G.K.Line
7.
แม้แต่ในเมืองหลวงที่ได้ชื่อว่าเป็นเมืองที่ไม่เคยหลับก็ยังมีเวลาที่ร้างผู้คนสัญจร โดยเฉพาะถ้ามันเป็นเวลาเลยเที่ยงคืนไปแล้วแบบนี้ หญิงสาวคนหนึ่งกำลังเดินอยู่บนถนนเส้นเล็กๆ ที่เป็นทางเข้าหมู่บ้านซึ่งปลูกลึกเข้าไปจากถนนใหญ่ด้วยระยะทางไกลพอสมควร
เธอนึกกลัวอยู่ทุกขณะก้าวย่าง นึกหวาดระแวงเสมอไม่ว่าจะครั้งไหนๆ ที่ต้องเดินเท้าเข้าหมู่บ้านของตนเองในเวลาเช่นนี้ แต่จะให้ทำอย่างไรได้ ในเมื่องานที่ทำบังคับให้ต้องเลิกงานหลังเที่ยงคืนแบบนี้อย่างน้อยๆ ก็เดือนละครั้ง
รถรับส่งของบริษัทก็มาส่งถึงแค่ปากทางโดยอ้างว่าระยะทางเข้าหมู่บ้านไม่ได้อยู่ในสัญญาจ้าง เธอเคยร้องเรียนเรื่องนี้แก่ฝ่ายบุคคลที่บริษัทในช่วงแรกๆ แต่ผลที่ตามมาคือ ทุกอย่างยังเหมือนเดิมยกเว้นแต่คนขับรถรับส่งซึ่งส่งสัญญาณไม่พอใจออกมาอย่างชัดเจน สุดท้ายจึงตัดสินใจไม่พูดเรื่องนี้อีกและยอมก้มหน้ารับกรรมไปแต่โดยดีเพราะไม่อยากมีปัญหาตามมาทีหลัง
บ่อยครั้งที่มีอะไรทำให้เธอตกใจในระหว่างเดินเข้าบ้าน เช่น จู่ๆ ก็มีสุนัขกระโจนออกมาจากข้างทางและไล่เห่า และหลังจากนั้นสุนัขอีกเป็นฝูงก็วิ่งกรูออกมาสมทบและทำแบบเดียวกันจนกระทั่งเธอเดินพ้นเขตของพวกมันไป
ค้างคาว ลมกรรโชก หรือกิ่งไม้ไหว ทั้งหมดดูน่าหวาดหวั่นยามเมื่อถนนร้างผู้คน ท้องฟ้าถูกความมืดมิดกลืนกิน แต่ทว่าคืนนี้กลับเป็นยิ่งกว่านั้น เพราะมันจะเป็นคืนที่เธอต้องพบกับความหวาดกลัวอย่างที่สุดในชีวิตตั้งแต่เกิดมา
แข้งขาอ่อนแรงจนต้องทรุดลงกับพื้น เงาร่างสูงผิดมนุษย์ทั่วไป ทั้งร่างปกคลุมไปด้วยขน ยืนจังก้าอยู่ห่างออกไปไม่ไกล น้ำลายไหลยืดออกมาจากปากที่ยื่นยาวคล้ายปากสุนัข
ไม่ต้องคิดให้มากความก็รู้ได้ว่า อะไรก็ตามที่กำลังขวางทางอยู่มันต้องการตัวเธอ ร่างสยองย่างสามขุมเข้ามาหา เนื้อตัวของหญิงสาวสั่นเทาจนไม่อาจควบคุมเอาไว้ได้ น้ำตาไหลพรากขณะคิดในใจว่าเธอคงไม่มีโอกาสได้กลับบ้านแน่แล้ว
ฉับพลันนั้น อะไรบางอย่างพุ่งวูบเข้าหานักล่า ชั่วพริบตาหัวของสัตว์ประหลาดร่างขนก็หลุดกระเด็นกลิ้งมาหยุดอยู่ตรงหน้าของหญิงสาว รวดเร็วจนมองไม่ทันว่ามันเกิดอะไรขึ้น และเมื่ออสุรกายไร้หัวล้มลงจึงสังเกตเห็นว่ามีเงาร่างเล็กๆ ยืนอยู่ใกล้กับร่างไร้ศีรษะ
“โอ ขอบคุณนะคะ”
หญิงสาวละล่ำละลักขอบคุณด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มทั้งน้ำตา แต่ทว่าไร้เสียงตอบรับใดๆ กลับมา จนกระทั่งเจ้าของร่างเล็กค่อยๆ หันมาหา เธอจึงเห็นดวงตาแดงก่ำราวกับสีเลือดลุกวาวอยู่ในความสลัวกำลังจ้องมองมาที่เธออย่างประสงค์ร้าย
ถ้าหญิงสาวคิดว่าตั้งแต่เกิดมาเหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านพ้นไปเป็นอะไรที่น่ากลัวที่สุดในชีวิตนี้ เธอก็รู้แล้วว่าคิดผิด ลางสังหรณ์บอกว่าต่อจากนี้ไปต่างหากคือความน่ากลัวที่แท้จริง
ร่างเล็กเดินเนิบนาบเข้าหา แสยะยิ้ม ตาเหลือกค้างคล้ายกำลังอยู่ในจินตนาการที่มีความสุขเหลือล้น เพียงแค่นั้นความคิดที่ว่าเธอรอดแล้วเมื่อเสี้ยววินาทีก่อนหน้าก็พลันมลายหายไป...
ศักดาเดินเรื่อยเปื่อยอยู่ในห้างสรรพสินค้า ช่วงสองเดือนที่ผ่านมาเกิดเรื่องขึ้นมากมายเหมือนกับเวลาผ่านไปเนิ่นนานเกินจริง มีคดีฆาตกรรมแบบเดียวกันเกิดขึ้นซ้ำๆ ซึ่งคาดว่าเกิดจากฆาตกรรายเดียวกันอย่างน้อยสามคดี ทั้งสามคดีพบเบาะแสเต็มไปหมดในที่เกิดเหตุ ทั้งรูปแบบการสังหารและความเสียหายในที่เกิดเหตุ
เหยื่อรายล่าสุดเป็นหญิงวัยทำงาน เธอถูกสังหารที่ทางเข้าหมู่บ้านจัดสรรแห่งหนึ่งกลางดึก สภาพศพถูกฉีกทึ้งเป็นชิ้นๆ ประหนึ่งฆาตกรกำลังคลุ้มคลั่งหรือสำเริงสำราญเบิกบานใจในการทำร้ายเหยื่อจนสุดจะระงับอารมณ์ตนเองไว้ได้เหมือนกับผู้เคราะห์ร้ายรายอื่นๆ
แต่สิ่งที่ทำให้คดีล่าสุดพิเศษกว่าคดีก่อนๆ ที่ผ่านมาก็คือ พบเศษชิ้นส่วนอวัยวะของสิ่งมีชีวิตปริศนาที่เหล่าตำรวจไม่รู้จัก ซึ่งแน่นอนว่าเศษซากนั้นคืออสุรกาย
ตั้งแต่ทำงานอยู่ในเงามืด ศักดาไม่เคยพบเหตุการณ์ที่อสุรกายนักล่าหมายตาเหยื่อรายเดียวกันจนถึงขั้นสังหารกันเองมาก่อน นั่นอาจเป็นเพราะอสุรกายนักล่าแต่ละสายพันธุ์มีความแข็งแกร่งและมีคุณลักษณะเด่นที่แตกต่างกันไป หากต้องเข้าห้ำหั่นกันเองแล้ว ไม่ว่าฝ่ายใดชนะก็คงต้องเจ็บหนักจนอาจจะได้ไม่คุ้มเสีย ดังนั้น จึงทำให้พวกมันหลีกเลี่ยงที่จะเผชิญหน้ากันเองก็เป็นได้
ด้วยเหตุนี้เหตุการณ์สังหารในครั้งนี้จึงถือว่าผิดปกติอย่างยิ่งเพราะมันสังหารโดยไม่เลือกเหยื่อ อะไรก็ตามที่กล้าทำแบบนี้ต้องมั่นใจอย่างมากในพลังของตนเอง หรือไม่เช่นนั้นมันก็ต้องทำลงไปโดยไม่ได้ยั้งคิดอะไรเลย
หากยังปล่อยให้เกิดการฆ่าไม่เลือกแบบนี้ต่อไป สักวันก็คงจะปิดข่าวเอาไว้ไม่มิด แต่ปัญหาก็คือ ทั้งๆ ที่เหมือนกับว่ามีเค้าเงื่อนอยู่ต่อหน้าเต็มไปหมด แต่ศักดากลับไม่อาจเชื่อมโยงเบาะแสเหล่านั้นเข้ากับอะไรที่เขารู้จักได้เลย
ในเมื่อพยายามคิดทบทวนซ้ำไปซ้ำมาแล้วก็ยังไม่สามารถหาคำตอบให้กับตัวเองได้ ชายหนุ่มจึงคิดว่าบางทีการได้พักสมองเสียบ้างอาจเป็นทางเลือกที่ดี อาจมีความคิดอะไรสอดแทรกหรือผุดขึ้นมาได้บ้างยามที่สมองถูกปล่อยให้ว่าง
“ว่าไงเจ้าศักดิ์ เย็นนี้แกจะมากินข้าวกับพ่อที่บ้านเหมือนที่ตกลงกันไว้มั้ย”
“ครับพ่อ ยังเหมือนเดิมครับ ไว้เจอกันครับ”
พอดีกับเมื่อหลายวันก่อน คุณไพบูลย์ผู้เป็นบิดาโทรศัพท์มาถามย้ำเรื่องที่ทั้งคู่มีนัดทานข้าวเย็นด้วยกัน วันนี้ชายหนุ่มจึงถือโอกาสหยุดงานมาเดินเล่นในห้างสรรพสินค้า และเลือกซื้อข้าวของติดไม้ติดมือกลับบ้านไปด้วย
ทว่าการมาเดินเล่นในครั้งนี้กลับไม่เป็นดังหวัง เพราะในสมองของนายตำรวจหนุ่มก็ยังคงหมกมุ่นวนเวียนคิดถึงแต่คดีฆาตกรรมที่เกิดขึ้นจนไม่มีแก่ใจจะสนใจสิ่งของรอบตัว
“เอ่อ ขอโทษค่ะ”
เสียงหวานนุ่มดึงสติของชายหนุ่มให้กลับมา เขาหันไปมองและพบว่าเจ้าของเสียงเป็นหญิงสาวท่าทางทะมัดทะแมงคนหนึ่ง ใบหน้าคมขำสมส่วนของเธอทำให้เขาถึงกับสะดุดตาเมื่อแรกเห็น
อาจเพราะด้วยความเป็นนักสืบ จึงทำให้ศักดาเป็นคนช่างสังเกตและคิดวิเคราะห์จนเป็นนิสัย เขาคะเนว่าเธอน่าจะอายุน้อยกว่าเขาอยู่หลายปี หรืออย่างมากที่สุดก็คงจะรุ่นราวคราวเดียวกัน จากสีหน้า แววตา และการแต่งตัว น่าจะเป็นคนที่มีความมั่นใจในตัวเอง
“คุณพอจะรู้จักที่นี่มั้ยคะ พอดีว่าแผนที่มันเขียนเหมือนกับว่าจะหาเจอได้ง่ายๆ น่ะค่ะ”
เธอเอ่ยถามพลางยื่นกระดาษแผ่นหนึ่งมาให้ดู มันเป็นแผนที่ซึ่งระบุจุดหมายปลายทางคือ ‘หมู่บ้านฟ้าใหม่’ แน่นอนว่าเขาย่อมรู้จักเป็นอย่างดี เพราะที่นี่ก็เป็นจุดหมายของเขาในช่วงเย็นนี้เช่นกัน
“อ้อ เย็นนี้ผมจะไปที่นั่นอยู่เหมือนกัน ถ้าไม่รังเกียจจะไปด้วยกันมั้ยครับ จะได้ไม่ต้องเสียเวลาบอกทาง”
ศักดาเสนอทางเลือกที่คิดว่าดีกว่า เขาสังเกตเห็นว่าผู้หญิงตรงหน้าที่เข้ามาถามทางคลี่ยิ้มบาง พร้อมส่งสายตาแปลกๆ ที่เขาไม่เข้าใจความหมายมาให้
“ไม่เป็นไรค่ะ เกรงใจแย่เลย แค่ช่วยบอกทางให้ก็พอแล้วค่ะ คุณเองจะได้ไม่ต้องรีบด้วย”
“เอ่อ ครับ”
พอโดนปฏิเสธก็เริ่มรู้สึกตัวว่าคงถามอะไรไม่เข้าท่าออกไป ไม่ว่าใครก็คงระแวงที่ถูกเชิญชวนแบบนี้ หากเธอตอบตกลงและยอมตามไปด้วยแต่โดยดีนี่สิ น่าแปลกยิ่งกว่า
ชายหนุ่มประเมินดูแล้วเห็นว่าเธอเป็นคนแปลกถิ่นซึ่งน่าจะไม่เคยมาแถวนี้ เขาจึงพยายามอธิบายโดยบอกจุดสังเกตทั้งหมดที่คิดว่าน่าจะเห็นได้เด่นชัด ต้องใช้เวลาอยู่ครู่หนึ่งจนกระทั่งมั่นใจว่าคนถามทางจะไม่หลงทางอีก
“ขอบคุณมากค่ะ”
เธอกล่าวขอบคุณก่อนเดินจากไป เป็นอีกครั้งหนึ่งที่ชายหนุ่มรู้สึกได้ถึงสายตาและรอยยิ้มแปลกๆ ของเธอที่ส่งมา เขาเผลอมองตามท่าเดินทะมัดทะแมงนั้นไปจนกระทั่งร่างเธอลับจากสายตา
นึกแปลกใจขึ้นมาเสียเองว่าคนจะถามทางเดี๋ยวนี้ต้องเดินมาถามทางกันถึงในห้างสรรพสินค้าเชียวหรือ เพราะโดยปกติคนเราถ้านั่งรถโดยสารแล้วหลงก็น่าจะเลือกถามทางคนอื่นที่ป้ายรถเมล์ หรือถ้าขับรถหลงทางก็น่าจะจอดถามทางตำรวจหรือร้านค้าข้างทางมากกว่า
แต่เอาเถอะ ต่างคนต่างก็มีเหตุผลของตัวเอง เธออาจปวดท้องอยากเข้ามาปลดทุกข์ หรือมีเหตุให้ต้องแวะมาที่นี่พอดีก็ได้เลยถือโอกาสถามทางเสียเลย แล้วอีกอย่าง มันก็ไม่ใช่เรื่องที่จะต้องมาขบคิดสงสัยอะไรกันขนาดนั้น
เมื่อได้ของที่ต้องการครบแล้ว ศักดาบังคับรถให้เคลื่อนไปตามถนนของหมู่บ้านฟ้าใหม่ สายตามองสองข้างทางไปเรื่อยเปื่อย เวลาเย็นย่ำแบบนี้มักจะเห็นคนวิ่งออกกำลังกายหรือไม่ก็จับกลุ่มคุยกันอยู่เป็นระยะๆ
โดยรวมแล้วแทบจะไม่อะไรเปลี่ยนแปลงไปเลยทั้งสภาพแวดล้อมและบรรยากาศของผู้คน สมกับคำพูดที่บอกว่าหมู่บ้านนี้เป็นสถานที่ซึ่งกาลเวลาหยุดนิ่ง ดังที่ใครหลายคนตั้งฉายาให้
บิดาของนายตำรวจหนุ่มเป็นอาจารย์สอนศิลปะที่ผ่านพ้นวัยเกษียณมาแล้วหลายปี ท่านย้ายมาอยู่ที่หมู่บ้านฟ้าใหม่เพราะชอบบรรยากาศซึ่งยังไม่วุ่นวายจนเกินไปของชานเมืองแบบนี้ อีกทั้งความเงียบสงบของหมู่บ้านก็ทำให้ท่านรังสรรค์ผลงานออกมาได้ง่ายกว่าอย่างเห็นได้ชัด
ในวงการศิลปะ คุณไพบูลย์พอมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักอยู่บ้าง ด้วยการลงฝีแปรงตามจินตนาการอันไร้แบบแผนซึ่งเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ผลงานแต่ละชิ้นจึงออกมาแตกต่างกันสุดขั้วจนยากจะคาดเดา แม้ถึงบัดนี้ก็ยังมีผู้ติดตามและจับจองซื้อภาพวาดของศิลปินบนผืนผ้าใบผู้นี้มาไว้ในครอบครองอยู่เสมอ
หลังบิดาย้ายมาอยู่ที่นี่ บ้านหลังเก่าจึงใหญ่เกินไปที่จะอยู่คนเดียว ทั้งคู่ขายมันออกไปให้กับคนที่เขาต้องการบ้านใจกลางเมืองขนาดไม่ใหญ่ไม่เล็กจนเกินไป แล้วชายหนุ่มก็ย้ายมาอยู่คอนโดมิเนียมด้วยเหตุผลเรื่องการเดินทางไปทำงาน
เหตุผลอีกข้อหนึ่งก็คือ เขาไม่อยากให้บิดารู้ว่าหน้าที่การงานจริงๆ ของเขาคืออะไร นายตำรวจหนุ่มไม่ได้มาเยี่ยมเยียนผู้เป็นบิดาได้พักใหญ่แล้ว ก่อนหน้านั้นก็มีบ้างนานๆ ครั้งที่เขาจะนัดมาทำกับข้าวมื้อเย็นทานด้วยกันและค้างที่นี่สักคืนหนึ่งอย่างเช่นวันนี้
เมื่อขับรถมาถึงก็เห็นประตูรั้วบ้านเปิดรอไว้อยู่แล้ว ศักดาเลี้ยวรถเข้าจอดอย่างชำนาญ ก่อนลงมาเปิดท้ายรถหอบหิ้วเอาวัตถุดิบสำหรับทำอาหารมื้อเย็นนี้สองสามเมนูออกมา
“พ่อครับ” เรียกพลางเดินไปปิดประตูรั้ว ก่อนจะหิ้วถุงใส่เครื่องคาวหวานเดินเข้าบ้าน
“มาแล้วเหรอศักดิ์ พ่ออยู่ในห้องทำงาน แกนั่งพักไปก่อนนะ เหลือลงสีอีกหน่อย เดี๋ยวเสร็จแล้วพ่อจะลงไป”
เสียงตะโกนดังมาจากชั้นสอง พ่อคงกำลังง่วนอยู่กับการละเลงสีลงบนผืนผ้าใบอยู่ ชายหนุ่มตั้งใจใช้คำว่า ‘ละเลง’ สำหรับงานศิลปะของผู้เป็นบิดา เพราะเขาไม่เคยเข้าใจความหมายของภาพ หรือจะพูดอีกอย่างก็คือ ไม่เคยสัมผัสได้ถึงความงามในรูปวาดของพ่ออย่างที่หลายๆ คนเคยพยายามอธิบายความลึกซึ้งของมันให้ฟัง
นั่งรออยู่ครู่หนึ่งพ่อลูกก็ได้พบหน้ากัน สองพ่อลูกต่างยิ้มแย้มสวมกอดกันอย่างที่เคยทำเป็นประจำก่อนที่จะเริ่มต้นเข้าครัวทำอาหาร ไม่น่าเชื่อว่างานครัวซึ่งผู้ชายทั่วไปไม่ถนัด เห็นเป็นเรื่องยุ่งยากและเป็นงานของผู้หญิง แต่อดีตครูสอนศิลปะกับนายตำรวจลูกชายของเขากลับหยิบจับเครื่องครัวและทำมันได้อย่างชำนิชำนาญน่าทึ่ง
“เร่งมือเข้าหน่อยนะศักดิ์ เดี๋ยวจะไม่ทัน วันนี้หนูวิจะมากินข้าวเย็นกับเราด้วย”
“หืม ใครเหรอครับพ่อ วิไหน”ศักดาชะงักมือจากการทำอาหารไปชั่วครู่ พลางหันไปถามอย่างแปลกใจ
รหัสลับรัตติกาล ตอนที่ 7
7.
แม้แต่ในเมืองหลวงที่ได้ชื่อว่าเป็นเมืองที่ไม่เคยหลับก็ยังมีเวลาที่ร้างผู้คนสัญจร โดยเฉพาะถ้ามันเป็นเวลาเลยเที่ยงคืนไปแล้วแบบนี้ หญิงสาวคนหนึ่งกำลังเดินอยู่บนถนนเส้นเล็กๆ ที่เป็นทางเข้าหมู่บ้านซึ่งปลูกลึกเข้าไปจากถนนใหญ่ด้วยระยะทางไกลพอสมควร
เธอนึกกลัวอยู่ทุกขณะก้าวย่าง นึกหวาดระแวงเสมอไม่ว่าจะครั้งไหนๆ ที่ต้องเดินเท้าเข้าหมู่บ้านของตนเองในเวลาเช่นนี้ แต่จะให้ทำอย่างไรได้ ในเมื่องานที่ทำบังคับให้ต้องเลิกงานหลังเที่ยงคืนแบบนี้อย่างน้อยๆ ก็เดือนละครั้ง
รถรับส่งของบริษัทก็มาส่งถึงแค่ปากทางโดยอ้างว่าระยะทางเข้าหมู่บ้านไม่ได้อยู่ในสัญญาจ้าง เธอเคยร้องเรียนเรื่องนี้แก่ฝ่ายบุคคลที่บริษัทในช่วงแรกๆ แต่ผลที่ตามมาคือ ทุกอย่างยังเหมือนเดิมยกเว้นแต่คนขับรถรับส่งซึ่งส่งสัญญาณไม่พอใจออกมาอย่างชัดเจน สุดท้ายจึงตัดสินใจไม่พูดเรื่องนี้อีกและยอมก้มหน้ารับกรรมไปแต่โดยดีเพราะไม่อยากมีปัญหาตามมาทีหลัง
บ่อยครั้งที่มีอะไรทำให้เธอตกใจในระหว่างเดินเข้าบ้าน เช่น จู่ๆ ก็มีสุนัขกระโจนออกมาจากข้างทางและไล่เห่า และหลังจากนั้นสุนัขอีกเป็นฝูงก็วิ่งกรูออกมาสมทบและทำแบบเดียวกันจนกระทั่งเธอเดินพ้นเขตของพวกมันไป
ค้างคาว ลมกรรโชก หรือกิ่งไม้ไหว ทั้งหมดดูน่าหวาดหวั่นยามเมื่อถนนร้างผู้คน ท้องฟ้าถูกความมืดมิดกลืนกิน แต่ทว่าคืนนี้กลับเป็นยิ่งกว่านั้น เพราะมันจะเป็นคืนที่เธอต้องพบกับความหวาดกลัวอย่างที่สุดในชีวิตตั้งแต่เกิดมา
แข้งขาอ่อนแรงจนต้องทรุดลงกับพื้น เงาร่างสูงผิดมนุษย์ทั่วไป ทั้งร่างปกคลุมไปด้วยขน ยืนจังก้าอยู่ห่างออกไปไม่ไกล น้ำลายไหลยืดออกมาจากปากที่ยื่นยาวคล้ายปากสุนัข
ไม่ต้องคิดให้มากความก็รู้ได้ว่า อะไรก็ตามที่กำลังขวางทางอยู่มันต้องการตัวเธอ ร่างสยองย่างสามขุมเข้ามาหา เนื้อตัวของหญิงสาวสั่นเทาจนไม่อาจควบคุมเอาไว้ได้ น้ำตาไหลพรากขณะคิดในใจว่าเธอคงไม่มีโอกาสได้กลับบ้านแน่แล้ว
ฉับพลันนั้น อะไรบางอย่างพุ่งวูบเข้าหานักล่า ชั่วพริบตาหัวของสัตว์ประหลาดร่างขนก็หลุดกระเด็นกลิ้งมาหยุดอยู่ตรงหน้าของหญิงสาว รวดเร็วจนมองไม่ทันว่ามันเกิดอะไรขึ้น และเมื่ออสุรกายไร้หัวล้มลงจึงสังเกตเห็นว่ามีเงาร่างเล็กๆ ยืนอยู่ใกล้กับร่างไร้ศีรษะ
“โอ ขอบคุณนะคะ”
หญิงสาวละล่ำละลักขอบคุณด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มทั้งน้ำตา แต่ทว่าไร้เสียงตอบรับใดๆ กลับมา จนกระทั่งเจ้าของร่างเล็กค่อยๆ หันมาหา เธอจึงเห็นดวงตาแดงก่ำราวกับสีเลือดลุกวาวอยู่ในความสลัวกำลังจ้องมองมาที่เธออย่างประสงค์ร้าย
ถ้าหญิงสาวคิดว่าตั้งแต่เกิดมาเหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านพ้นไปเป็นอะไรที่น่ากลัวที่สุดในชีวิตนี้ เธอก็รู้แล้วว่าคิดผิด ลางสังหรณ์บอกว่าต่อจากนี้ไปต่างหากคือความน่ากลัวที่แท้จริง
ร่างเล็กเดินเนิบนาบเข้าหา แสยะยิ้ม ตาเหลือกค้างคล้ายกำลังอยู่ในจินตนาการที่มีความสุขเหลือล้น เพียงแค่นั้นความคิดที่ว่าเธอรอดแล้วเมื่อเสี้ยววินาทีก่อนหน้าก็พลันมลายหายไป...
ศักดาเดินเรื่อยเปื่อยอยู่ในห้างสรรพสินค้า ช่วงสองเดือนที่ผ่านมาเกิดเรื่องขึ้นมากมายเหมือนกับเวลาผ่านไปเนิ่นนานเกินจริง มีคดีฆาตกรรมแบบเดียวกันเกิดขึ้นซ้ำๆ ซึ่งคาดว่าเกิดจากฆาตกรรายเดียวกันอย่างน้อยสามคดี ทั้งสามคดีพบเบาะแสเต็มไปหมดในที่เกิดเหตุ ทั้งรูปแบบการสังหารและความเสียหายในที่เกิดเหตุ
เหยื่อรายล่าสุดเป็นหญิงวัยทำงาน เธอถูกสังหารที่ทางเข้าหมู่บ้านจัดสรรแห่งหนึ่งกลางดึก สภาพศพถูกฉีกทึ้งเป็นชิ้นๆ ประหนึ่งฆาตกรกำลังคลุ้มคลั่งหรือสำเริงสำราญเบิกบานใจในการทำร้ายเหยื่อจนสุดจะระงับอารมณ์ตนเองไว้ได้เหมือนกับผู้เคราะห์ร้ายรายอื่นๆ
แต่สิ่งที่ทำให้คดีล่าสุดพิเศษกว่าคดีก่อนๆ ที่ผ่านมาก็คือ พบเศษชิ้นส่วนอวัยวะของสิ่งมีชีวิตปริศนาที่เหล่าตำรวจไม่รู้จัก ซึ่งแน่นอนว่าเศษซากนั้นคืออสุรกาย
ตั้งแต่ทำงานอยู่ในเงามืด ศักดาไม่เคยพบเหตุการณ์ที่อสุรกายนักล่าหมายตาเหยื่อรายเดียวกันจนถึงขั้นสังหารกันเองมาก่อน นั่นอาจเป็นเพราะอสุรกายนักล่าแต่ละสายพันธุ์มีความแข็งแกร่งและมีคุณลักษณะเด่นที่แตกต่างกันไป หากต้องเข้าห้ำหั่นกันเองแล้ว ไม่ว่าฝ่ายใดชนะก็คงต้องเจ็บหนักจนอาจจะได้ไม่คุ้มเสีย ดังนั้น จึงทำให้พวกมันหลีกเลี่ยงที่จะเผชิญหน้ากันเองก็เป็นได้
ด้วยเหตุนี้เหตุการณ์สังหารในครั้งนี้จึงถือว่าผิดปกติอย่างยิ่งเพราะมันสังหารโดยไม่เลือกเหยื่อ อะไรก็ตามที่กล้าทำแบบนี้ต้องมั่นใจอย่างมากในพลังของตนเอง หรือไม่เช่นนั้นมันก็ต้องทำลงไปโดยไม่ได้ยั้งคิดอะไรเลย
หากยังปล่อยให้เกิดการฆ่าไม่เลือกแบบนี้ต่อไป สักวันก็คงจะปิดข่าวเอาไว้ไม่มิด แต่ปัญหาก็คือ ทั้งๆ ที่เหมือนกับว่ามีเค้าเงื่อนอยู่ต่อหน้าเต็มไปหมด แต่ศักดากลับไม่อาจเชื่อมโยงเบาะแสเหล่านั้นเข้ากับอะไรที่เขารู้จักได้เลย
ในเมื่อพยายามคิดทบทวนซ้ำไปซ้ำมาแล้วก็ยังไม่สามารถหาคำตอบให้กับตัวเองได้ ชายหนุ่มจึงคิดว่าบางทีการได้พักสมองเสียบ้างอาจเป็นทางเลือกที่ดี อาจมีความคิดอะไรสอดแทรกหรือผุดขึ้นมาได้บ้างยามที่สมองถูกปล่อยให้ว่าง
“ว่าไงเจ้าศักดิ์ เย็นนี้แกจะมากินข้าวกับพ่อที่บ้านเหมือนที่ตกลงกันไว้มั้ย”
“ครับพ่อ ยังเหมือนเดิมครับ ไว้เจอกันครับ”
พอดีกับเมื่อหลายวันก่อน คุณไพบูลย์ผู้เป็นบิดาโทรศัพท์มาถามย้ำเรื่องที่ทั้งคู่มีนัดทานข้าวเย็นด้วยกัน วันนี้ชายหนุ่มจึงถือโอกาสหยุดงานมาเดินเล่นในห้างสรรพสินค้า และเลือกซื้อข้าวของติดไม้ติดมือกลับบ้านไปด้วย
ทว่าการมาเดินเล่นในครั้งนี้กลับไม่เป็นดังหวัง เพราะในสมองของนายตำรวจหนุ่มก็ยังคงหมกมุ่นวนเวียนคิดถึงแต่คดีฆาตกรรมที่เกิดขึ้นจนไม่มีแก่ใจจะสนใจสิ่งของรอบตัว
“เอ่อ ขอโทษค่ะ”
เสียงหวานนุ่มดึงสติของชายหนุ่มให้กลับมา เขาหันไปมองและพบว่าเจ้าของเสียงเป็นหญิงสาวท่าทางทะมัดทะแมงคนหนึ่ง ใบหน้าคมขำสมส่วนของเธอทำให้เขาถึงกับสะดุดตาเมื่อแรกเห็น
อาจเพราะด้วยความเป็นนักสืบ จึงทำให้ศักดาเป็นคนช่างสังเกตและคิดวิเคราะห์จนเป็นนิสัย เขาคะเนว่าเธอน่าจะอายุน้อยกว่าเขาอยู่หลายปี หรืออย่างมากที่สุดก็คงจะรุ่นราวคราวเดียวกัน จากสีหน้า แววตา และการแต่งตัว น่าจะเป็นคนที่มีความมั่นใจในตัวเอง
“คุณพอจะรู้จักที่นี่มั้ยคะ พอดีว่าแผนที่มันเขียนเหมือนกับว่าจะหาเจอได้ง่ายๆ น่ะค่ะ”
เธอเอ่ยถามพลางยื่นกระดาษแผ่นหนึ่งมาให้ดู มันเป็นแผนที่ซึ่งระบุจุดหมายปลายทางคือ ‘หมู่บ้านฟ้าใหม่’ แน่นอนว่าเขาย่อมรู้จักเป็นอย่างดี เพราะที่นี่ก็เป็นจุดหมายของเขาในช่วงเย็นนี้เช่นกัน
“อ้อ เย็นนี้ผมจะไปที่นั่นอยู่เหมือนกัน ถ้าไม่รังเกียจจะไปด้วยกันมั้ยครับ จะได้ไม่ต้องเสียเวลาบอกทาง”
ศักดาเสนอทางเลือกที่คิดว่าดีกว่า เขาสังเกตเห็นว่าผู้หญิงตรงหน้าที่เข้ามาถามทางคลี่ยิ้มบาง พร้อมส่งสายตาแปลกๆ ที่เขาไม่เข้าใจความหมายมาให้
“ไม่เป็นไรค่ะ เกรงใจแย่เลย แค่ช่วยบอกทางให้ก็พอแล้วค่ะ คุณเองจะได้ไม่ต้องรีบด้วย”
“เอ่อ ครับ”
พอโดนปฏิเสธก็เริ่มรู้สึกตัวว่าคงถามอะไรไม่เข้าท่าออกไป ไม่ว่าใครก็คงระแวงที่ถูกเชิญชวนแบบนี้ หากเธอตอบตกลงและยอมตามไปด้วยแต่โดยดีนี่สิ น่าแปลกยิ่งกว่า
ชายหนุ่มประเมินดูแล้วเห็นว่าเธอเป็นคนแปลกถิ่นซึ่งน่าจะไม่เคยมาแถวนี้ เขาจึงพยายามอธิบายโดยบอกจุดสังเกตทั้งหมดที่คิดว่าน่าจะเห็นได้เด่นชัด ต้องใช้เวลาอยู่ครู่หนึ่งจนกระทั่งมั่นใจว่าคนถามทางจะไม่หลงทางอีก
“ขอบคุณมากค่ะ”
เธอกล่าวขอบคุณก่อนเดินจากไป เป็นอีกครั้งหนึ่งที่ชายหนุ่มรู้สึกได้ถึงสายตาและรอยยิ้มแปลกๆ ของเธอที่ส่งมา เขาเผลอมองตามท่าเดินทะมัดทะแมงนั้นไปจนกระทั่งร่างเธอลับจากสายตา
นึกแปลกใจขึ้นมาเสียเองว่าคนจะถามทางเดี๋ยวนี้ต้องเดินมาถามทางกันถึงในห้างสรรพสินค้าเชียวหรือ เพราะโดยปกติคนเราถ้านั่งรถโดยสารแล้วหลงก็น่าจะเลือกถามทางคนอื่นที่ป้ายรถเมล์ หรือถ้าขับรถหลงทางก็น่าจะจอดถามทางตำรวจหรือร้านค้าข้างทางมากกว่า
แต่เอาเถอะ ต่างคนต่างก็มีเหตุผลของตัวเอง เธออาจปวดท้องอยากเข้ามาปลดทุกข์ หรือมีเหตุให้ต้องแวะมาที่นี่พอดีก็ได้เลยถือโอกาสถามทางเสียเลย แล้วอีกอย่าง มันก็ไม่ใช่เรื่องที่จะต้องมาขบคิดสงสัยอะไรกันขนาดนั้น
เมื่อได้ของที่ต้องการครบแล้ว ศักดาบังคับรถให้เคลื่อนไปตามถนนของหมู่บ้านฟ้าใหม่ สายตามองสองข้างทางไปเรื่อยเปื่อย เวลาเย็นย่ำแบบนี้มักจะเห็นคนวิ่งออกกำลังกายหรือไม่ก็จับกลุ่มคุยกันอยู่เป็นระยะๆ
โดยรวมแล้วแทบจะไม่อะไรเปลี่ยนแปลงไปเลยทั้งสภาพแวดล้อมและบรรยากาศของผู้คน สมกับคำพูดที่บอกว่าหมู่บ้านนี้เป็นสถานที่ซึ่งกาลเวลาหยุดนิ่ง ดังที่ใครหลายคนตั้งฉายาให้
บิดาของนายตำรวจหนุ่มเป็นอาจารย์สอนศิลปะที่ผ่านพ้นวัยเกษียณมาแล้วหลายปี ท่านย้ายมาอยู่ที่หมู่บ้านฟ้าใหม่เพราะชอบบรรยากาศซึ่งยังไม่วุ่นวายจนเกินไปของชานเมืองแบบนี้ อีกทั้งความเงียบสงบของหมู่บ้านก็ทำให้ท่านรังสรรค์ผลงานออกมาได้ง่ายกว่าอย่างเห็นได้ชัด
ในวงการศิลปะ คุณไพบูลย์พอมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักอยู่บ้าง ด้วยการลงฝีแปรงตามจินตนาการอันไร้แบบแผนซึ่งเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ผลงานแต่ละชิ้นจึงออกมาแตกต่างกันสุดขั้วจนยากจะคาดเดา แม้ถึงบัดนี้ก็ยังมีผู้ติดตามและจับจองซื้อภาพวาดของศิลปินบนผืนผ้าใบผู้นี้มาไว้ในครอบครองอยู่เสมอ
หลังบิดาย้ายมาอยู่ที่นี่ บ้านหลังเก่าจึงใหญ่เกินไปที่จะอยู่คนเดียว ทั้งคู่ขายมันออกไปให้กับคนที่เขาต้องการบ้านใจกลางเมืองขนาดไม่ใหญ่ไม่เล็กจนเกินไป แล้วชายหนุ่มก็ย้ายมาอยู่คอนโดมิเนียมด้วยเหตุผลเรื่องการเดินทางไปทำงาน
เหตุผลอีกข้อหนึ่งก็คือ เขาไม่อยากให้บิดารู้ว่าหน้าที่การงานจริงๆ ของเขาคืออะไร นายตำรวจหนุ่มไม่ได้มาเยี่ยมเยียนผู้เป็นบิดาได้พักใหญ่แล้ว ก่อนหน้านั้นก็มีบ้างนานๆ ครั้งที่เขาจะนัดมาทำกับข้าวมื้อเย็นทานด้วยกันและค้างที่นี่สักคืนหนึ่งอย่างเช่นวันนี้
เมื่อขับรถมาถึงก็เห็นประตูรั้วบ้านเปิดรอไว้อยู่แล้ว ศักดาเลี้ยวรถเข้าจอดอย่างชำนาญ ก่อนลงมาเปิดท้ายรถหอบหิ้วเอาวัตถุดิบสำหรับทำอาหารมื้อเย็นนี้สองสามเมนูออกมา
“พ่อครับ” เรียกพลางเดินไปปิดประตูรั้ว ก่อนจะหิ้วถุงใส่เครื่องคาวหวานเดินเข้าบ้าน
“มาแล้วเหรอศักดิ์ พ่ออยู่ในห้องทำงาน แกนั่งพักไปก่อนนะ เหลือลงสีอีกหน่อย เดี๋ยวเสร็จแล้วพ่อจะลงไป”
เสียงตะโกนดังมาจากชั้นสอง พ่อคงกำลังง่วนอยู่กับการละเลงสีลงบนผืนผ้าใบอยู่ ชายหนุ่มตั้งใจใช้คำว่า ‘ละเลง’ สำหรับงานศิลปะของผู้เป็นบิดา เพราะเขาไม่เคยเข้าใจความหมายของภาพ หรือจะพูดอีกอย่างก็คือ ไม่เคยสัมผัสได้ถึงความงามในรูปวาดของพ่ออย่างที่หลายๆ คนเคยพยายามอธิบายความลึกซึ้งของมันให้ฟัง
นั่งรออยู่ครู่หนึ่งพ่อลูกก็ได้พบหน้ากัน สองพ่อลูกต่างยิ้มแย้มสวมกอดกันอย่างที่เคยทำเป็นประจำก่อนที่จะเริ่มต้นเข้าครัวทำอาหาร ไม่น่าเชื่อว่างานครัวซึ่งผู้ชายทั่วไปไม่ถนัด เห็นเป็นเรื่องยุ่งยากและเป็นงานของผู้หญิง แต่อดีตครูสอนศิลปะกับนายตำรวจลูกชายของเขากลับหยิบจับเครื่องครัวและทำมันได้อย่างชำนิชำนาญน่าทึ่ง
“เร่งมือเข้าหน่อยนะศักดิ์ เดี๋ยวจะไม่ทัน วันนี้หนูวิจะมากินข้าวเย็นกับเราด้วย”
“หืม ใครเหรอครับพ่อ วิไหน”ศักดาชะงักมือจากการทำอาหารไปชั่วครู่ พลางหันไปถามอย่างแปลกใจ