ไทยพบผู้ติดเชื้อโควิดรายใหม่ 2 ราย เป็นชายไทยกลับจากสหรัฐฯ-สวีเดน รักษาหายเพิ่ม 3 ราย
วันนี้ (13 ต.ค.) ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) เปิดเผยสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในประเทศวันนี้ ว่า พบผู้ป่วยยืนยันติดเชื้อรายใหม่ 2 ราย เป็นผู้ที่เดินทางมาจากต่างประเทศและเข้าพักใน State Quarantine ทั้งหมด โดยมาจากสหรัฐอเมริกา 1 ราย เป็นชายไทยอายุ 22 ปี และ สวีเดน 1 ราย เป็นชายไทย อายุ 52 ปี ซึ่งวันนี้มีผู้ป่วยรักษาหายเพิ่ม 3 ราย
สำหรับผู้ป่วยยืนยันสะสมล่าสุดอยู่ที่ 3,643 ราย เป็นผู้ป่วยในประเทศ 2,445 ราย และตรวจพบในสถานที่กักกันที่รัฐจัดให้ จำนวน 705 ราย จำนวนผู้ป่วยรักษาหายแล้วรวม 3,457 ราย ส่วนผู้ป่วยที่กำลังรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล 127 ราย ขณะที่ไม่มีผู้เสียชีวิตเพิ่ม โดยยอดผู้เสียชีวิตสะสมอยู่ที่ 59 ราย
https://mgronline.com/qol/detail/9630000104377
ไทยจะเป็นชาติแรกอาเซียนผลิต'วัคซีนโควิด19'สำเร็จ

กรุงเทพมหานคร (12 ตุลาคม 2563) กระทรวงสาธารณสุข สยามไบโอไซเอนซ์ เอสซีจี และแอสตร้าเซนเนก้า บริษัทผู้ผลิตชีวภัณฑ์ชั้นนำสัญชาติอังกฤษ-สวีเดน ร่วมลงนามในหนังสือแสดงเจตจำนง (Letter of Intent) ในการผลิตและจัดสรรวัคซีนวิจัยป้องกันโควิด-19 AZD1222 ที่พัฒนาโดยมหาวิทยาลัยอ็อกซฟอร์ด
ในหนังสือแสดงเจตจำนงระบุว่า ทุกฝ่ายตกลงจะทำงานร่วมกัน เพื่อเสริมศักยภาพด้านกำลังการผลิตของ บริษัทสยามไบโอไซเอนซ์ ให้พร้อมรองรับการผลิตวัคซีนจำนวนมาก เพื่อให้ประเทศไทยและประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้สามารถเข้าถึงวัคซีนได้อย่างเท่าเทียมและทันเวลา ทั้งนี้ แอสตร้าเซนเนก้า จะจัดสรรวัคซีนวิจัยดังกล่าวโดยไม่มุ่งหวังผลกำไรในช่วงแพร่ระบาดของโควิด-19 พร้อมกันนี้จะถ่ายทอดเทคโนโลยีและร่วมมือกับสยามไบโอไซเอนซ์ ในการติดตั้งกระบวนการผลิต
ความร่วมมือดังกล่าวเกิดจากการผลักดันโดยกระทรวงสาธารณสุข ที่สร้างความเชื่อมั่นต่อการผลิตในประเทศไทย ทั้งนี้ กระทรวงฯ จะได้รับวัคซีนวิจัย AZD1222 หลังจากผ่านการตรวจสอบและรับรองมาตรฐานความปลอดภัยสูงสุด โดยมีเป้าหมายเริ่มจัดสรรวัคซีนสำหรับประชาชนชาวไทยได้ภายในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2564
หนังสือแสดงเจตจำนงดังกล่าวลงนามโดย นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พล.อ.อ. สถิตย์พงษ์ สุขวิมล ประธานกรรมการ บริษัท สยามไบโอไซเอนซ์ จำกัด นายรุ่งโรจน์ รังสิโยภาส กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี ที่กรุงเทพฯ และมร. เจมส์ ทีก ประธานประจำประเทศไทย แอสตร้าเซนเนก้า ผ่านการประชุมออนไลน์จากกรุงลอนดอน สหราชอาณาจักร โดยมี นายพิษณุ สุวรรณะชฎ เอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงลอนดอน มร. ไบรอัน เดวิดสัน เอกอัครราชทูตอังกฤษประจำประเทศไทย มร. นิโคลัส วีคส์ อุปทูตรักษาการแทนเอกอัครราชทูตสวีเดนประจำประเทศไทย และ มิส โจ เฟง รองประธานอาวุโสประจำภูมิภาคเอเชีย แอสตร้าเซนเนก้า ร่วมเป็นสักขีพยาน
นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า รู้สึกดีใจเป็นอย่างยิ่งที่แอสตร้าเซนเนก้า ได้เลือกประเทศไทยเป็นหนึ่งในฐานการผลิตของโลกผ่าน บริษัท สยามไบโอไซเอนซ์ การลงนามในหนังสือแสดงเจตจำนงแสดงถึงความคืบหน้าไปอีกขั้นในการจัดหาวัคซีนวิจัยมาใช้ในประเทศ ซึ่งจะเพิ่มความเชื่อมั่นให้กับประชาชน และการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย นอกจากนี้ รัฐบาลยังสนับสนุนการกระจายวัคซีนวิจัยไปยังประเทศเพื่อนบ้านเพื่อให้ทั้งภูมิภาคกลับมาเป็นปกติได้โดยเร็ว
พล.อ.อ. สถิตย์พงษ์ สุขวิมล ประธานกรรมการ บริษัท สยามไบโอไซเอนซ์ จำกัด เปิดเผยว่า ศูนย์การผลิตของบริษัทฯ มีเครื่องจักรที่เป็นเทคโนโลยีชั้นสูงสำหรับผลิตยารักษาโรคมะเร็งและโรคภูมิคุ้มกันทำลายตนเอง เครื่องจักรดังกล่าวสามารถประยุกต์ใช้ผลิตวัคซีนวิจัย AZD1222 เพื่อป้องกันโควิด-19 จากมหาวิทยาลัยอ๊อกซฟอร์ด และแอสตร้าเซนเนก้า โดยหลังจากการถ่ายทอดเทคโนโลยีจากแอสตร้าเซนเนก้ารวมทั้งขั้นตอนของ อย. คาดว่าวัคซีนชุดแรกจะพร้อมใช้ในกลางปีหน้า
ซึ่งจะทำให้ประเทศไทยสามารถผลิตวัคซีนดังกล่าวได้สำเร็จเป็นประเทศแรกในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ บริษัทฯ จะใช้ความพยายามอย่างเต็มที่เพื่อให้คนไทยและประชาชนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้ใช้วัคซีนเร็วที่สุด
นายรุ่งโรจน์ รังสิโยภาส กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี เปิดเผยว่า มีความยินดีที่ได้เป็นผู้ประสานความร่วมมือระหว่างประเทศไทยกับมหาวิทยาลัยอ็อกซฟอร์ด ซึ่งเป็นพันธมิตรร่วมงานด้านงานวิจัยและพัฒนานวัตกรรมกับเอสซีจีมายาวนาน เราเชื่อมั่นว่าความร่วมมือครั้งนี้จะช่วยให้ประเทศไทยได้ใช้วัคซีนป้องกันโควิด-19 เร็วขึ้น รวมทั้งประเทศเพื่อนบ้านด้วย ซึ่งจะช่วยในการส่งเสริมให้เศรษฐกิจและสังคมไทยและอาเซียนฟื้นกลับมาเป็นปกติอีกครั้ง ซึ่งต้องขอขอบคุณทีมวัคซีนของแอสตร้าเซนเนก้าที่ได้ประสานงานความร่วมมือนี้ด้วยดีมาตลอด ทั้งนี้ มูลนิธิเอสซีจี ได้ร่วมสมทบทุนวิจัยพัฒนาวัคซีนในประเทศ 100 ล้านบาท
มิส โจ เฟง รองประธานอาวุโสประจำภูมิภาคเอเชีย แอสตร้าเซนเนก้า กล่าวว่า การเปิดกว้างให้คนจำนวนมากสามารถเข้าถึงวัคซีนได้อย่างเท่าเทียม และทันเวลา เป็นปัจจัยสำคัญแห่งความสำเร็จในการพัฒนาวัคซีนป้องกันโควิด-19 วันนี้จึงเป็นก้าวสำคัญสู่เป้าหมายดังกล่าว ความเป็นผู้นำและการสนับสนุนของรัฐบาลไทย ความร่วมมือของเอสซีจี และความเชี่ยวชาญด้านการผลิตระดับโลกของสยามไบโอไซเอนซ์ สร้างความเชื่อมั่นว่าจะสามารถผลิตวัคซีน AZD1222 รองรับทั้งในประเทศไทยและในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนแบบนี้เป็นทางเดียวที่จะยับยั้งการแพร่ระบาดได้ และบริษัทฯ จะเสริมสร้างความร่วมมือให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้นเพื่อประโยชน์ด้านสาธารณสุขต่อไป
https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/902208
ได้เครียดกันอีก! ผลวิจัยใหม่ยันคนไข้โควิดมีสิทธิ์ติดซ้ำหนสอง อาการรุนแรงกว่าเดิม
คนไข้โควิด-19 อาจมีอาการต่างๆ รุนแรงกว่าเดิมในครั้งที่2 ของการติดเชื้อ ทั้งนี้จากผลการวิจัยใหม่ที่เผยแพร่ในวันอังคาร (13 ต.ค.) ซึ่งเป็นการศึกษาที่ยืนยันความเป็นไปได้ของโอกาสติดเชื้อไวรัสมรณะนี้มากกว่า 1 ครั้ง
ผลการศึกษาที่เผยแพร่ในวารสารการแพทย์TheLancet Infectious Diseases ได้ติดตามทำแผนผังเคสคนไข้ที่ได้รับการยืนยันเป็นรายแรกว่าติดเชื้อโควิด-19 ซ้ำอีกรอบในสหรัฐฯ ซึ่งเป็นประเทศที่ได้รับผลกระทบจากโรคระบาดใหญ่หนักหน่วงที่สุดในโลก และบ่งชี้ว่าแม้หากเคยติดเชื้อไวรัสแล้วก็ไม่ได้เป็นการรับประกันใดๆ ว่าจะมีภูมิคุ้มกันในอนาคต
คนไข้ผู้นี้ ซึ่งเป็นชายชาวรัฐเนวาดา วัย25 ปี ได้ติดเชื้อSARS-CoV-2 (ชื่อย่ออย่างเป็นทางการของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ที่เป็นต้นตอของโรคโควิด-19) ที่แตกต่างกัน2 ชนิด ภายในกรอบเวลา48 วัน และการติดเชื้อหนที่2 นั้นมีอาการรุนแรงมากกว่าครั้งแรก จนส่งผลให้ผู้ป่วยรายนี้ต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลและต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ
งานวิจัยชิ้นนี้ชี้ว่า ทั่วโลกยังมีเคสยืนยันว่าติดเชื้อไวรัสโรคโควิด-19 ซ้ำ อีก 4 ราย โดยพบที่ เบลเยียม, เนเธอร์แลนด์, ฮ่องกง และเอกวาดอร์ แห่งละ 1 ราย
พวกผู้เชี่ยวชาญบอกว่า ลู่ทางโอกาสที่จะเกิดการติดเชื้อรอบใหม่ได้เช่นนี้ อาจส่งผลกระทบอย่างลึกซึ้งต่อแนวทางของโลกในการต่อสู้กับโรคระบาดใหญ่นี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งมันอาจมีอิทธิพลต่อความพยายามไล่ล่าพัฒนาวัคซีน ซึ่งเวลานี้กลายเป็นเสมือน “ของวิเศษ” ในการวิจัยทางเภสัชกรรม
“ความเป็นไปได้ของการติดเชื้อใหม่ อาจส่งผลกระทบอย่างมากต่อความเข้าใจของเราในเรื่องระบบภูมิคุ้มกันโควิด-19 เฉพาะอย่างยิ่งในยามนี้ ที่ยังไม่มีวัคซีนที่มีประสิทธิผล” มาร์ก ปันโดรี แห่งห้องปฏิบัติการสาธารณสุขรัฐเนวาดา และเป็นหัวหน้าผู้เขียนรายงานการวิจัยนี้ กล่าว
“เราจำเป็นต้องวิจัยเพิ่มเติม เพื่อให้รู้ว่าภูมิคุ้มกันของคนที่เคยติดเชื้อ SARS-CoV-2 นั้นอยู่ได้นานแค่ไหน
และทำไมบางส่วนของคนเหล่านี้ถึงติดเชื้อรอบที่2 แม้มันจะพบเห็นกันน้อยมาก แต่มันก็กำลังแสดงให้เห็นอาการที่รุนแรงกว่า” เขากล่าว
การทำงานของวัคซีน คือ กระตุ้นภูมิคุ้มกันโดยธรมชาติของร่างกายให้ตอบโต้กับเชื้อโรคชนิดหนึ่งๆ ที่นักวิจัยต้องการ เป็นการติดอาวุธร่างกายด้วยแอนติบอดีเพื่อให้ต่อสู้สกัดการติดเชื้อที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต อย่างไรก็ตาม จนถึงตอนนี้ยังไม่เป็นที่ชัดเจนว่าแอนติบอดีโควิด-19 นั้นอยู่ได้นานแค่ไหน
สำหรับโรคบางโรคอย่างเช่นโรคหัด ผู้เคยติดเชื้อแล้วจะมีภูมิคุ้มกันตลอดชีวิต ส่วนโรคอื่นๆ บางทีภูมิคุ้มก้นก็อาจหายไปอย่างรวดเร็ว
คณะผู้เขียนรายงานผลวิจัยชิ้นนี้สันนิษฐานว่า คนไข้ในสหรัฐฯ รายดังกล่าวอาจได้รับเชื้อไวรัสในบริมาณที่สูงมากๆในการติดเชื้อรอบที่ 2 กระตุ้นให้เกิดอาการต่างๆ เฉียบพลันกว่าเดิม แต่อีกด้านหนึ่งก็มีความเป็นไปได้ว่ามันอาจเป็นไวรัสสายพันธุ์ที่มีความรุนแรงกว่าเชื้อที่เขาติดครั้งแรก
อีกข้อสันนิษฐานหนึ่งก็คือ กลไกที่เรียกว่าภาวะการส่งเสริมโดยอาศัยแอนติบอดี ซึ่งก็คือแอนติบอดีกลายเป็นตัวทำให้การติดเชื้อหนหลังเลวร้ายกว่าครั้งแรก ดังเช่นที่เกิดขึ้นกับไข้เลือดออก
คณะนักวิจัยเหล่านี้ชี้ว่าการติดเชื้อรอบใหม่ยังเป็นอะไรที่หายากมากๆ โดยเวลานี้จากเคสผู้ติดเชื้อมากมายหลายสิบล้านคนทั่วโลก มีเพียงแค่หยิบมือเดียวเท่านั้นที่ได้รับการยืนยันว่าเกิดติดเชื้อซ้ำ
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากมีเคสจำนวนมากอยู่ในลักษณะการติดเชื้อแบบไม่แสดงอาการ เพราะฉะนั้นจึงไม่มีการตรวจเชื้อในระยะแรกๆ เลยเป็นไปไม่ได้ที่จะทราบว่าคนไข้ที่พบว่าป่วยนั้นเป็นเคสการติดเชื้อโควิด-19
รอบแรกหรือรอบสอง
https://mgronline.com/around/detail/9630000104341
อีกแล้ว เดนมาร์กเจอตัวมิงก์ติดโควิด-19 ทั้งฟาร์ม สั่งฆ่ากว่า 2.5 ล้านตัว
ไทยรัฐออนไลน์
เมื่อวันที่ 12 ต.ค. สัตวแพทย์และเจ้าของฟาร์มปศุสัตว์ ในเมืองทางตอนเหนือของเดนมาร์ก เริ่มทำการฆ่าตัวมิงก์ อย่างน้อย 2.5 ล้านตัว หลังจากพบการระบาดของโรคโควิด-19 ในฟาร์มเลี้ยงตัวมิงก์จำนวนอย่างน้อย 63 แห่ง
โดยสำนักงานสัตวแพทย์และอาหารของเดนมาร์ก เปิดเผยว่า จะเข้าไปกำจัดและเก็บซากตัวมิงก์ในฟาร์มที่พบว่ามีการติดเชื้อ แล้วมอบเงินชดเชยจากรัฐบาลให้จำนวนหนึ่ง แต่ในส่วนของฟาร์มที่อยู่ห่างออกไปในรัศมี 8 กิโลเมตรที่ไม่พบว่ามีการติดเชื้อ ทางเจ้าของฟาร์มต้องจัดการกำจัดตัวมิงก์ด้วยตัวเอง และรับเงินชดเชย 100%
ข่าวนี้มีขึ้นหลังจากเมื่อ 2 วันที่ผ่านมาเพิ่งมีรายงานข่าวตัวมิงก์ในฟาร์มที่รัฐยูทาห์ ของสหรัฐฯ กว่า 10,000 ตัว ตายจากโรคโควิด-19 คิดเป็น 50% ของที่เพาะไว้ ส่งผลให้ต้องปิดพื้นที่ฟาร์มอีก 9 แห่งที่อยู่ใกล้เคียง
สัตวแพทย์ระบุว่า ตัวมิงก์ที่มีอายุมากแล้วติดโควิด-19 จะมีอัตราการตายสูงกว่าตัวมิงก์ที่อายุน้อย ด้านนักวิทยาศาสตร์กำลังหาคำตอบว่าตัวมิงก์ติดโควิด-19 ได้อย่างไร รายงานข่าวระบุว่า มีการติดเชื้อจากคนงานในฟาร์ม ขณะที่ปริศนาคือ มันสามารถแพร่กระจายเชื้อสู่คนได้หรือไม่
เดนมาร์ก เป็นหนึ่งในประเทศที่มีการทำฟาร์มเลี้ยงและส่งออกตัวมิงก์รายใหญ่ที่สุดของโลก ประมาณ 17 ล้านตัวต่อปี ตลาดส่งออกส่วนใหญ่คือ จีน และฮ่องกง โดยเดนมาร์กมี "โคเปนเฮเกน เฟอร์" กลุ่มความร่วมมือผู้เพาะพันธุ์ตัวมิงก์ ที่มีสมาชิก 1,500 ราย คิดเป็น 40% ของการเพาะเลี้ยงตัวมิงก์ทั่วโลก
https://www.thairath.co.th/news/foreign/1951199
การ์ดอย่าตก ด้วยความเป็นห่วงค่ะ....
🔴มาลาริน/13ต.ค.ไทยพบโควิด2รายจากตปท./ไทยชาติแรกอาเซียนผลิตวัคซีนสำเร็จ/วิจัยป่วยใหม่รุนแรงกว่าเดิม/ตปท.ฆ่ามิงก์ติดเชื้อ
วันนี้ (13 ต.ค.) ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) เปิดเผยสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในประเทศวันนี้ ว่า พบผู้ป่วยยืนยันติดเชื้อรายใหม่ 2 ราย เป็นผู้ที่เดินทางมาจากต่างประเทศและเข้าพักใน State Quarantine ทั้งหมด โดยมาจากสหรัฐอเมริกา 1 ราย เป็นชายไทยอายุ 22 ปี และ สวีเดน 1 ราย เป็นชายไทย อายุ 52 ปี ซึ่งวันนี้มีผู้ป่วยรักษาหายเพิ่ม 3 ราย
สำหรับผู้ป่วยยืนยันสะสมล่าสุดอยู่ที่ 3,643 ราย เป็นผู้ป่วยในประเทศ 2,445 ราย และตรวจพบในสถานที่กักกันที่รัฐจัดให้ จำนวน 705 ราย จำนวนผู้ป่วยรักษาหายแล้วรวม 3,457 ราย ส่วนผู้ป่วยที่กำลังรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล 127 ราย ขณะที่ไม่มีผู้เสียชีวิตเพิ่ม โดยยอดผู้เสียชีวิตสะสมอยู่ที่ 59 ราย
https://mgronline.com/qol/detail/9630000104377
ไทยจะเป็นชาติแรกอาเซียนผลิต'วัคซีนโควิด19'สำเร็จ
กรุงเทพมหานคร (12 ตุลาคม 2563) กระทรวงสาธารณสุข สยามไบโอไซเอนซ์ เอสซีจี และแอสตร้าเซนเนก้า บริษัทผู้ผลิตชีวภัณฑ์ชั้นนำสัญชาติอังกฤษ-สวีเดน ร่วมลงนามในหนังสือแสดงเจตจำนง (Letter of Intent) ในการผลิตและจัดสรรวัคซีนวิจัยป้องกันโควิด-19 AZD1222 ที่พัฒนาโดยมหาวิทยาลัยอ็อกซฟอร์ด
ในหนังสือแสดงเจตจำนงระบุว่า ทุกฝ่ายตกลงจะทำงานร่วมกัน เพื่อเสริมศักยภาพด้านกำลังการผลิตของ บริษัทสยามไบโอไซเอนซ์ ให้พร้อมรองรับการผลิตวัคซีนจำนวนมาก เพื่อให้ประเทศไทยและประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้สามารถเข้าถึงวัคซีนได้อย่างเท่าเทียมและทันเวลา ทั้งนี้ แอสตร้าเซนเนก้า จะจัดสรรวัคซีนวิจัยดังกล่าวโดยไม่มุ่งหวังผลกำไรในช่วงแพร่ระบาดของโควิด-19 พร้อมกันนี้จะถ่ายทอดเทคโนโลยีและร่วมมือกับสยามไบโอไซเอนซ์ ในการติดตั้งกระบวนการผลิต
ความร่วมมือดังกล่าวเกิดจากการผลักดันโดยกระทรวงสาธารณสุข ที่สร้างความเชื่อมั่นต่อการผลิตในประเทศไทย ทั้งนี้ กระทรวงฯ จะได้รับวัคซีนวิจัย AZD1222 หลังจากผ่านการตรวจสอบและรับรองมาตรฐานความปลอดภัยสูงสุด โดยมีเป้าหมายเริ่มจัดสรรวัคซีนสำหรับประชาชนชาวไทยได้ภายในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2564
หนังสือแสดงเจตจำนงดังกล่าวลงนามโดย นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พล.อ.อ. สถิตย์พงษ์ สุขวิมล ประธานกรรมการ บริษัท สยามไบโอไซเอนซ์ จำกัด นายรุ่งโรจน์ รังสิโยภาส กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี ที่กรุงเทพฯ และมร. เจมส์ ทีก ประธานประจำประเทศไทย แอสตร้าเซนเนก้า ผ่านการประชุมออนไลน์จากกรุงลอนดอน สหราชอาณาจักร โดยมี นายพิษณุ สุวรรณะชฎ เอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงลอนดอน มร. ไบรอัน เดวิดสัน เอกอัครราชทูตอังกฤษประจำประเทศไทย มร. นิโคลัส วีคส์ อุปทูตรักษาการแทนเอกอัครราชทูตสวีเดนประจำประเทศไทย และ มิส โจ เฟง รองประธานอาวุโสประจำภูมิภาคเอเชีย แอสตร้าเซนเนก้า ร่วมเป็นสักขีพยาน
นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า รู้สึกดีใจเป็นอย่างยิ่งที่แอสตร้าเซนเนก้า ได้เลือกประเทศไทยเป็นหนึ่งในฐานการผลิตของโลกผ่าน บริษัท สยามไบโอไซเอนซ์ การลงนามในหนังสือแสดงเจตจำนงแสดงถึงความคืบหน้าไปอีกขั้นในการจัดหาวัคซีนวิจัยมาใช้ในประเทศ ซึ่งจะเพิ่มความเชื่อมั่นให้กับประชาชน และการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย นอกจากนี้ รัฐบาลยังสนับสนุนการกระจายวัคซีนวิจัยไปยังประเทศเพื่อนบ้านเพื่อให้ทั้งภูมิภาคกลับมาเป็นปกติได้โดยเร็ว
พล.อ.อ. สถิตย์พงษ์ สุขวิมล ประธานกรรมการ บริษัท สยามไบโอไซเอนซ์ จำกัด เปิดเผยว่า ศูนย์การผลิตของบริษัทฯ มีเครื่องจักรที่เป็นเทคโนโลยีชั้นสูงสำหรับผลิตยารักษาโรคมะเร็งและโรคภูมิคุ้มกันทำลายตนเอง เครื่องจักรดังกล่าวสามารถประยุกต์ใช้ผลิตวัคซีนวิจัย AZD1222 เพื่อป้องกันโควิด-19 จากมหาวิทยาลัยอ๊อกซฟอร์ด และแอสตร้าเซนเนก้า โดยหลังจากการถ่ายทอดเทคโนโลยีจากแอสตร้าเซนเนก้ารวมทั้งขั้นตอนของ อย. คาดว่าวัคซีนชุดแรกจะพร้อมใช้ในกลางปีหน้า ซึ่งจะทำให้ประเทศไทยสามารถผลิตวัคซีนดังกล่าวได้สำเร็จเป็นประเทศแรกในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ บริษัทฯ จะใช้ความพยายามอย่างเต็มที่เพื่อให้คนไทยและประชาชนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้ใช้วัคซีนเร็วที่สุด
นายรุ่งโรจน์ รังสิโยภาส กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี เปิดเผยว่า มีความยินดีที่ได้เป็นผู้ประสานความร่วมมือระหว่างประเทศไทยกับมหาวิทยาลัยอ็อกซฟอร์ด ซึ่งเป็นพันธมิตรร่วมงานด้านงานวิจัยและพัฒนานวัตกรรมกับเอสซีจีมายาวนาน เราเชื่อมั่นว่าความร่วมมือครั้งนี้จะช่วยให้ประเทศไทยได้ใช้วัคซีนป้องกันโควิด-19 เร็วขึ้น รวมทั้งประเทศเพื่อนบ้านด้วย ซึ่งจะช่วยในการส่งเสริมให้เศรษฐกิจและสังคมไทยและอาเซียนฟื้นกลับมาเป็นปกติอีกครั้ง ซึ่งต้องขอขอบคุณทีมวัคซีนของแอสตร้าเซนเนก้าที่ได้ประสานงานความร่วมมือนี้ด้วยดีมาตลอด ทั้งนี้ มูลนิธิเอสซีจี ได้ร่วมสมทบทุนวิจัยพัฒนาวัคซีนในประเทศ 100 ล้านบาท
มิส โจ เฟง รองประธานอาวุโสประจำภูมิภาคเอเชีย แอสตร้าเซนเนก้า กล่าวว่า การเปิดกว้างให้คนจำนวนมากสามารถเข้าถึงวัคซีนได้อย่างเท่าเทียม และทันเวลา เป็นปัจจัยสำคัญแห่งความสำเร็จในการพัฒนาวัคซีนป้องกันโควิด-19 วันนี้จึงเป็นก้าวสำคัญสู่เป้าหมายดังกล่าว ความเป็นผู้นำและการสนับสนุนของรัฐบาลไทย ความร่วมมือของเอสซีจี และความเชี่ยวชาญด้านการผลิตระดับโลกของสยามไบโอไซเอนซ์ สร้างความเชื่อมั่นว่าจะสามารถผลิตวัคซีน AZD1222 รองรับทั้งในประเทศไทยและในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนแบบนี้เป็นทางเดียวที่จะยับยั้งการแพร่ระบาดได้ และบริษัทฯ จะเสริมสร้างความร่วมมือให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้นเพื่อประโยชน์ด้านสาธารณสุขต่อไป
https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/902208
ได้เครียดกันอีก! ผลวิจัยใหม่ยันคนไข้โควิดมีสิทธิ์ติดซ้ำหนสอง อาการรุนแรงกว่าเดิม
คนไข้โควิด-19 อาจมีอาการต่างๆ รุนแรงกว่าเดิมในครั้งที่2 ของการติดเชื้อ ทั้งนี้จากผลการวิจัยใหม่ที่เผยแพร่ในวันอังคาร (13 ต.ค.) ซึ่งเป็นการศึกษาที่ยืนยันความเป็นไปได้ของโอกาสติดเชื้อไวรัสมรณะนี้มากกว่า 1 ครั้ง
ผลการศึกษาที่เผยแพร่ในวารสารการแพทย์TheLancet Infectious Diseases ได้ติดตามทำแผนผังเคสคนไข้ที่ได้รับการยืนยันเป็นรายแรกว่าติดเชื้อโควิด-19 ซ้ำอีกรอบในสหรัฐฯ ซึ่งเป็นประเทศที่ได้รับผลกระทบจากโรคระบาดใหญ่หนักหน่วงที่สุดในโลก และบ่งชี้ว่าแม้หากเคยติดเชื้อไวรัสแล้วก็ไม่ได้เป็นการรับประกันใดๆ ว่าจะมีภูมิคุ้มกันในอนาคต
คนไข้ผู้นี้ ซึ่งเป็นชายชาวรัฐเนวาดา วัย25 ปี ได้ติดเชื้อSARS-CoV-2 (ชื่อย่ออย่างเป็นทางการของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ที่เป็นต้นตอของโรคโควิด-19) ที่แตกต่างกัน2 ชนิด ภายในกรอบเวลา48 วัน และการติดเชื้อหนที่2 นั้นมีอาการรุนแรงมากกว่าครั้งแรก จนส่งผลให้ผู้ป่วยรายนี้ต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลและต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ
งานวิจัยชิ้นนี้ชี้ว่า ทั่วโลกยังมีเคสยืนยันว่าติดเชื้อไวรัสโรคโควิด-19 ซ้ำ อีก 4 ราย โดยพบที่ เบลเยียม, เนเธอร์แลนด์, ฮ่องกง และเอกวาดอร์ แห่งละ 1 ราย
พวกผู้เชี่ยวชาญบอกว่า ลู่ทางโอกาสที่จะเกิดการติดเชื้อรอบใหม่ได้เช่นนี้ อาจส่งผลกระทบอย่างลึกซึ้งต่อแนวทางของโลกในการต่อสู้กับโรคระบาดใหญ่นี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งมันอาจมีอิทธิพลต่อความพยายามไล่ล่าพัฒนาวัคซีน ซึ่งเวลานี้กลายเป็นเสมือน “ของวิเศษ” ในการวิจัยทางเภสัชกรรม
“ความเป็นไปได้ของการติดเชื้อใหม่ อาจส่งผลกระทบอย่างมากต่อความเข้าใจของเราในเรื่องระบบภูมิคุ้มกันโควิด-19 เฉพาะอย่างยิ่งในยามนี้ ที่ยังไม่มีวัคซีนที่มีประสิทธิผล” มาร์ก ปันโดรี แห่งห้องปฏิบัติการสาธารณสุขรัฐเนวาดา และเป็นหัวหน้าผู้เขียนรายงานการวิจัยนี้ กล่าว
“เราจำเป็นต้องวิจัยเพิ่มเติม เพื่อให้รู้ว่าภูมิคุ้มกันของคนที่เคยติดเชื้อ SARS-CoV-2 นั้นอยู่ได้นานแค่ไหน
และทำไมบางส่วนของคนเหล่านี้ถึงติดเชื้อรอบที่2 แม้มันจะพบเห็นกันน้อยมาก แต่มันก็กำลังแสดงให้เห็นอาการที่รุนแรงกว่า” เขากล่าว
การทำงานของวัคซีน คือ กระตุ้นภูมิคุ้มกันโดยธรมชาติของร่างกายให้ตอบโต้กับเชื้อโรคชนิดหนึ่งๆ ที่นักวิจัยต้องการ เป็นการติดอาวุธร่างกายด้วยแอนติบอดีเพื่อให้ต่อสู้สกัดการติดเชื้อที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต อย่างไรก็ตาม จนถึงตอนนี้ยังไม่เป็นที่ชัดเจนว่าแอนติบอดีโควิด-19 นั้นอยู่ได้นานแค่ไหน
สำหรับโรคบางโรคอย่างเช่นโรคหัด ผู้เคยติดเชื้อแล้วจะมีภูมิคุ้มกันตลอดชีวิต ส่วนโรคอื่นๆ บางทีภูมิคุ้มก้นก็อาจหายไปอย่างรวดเร็ว
คณะผู้เขียนรายงานผลวิจัยชิ้นนี้สันนิษฐานว่า คนไข้ในสหรัฐฯ รายดังกล่าวอาจได้รับเชื้อไวรัสในบริมาณที่สูงมากๆในการติดเชื้อรอบที่ 2 กระตุ้นให้เกิดอาการต่างๆ เฉียบพลันกว่าเดิม แต่อีกด้านหนึ่งก็มีความเป็นไปได้ว่ามันอาจเป็นไวรัสสายพันธุ์ที่มีความรุนแรงกว่าเชื้อที่เขาติดครั้งแรก
อีกข้อสันนิษฐานหนึ่งก็คือ กลไกที่เรียกว่าภาวะการส่งเสริมโดยอาศัยแอนติบอดี ซึ่งก็คือแอนติบอดีกลายเป็นตัวทำให้การติดเชื้อหนหลังเลวร้ายกว่าครั้งแรก ดังเช่นที่เกิดขึ้นกับไข้เลือดออก
คณะนักวิจัยเหล่านี้ชี้ว่าการติดเชื้อรอบใหม่ยังเป็นอะไรที่หายากมากๆ โดยเวลานี้จากเคสผู้ติดเชื้อมากมายหลายสิบล้านคนทั่วโลก มีเพียงแค่หยิบมือเดียวเท่านั้นที่ได้รับการยืนยันว่าเกิดติดเชื้อซ้ำ
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากมีเคสจำนวนมากอยู่ในลักษณะการติดเชื้อแบบไม่แสดงอาการ เพราะฉะนั้นจึงไม่มีการตรวจเชื้อในระยะแรกๆ เลยเป็นไปไม่ได้ที่จะทราบว่าคนไข้ที่พบว่าป่วยนั้นเป็นเคสการติดเชื้อโควิด-19
รอบแรกหรือรอบสอง
https://mgronline.com/around/detail/9630000104341
อีกแล้ว เดนมาร์กเจอตัวมิงก์ติดโควิด-19 ทั้งฟาร์ม สั่งฆ่ากว่า 2.5 ล้านตัว
ไทยรัฐออนไลน์
เมื่อวันที่ 12 ต.ค. สัตวแพทย์และเจ้าของฟาร์มปศุสัตว์ ในเมืองทางตอนเหนือของเดนมาร์ก เริ่มทำการฆ่าตัวมิงก์ อย่างน้อย 2.5 ล้านตัว หลังจากพบการระบาดของโรคโควิด-19 ในฟาร์มเลี้ยงตัวมิงก์จำนวนอย่างน้อย 63 แห่ง
โดยสำนักงานสัตวแพทย์และอาหารของเดนมาร์ก เปิดเผยว่า จะเข้าไปกำจัดและเก็บซากตัวมิงก์ในฟาร์มที่พบว่ามีการติดเชื้อ แล้วมอบเงินชดเชยจากรัฐบาลให้จำนวนหนึ่ง แต่ในส่วนของฟาร์มที่อยู่ห่างออกไปในรัศมี 8 กิโลเมตรที่ไม่พบว่ามีการติดเชื้อ ทางเจ้าของฟาร์มต้องจัดการกำจัดตัวมิงก์ด้วยตัวเอง และรับเงินชดเชย 100%
ข่าวนี้มีขึ้นหลังจากเมื่อ 2 วันที่ผ่านมาเพิ่งมีรายงานข่าวตัวมิงก์ในฟาร์มที่รัฐยูทาห์ ของสหรัฐฯ กว่า 10,000 ตัว ตายจากโรคโควิด-19 คิดเป็น 50% ของที่เพาะไว้ ส่งผลให้ต้องปิดพื้นที่ฟาร์มอีก 9 แห่งที่อยู่ใกล้เคียง
สัตวแพทย์ระบุว่า ตัวมิงก์ที่มีอายุมากแล้วติดโควิด-19 จะมีอัตราการตายสูงกว่าตัวมิงก์ที่อายุน้อย ด้านนักวิทยาศาสตร์กำลังหาคำตอบว่าตัวมิงก์ติดโควิด-19 ได้อย่างไร รายงานข่าวระบุว่า มีการติดเชื้อจากคนงานในฟาร์ม ขณะที่ปริศนาคือ มันสามารถแพร่กระจายเชื้อสู่คนได้หรือไม่
เดนมาร์ก เป็นหนึ่งในประเทศที่มีการทำฟาร์มเลี้ยงและส่งออกตัวมิงก์รายใหญ่ที่สุดของโลก ประมาณ 17 ล้านตัวต่อปี ตลาดส่งออกส่วนใหญ่คือ จีน และฮ่องกง โดยเดนมาร์กมี "โคเปนเฮเกน เฟอร์" กลุ่มความร่วมมือผู้เพาะพันธุ์ตัวมิงก์ ที่มีสมาชิก 1,500 ราย คิดเป็น 40% ของการเพาะเลี้ยงตัวมิงก์ทั่วโลก
https://www.thairath.co.th/news/foreign/1951199
การ์ดอย่าตก ด้วยความเป็นห่วงค่ะ....