล ตอนที่ 10

กระทู้สนทนา
G.K.Line

                10.

                “เจ้าศักดิ์ เร็วเข้า แต่งตัวอะไรนานนัก เดี๋ยวก็ไปรับหนูวิเค้าสายหรอก”

                คุณไพบูลย์ตะโกนเร่งลูกชาย หลังจากสำรวจเวลาบนหน้าปัดนาฬิกาแขวนผนังเป็นครั้งที่สิบสอง ด้วยเห็นว่าใกล้เวลานัดเต็มที แต่ลูกชายยังไม่ลงมาจากชั้นบนเสียที

                “ครับพ่อ เสร็จแล้วครับ”

                ศักดาตะโกนตอบก่อนวิ่งมาตามขั้นบันไดอย่างเร่งรีบ พลางยัดชายเสื้อเชิ้ตสีฟ้าอ่อนข้างที่เหลือเข้าไปในกางเกงสแล็คสีน้ำตาลเปลือกไข่

                “ปกติแกไม่แต่งตัวนานขนาดนี้นี่หว่า เห็นรีบอาบน้ำเตรียมตัวก่อนตั้งนาน ทำไปทำมากลายเป็นเกือบสายเสียได้”

          ลูกชายยิ้ม ฟังเสียงบ่นของพ่อที่ทำราวกับเป็นคู่นัดเสียเอง มือก็สาละวนติดกระดุมแขนเสื้อไปด้วย ก่อนเดินไปสวมรองเท้าหนังเงาวับที่จัดเตรียมไว้

                “ตกลงพ่อไม่ไปกับเราแน่นะครับ” ชายหนุ่มคว้ากุญแจรถที่แขวนไว้ข้างประตูหน้าบ้าน แล้วหันมาถามอีกครั้ง เผื่อพ่อจะเปลี่ยนใจ

                “ไปกันตามประสาหนุ่มๆ สาวๆ เถอะ พ่อไม่เปลี่ยนใจหรอก ขืนยกเลิกนัดตอนนี้ เดี๋ยวพวกเพื่อนๆ ของพ่อมันจะได้ต่อว่ากันยกใหญ่เอาปะไร” ผู้สูงวัยกว่าส่ายหน้า ยังยืนยันคำเดิม ออกมายืนดูลูกชายที่เดินเร็วๆ ตรงไปยังรถเก๋งที่จอดเตรียมไว้หน้าประตูรั้วบ้าน

                วันที่ศักดาและวิภาดาชวนให้เขาออกไปทานอาหารมื้อค่ำด้วยกัน คุณไพบูลย์ได้เอ่ยขอตัว เขาอ้างว่าตัวเองนัดกับบรรดาเพื่อนๆ สมาคมวิจารณ์งานศิลป์ว่าจะไปนั่งจิบกาแฟชมภาพวาดชิ้นใหม่ที่หนึ่งในกลุ่มเพิ่งได้มาไว้ในครอบครอง

                เรื่องนัดกันกับเพื่อนนั่นก็จริงอยู่ แต่ที่มากกว่านั้นก็คือไม่อยากไปนั่งเกะกะคู่หนุ่มสาวต่างหาก

                “งั้นผมไปก่อนนะครับพ่อ”

                “ไปดีมาดีนะเจ้าลูกชาย ผู้หญิงดีๆ มีเข้ามาในชีวิตไม่บ่อยนะ โดยเฉพาะยิ่งเป็นคนที่เคยมีความทรงจำวัยเด็กด้วยกันแบบนี้ด้วยแล้วละก็ ยิ่งหายากไปใหญ่ จะทำอะไรก็รีบๆ ทำเข้าล่ะอย่ามัวแต่รีๆ รอๆ จนเสียท่าใครไป”

                โบกมือไล่แล้วไม่วายเย้าลูกชายให้ได้อายพอเป็นพิธี ชายหนุ่มหัวเราะ ไม่ต่อปากต่อคำด้วยอีก ขึ้นรถเก๋งคันงามแล้วติดเครื่อง ขับออกไปรับคู่นัดทันที

                ตั้งแต่ที่วิภาดาเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งบนเส้นทางชีวิต ศักดากลับบ้านบ่อยขึ้น ทั้งสามมักชอบทำอาหารเย็นรับประทานและนั่งคุยกันสัพเพเหระ ชายหนุ่มรู้สึกว่าเขามีความสุขมากขึ้น ความเครียดที่สะสมมาทุกเมื่อเชื่อวันดูจะบรรเทาลงไป

                นี่ถ้าไม่มีคดีบ้าๆ ที่เกิดขึ้นอยู่ตอนนี้มาคอยรบกวนจิตใจด้วยแล้วละก็เขาคงจะมีความสุขมากกว่าที่เป็นอยู่ตอนนี้มากมายนัก

                ชั่วครู่ที่เรื่องคดีแทรกเข้ามาในความคิดความสุขที่มีจนถึงวินาทีก่อนก็พลันมลายหายไปหมดศักดาถอนหายใจพร้อมกับส่ายหน้าเบาๆ เป็นเชิงว่าไม่น่านึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมาในเวลาเช่นนี้เลย

                หลายวันก่อนเขาใช้ฐานข้อมูลของหน่วยล่า ตรวจสอบพื้นที่คดีฆาตกรรมอันเกิดจากฝีมือของอสุรกายทั้งหมดในเขตรับผิดชอบ เจาะจงเลือกคดีที่มีรูปแบบการฆ่าคล้ายกัน และตัดจุดเกิดเหตุฆาตกรรมแบบอื่นทิ้งทั้งหมด โดยหวังจะพบการเชื่อมโยงอะไรบางอย่าง

                ทว่าข้อมูลจุดฆาตกรรมที่ปรากฏบนแผนที่นั้นกลับกระจายตัวสะเปะสะปะไปหมด มันดูสับสนไร้รูปแบบเสียจนไม่สามารถคาดเดาอะไรได้เลย

                มือปราบอสุรกายหยุดความคิดวกวนลงเมื่อมาถึงหน้าบ้านวิภาดา เขาก้าวลงจากรถก่อนเดินตรงไปกดกริ่งหน้าประตูรั้วและยืนคอย เพียงไม่กี่อึดใจหญิงสาวก็เดินออกมา

                ค่ำคืนนี้เธออยู่ในชุดเดรสแขนกุดสีชมพูอ่อน ทรงชุดแบบสลิมเข้ารูปยาวถึงเข่า ทำให้รูปร่างสูงโปร่งทะมัดทะแมงดูสวยหวานขึ้นทันตา ใบหน้าคมถูกแต่งให้หวานขึ้นด้วยเครื่องสำอางโทนสีเข้ากันกับชุด

                หญิงสาวงดงามแปลกตาจนนายตำรวจหนุ่มตะลึงมอง เผลอตัวจ้องคู่นัดตรงหน้าไปนานสองนาน

                “หน้าวิมีอะไรติดอยู่รึเปล่าคะ พี่ศักถึงมองตาไม่กระพริบขนาดนี้”

          เสียงนุ่มลอยเข้าหู ทำเอาศักดาสะดุ้งหลุดจากภวังค์ เธอปรายตามองพร้อมคลี่ยิ้มให้ราวกับหยั่งถึงความคิดของหนุ่มรุ่นพี่

                “เอ่อ พี่ขอโทษที่เสียมารยาทจ้องซะขนาดนั้น ปกติไม่เคยเห็นวิแต่งตัวแบบนี้น่ะ” รู้สึกได้ว่าตนเองตอบแบบลนลานเกินเหตุ

          “แล้วยังไงคะ วิใส่ชุดแบบนี้แล้วเป็นยังไงบ้าง” หญิงสาวถามอย่างรุกไล่ต่อ

          “พี่ว่าเรารีบไปกันดีกว่า พี่จองที่นั่งเอาไว้แล้ว เดี๋ยวจะสาย” นายตำรวจหนุ่มตัดบทเพื่อป้องกันการเพี่ยงพล้ำหากสาวรุ่นน้องจู่โจมมากไปกว่านี้ เขาเปิดประตูรถให้เธอนั่งก่อนจะกุลีกุจอกลับเข้านั่งด้านคนขับและบังคับรถให้เคลื่อนตัวออกไปยังที่หมาย

                การจราจรในช่วงเวลาใกล้ค่ำติดขัดสลับคล่องตัวเป็นบางช่วง แต่ออกจะหนักไปทางอย่างแรกเสียมากกว่า ท้องฟ้าเริ่มมืดสลัวลงเรื่อยๆ ขณะที่แสงจากหลอดไฟฟ้าบนถนนและตามบ้านเรือนถูกปลุกให้ทำงานแทนที่ทีละดวงสองดวง

                อากาศในรถถูกปรับจนเย็นสบาย เพลงแนวป๊อปร่วมสมัยเปิดคลอเบาๆ พอได้ฟังรื่นหู ไม่ดังขัดการสนทนา

                “วิชอบอาหารฝรั่งเศสเหรอ”ศักดาเอ่ยถาม

                อาหารค่ำมื้อนี้วิภาดาเป็นคนเลือกว่าอยากทานอาหารฝรั่งเศส เขาเองไม่เคยเข้าไปนั่งกินอาหารประเภทนี้มาก่อน แต่เป็นเพราะอยากตามใจเธอเขาถึงกับเปิดหาข้อมูลของร้านอาหาร ตลอดถึงวิธีการสั่งอาหาร รวมถึงเรื่องมารยาทบนโต๊ะที่ควรรู้ในอินเทอร์เนตกันเลยทีเดียว

                “ค่ะ วิชอบทานอาหารฝรั่งเศส”หญิงสาวตอบพลางเหลียวมองออกไปภายนอกตัวรถ ผู้คนเดินขวักไขว่เต็มทางเท้า บนถนนก็อัดแน่นไปด้วยรถยนต์ เมืองใหญ่ที่ไหนๆ ในโลกนี้ก็เหมือนกันหมด เป็นเมืองที่ไม่เคยหลับใหลไม่ว่าจะกี่โมงยาม 

                “รสชาติคงอร่อยมากเลยสินะ ถึงทำให้วิติดใจได้ พี่ยังไม่เคยได้กินสักครั้ง”

                “ก็ไม่เชิงอยู่ที่รสชาติเสียทีเดียวหรอกค่ะ ที่วิชอบก็เพราะอาหารฝรั่งเศสให้ความสำคัญกับองค์ประกอบที่ผสมกันเป็นมื้ออาหารมื้อนั้นมากกว่า”

                สมกับเป็นคำตอบของวิภาดา นายตำรวจหนุ่มนึกนิยมในใจเป็นการตอบคำถามอย่างมีชั้นเชิง ทำให้เรื่องที่กำลังจะพูดต่อไปดูน่าสนใจและกระตุ้นคนฟังให้อยากรู้มากขึ้นภายในประโยคเดียว

                “ร้านอาหารฝรั่งเศสให้ความสำคัญไม่เฉพาะแค่เรื่องรสชาติ เขาคำนึงถึงตั้งแต่การจัดแต่งร้าน การใช้แสงสีในมุมต่างๆ เพื่อให้อาหารที่อยู่บนโต๊ะออกมาดูดี น่าทาน” เธอเริ่มต้นขยายความสิ่งที่เกริ่นค้างไว้เมื่อสักครู่

          “ส่วนเรื่องรสชาติ เขาจะเสิร์ฟไล่มาตั้งแต่อาหารรสอ่อนไปจนถึงอาหารที่มีรสเข้มข้น เพราะเขาให้ความสำคัญกับรสชาติของอาหารแต่ละชนิดมาก ต้องมีลำดับการเสิร์ฟ เพื่อไม่ให้รสชาติของอาหารชนิดหนึ่ง กลบรสชาติของอาหารอีกชนิดหนึ่งจนเสียความเป็นอาหารชนิดนั้นไปค่ะ”

                เป็นเรื่องแปลกใหม่ที่เพิ่งเคยได้ยิน ศักดาพยักหน้ารับรู้เป็นระยะเพื่อบอกว่าตนเองกำลังตั้งใจฟัง ขณะที่สายตาจับจ้องอยู่กับการจราจรบนท้องถนน

                “ทางร้านจะมีเวลาให้ลิ้มรสชาติของอาหารแต่ละชนิดอย่างเต็มที่ไม่เร่งรีบเสิร์ฟจานต่อไป แต่ก็ไม่ชักช้าจนต้องนั่งรอให้เสียอารมณ์ คนมานั่งทานก็จะได้ดื่มด่ำไปกับมื้ออาหาร มีความสุขเต็มที่จากรสชาติ บรรยากาศ และช่วงเวลาพิเศษกับผู้ร่วมโต๊ะอย่างคุ้มค่าที่สุดยังไงล่ะคะ”

                เธอเล่าเสียงนุ่ม ไม่รู้ตัวว่าประโยคสุดท้ายทำให้อีกคนที่นั่งอยู่ด้วยกันแอบยิ้มในใจ ชายหนุ่มเผลอคิดไปไกลจากคำพูดของเธอ

                ร้านอาหารแห่งนั้นตั้งอยู่ริมแม่น้ำ เป็นอาคารสองชั้น โครงสร้างหลักเป็นไม้ทั้งหลัง ผนังทุกด้านกรุกระจกใสเพื่อให้ผู้ที่มารับประทานอาหารได้ชื่นชมบรรยากาศภายนอก จากตัวอาคารสามารถเดินไปยังริมแม่น้ำได้ด้วยทางเดินหินที่ปูบนพื้นกรวดอีกที ตลอดสองข้างทางเดินถูกจัดเป็นสวนสวยที่ดูเรียบหรูเหมาะกับตัวสิ่งปลูกสร้าง

                ศักดาจองโต๊ะบนชั้นสองบริเวณริมหน้าต่างฝั่งที่ติดกับแม่น้ำ ในเวลานี้สวนสวยและริมฝั่งน้ำถูกแตะแต้มไปด้วยสีส้มนวลจากหลอดไฟที่ประดับไว้ทั่วบริเวณ อาหารเริ่มถูกนำมาเสิร์ฟหลังจากทั้งสองนั่งประจำที่แล้ว

                ชายหนุ่มเลือกอาหารแบบห้าคอร์สที่เขาหาข้อมูลมาจากทางโซเชียล เพราะคิดว่าวิภาดาคงเป็นผู้หญิงประเภทที่รักสุขภาพและดูแลเรื่องอาหารการกิน ซึ่งจำนวนคอร์สเพียงเท่านี้น่าจะเหมาะสมทั้งในด้านปริมาณอาหารและเวลาที่ใช้สำหรับมื้อเย็นนี้

                อาหารจานแรกเป็นอาหารพอดีคำ มีลักษณะเหมือนของว่างหรือคอกเทล หญิงสาวยิ้มเมื่อเห็นศักดาส่งมันเข้าปากแล้วทำสีหน้าชอบกล

                “เรียกว่า อามูส บุช ค่ะ เป็นอาหารแถมที่พ่อครัวจะเตรียมไว้เป็นพิเศษโดยเฉพาะสำหรับมื้ออาหารในวันนั้นๆ พี่ศักดิ์คงแปลกใจสินะคะว่าทานไม่เห็นจะอร่อยเลย อาหารไม่มีอะไรโดดเด่น” อธิบายอย่างคาดเดาความคิดของผู้ร่วมมื้ออาหาร

                “หน้าพี่มันแสดงออกชัดเจนขนาดนั้นเลยเหรอ” เป็นอย่างที่เธอว่าจริงๆ ไม่เข้าใจเลยว่าเจ้าอาหารที่กินเข้าไปเมื่อครู่มันอร่อยตรงไหน

                “อามูส บุช พ่อครัวเค้าตั้งใจปรุงให้เรียบง่าย รสชาติไม่โดดเด่น เพื่อให้เราอยากทานอาหารจานต่อๆ ไปค่ะ”
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่