เมื่อวันที่ 17 เม.ย 2563 นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กล่าวผ่านสถานีโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจว่า จะออกจดหมายเปิดผนึกถึงมหาเศรษฐีที่ร่ำรวยที่สุดในประเทศไทย 20 คน ในฐานะที่เป็นผู้อาวุโสของสังคมจะร่วมมือกับรัฐบาลอย่างไร และจะลงมือ ช่วยเหลือประเทศไทยของเราให้มากขึ้นได้อย่างไรบ้าง ท่ามกลางวิกฤติการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19
“สิ่งที่ผมจะทำในช่วงสัปดาห์ข้างหน้าประการแรก คือ จะออกจดหมายเปิดผนึกถึงมหาเศรษฐีที่ร่ำรวยที่สุดในประเทศไทย 20 ท่าน ขอให้ท่านเหล่านั้นได้บอกผมว่า ในฐานะที่ท่านเป็นผู้อาวุโสของสังคม ท่านจะร่วมมือกันกับเราอย่างไร และท่านจะลงมือช่วยเหลือประเทศไทยของเราให้มากขึ้นได้อย่างไรบ้าง มหาเศรษฐีของประเทศไทยทั้งหลาย ล้วนมีอิทธิพลอย่างมากต่อเศรษฐกิจของประเทศ และถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในโลก ผมขอให้ท่านมีบทบาทสำคัญ ในการร่วมกันช่วยเหลือประเทศและร่วมเป็นทีมประเทศไทยด้วยกันกับเรา” ที่มา : The Bangkok Insight
อย่างที่เราทราบ มหาเศรษฐีของประเทศไทยทั้งหลายนั้น ล้วนมีอิทธิพลอย่างมากต่อเศรษฐกิจของประเทศ และถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในโลก ทางรัฐบาลไทยจึงอยากขอให้เข้ามามีบทบาทสำคัญในการร่วมกันช่วยเหลือประเทศ และร่วมเป็นทีมประเทศไทยด้วยกันกับรัฐบาล
จนมีข่าวลือหนาหูว่า "รัฐบาลถังแตก จนต้องขอรับเงินบริจาค"
หลังจากนั้นเพียงไม่นาน เหล่ามหาเศรษฐีเมืองไทยต่างตอบรับจดหมายของนายกฯ พร้อมให้ความช่วยเหลือรัฐบาลไทยต่อสู้ COVID-19 และเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศในทุกด้านอย่างเต็มกำลัง
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้‘11 มหาเศรษฐีไทย’ ตอบรับจดหมายนายกฯ พร้อมให้ความช่วยเหลือสู้ COVID-19
1. ธนินท์ เจียรวนนท์ ผู้ก่อตั้งเครือเจริญโภคภัณฑ์ (CP) ได้ดำเนินการให้ความช่วยเหลือกว่า 700 ล้านบาท
สร้างโรงงานผลิตหน้ากากอนามัยฟรีแก่บุคคลากรทางการแพทย์ / บริจาคชุดป้องกันทางการแพทย์ / การมอบเงิน 77 ล้านบาท ให้กับ 77 โรงพยาบาล ใน 77 จังหวัดทั่วประเทศ ภายใต้โครงการคนไทยไม่ทิ้งกัน / สนับสนุนอาหารให้แก่บุคลากรทางการแพทย์ในโรงพยาบาลรัฐ จำนวน 120 แห่งทั่วประเทศ
2. ชูชาติ เพ็ชรอำไพ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เมืองไทย แคปปิตอล
การให้ความร่วมมือกับธนาคารแห่งประเทศไทยในการปฏิบัติตามแนวทางและมาตรการช่วยเหลือลูกค้า เช่น มาตรการพักชำระหนี้ มาตรการลดค่างวด และมาตรการลดอัตรดอกเบี้ย / การร่วมบริจาคเงินสมทบทุน จำนวนกว่า 60 ล้านบาท ให้แก่โรงพยาบาลจำนวน 7 แห่ง / การจัดสรรและแจกจ่ายถุงยังชีพ จำนวน 200,000 ถุง มูลค่า 60 ล้านบาท เพื่อมอบให้แก่ชุมชนในกรุงเทพมหานครจำนวน 600 ชุมชน รวมถึงประชาชนที่เดือดร้อนตามหลาย ๆ จังหวัด / การบริจาคเงินให้กับโรงพยาบาลในจังหวัดสุโขทัย ผ่านสาธารณสุขจังหวัดจำนวน 50 ล้านบาท
3. คีรี กาญจนพาสน์ ประธานกรรมการ บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้ง
อยู่ในระหว่างการรวบรวมรายละเอียดโครงการที่จะนำเสนอ
4. เฉลิม อยู่วิทยา และครอบครัวอยู่วิทยา (เครือกระทิงแดง) ได้มอบเงินสนับสนุนเบื้องต้น จำนวน 300 ล้านบาท
ริเริ่มโครงการ “พึ่งตน เพื่อชาติ” ช่วยเหลือประชาชนในช่วง COVID-19 โดยทางครอบครัวอยู่วิทยาจะมีการแถลงข่าวเพิ่มเติมอีกครั้งในสัปดาห์หน้า
จัดซื้อสิ่งของให้กับโรงพยาบาลที่มีความจำเป็น มูลค่ากว่า 70 ล้านบาท / บริจาคอาหารและน้ำดื่มให้กับประชาชนที่ตกงาน ขาดแคลนรายได้ที่อาศัยอยู่ในกรุงเทพและปริมณฑล ตั้งแต่เดือนมีนาคมถึงเดือนมิถุนายน เป็นเวลา 3 เดือน
5. ปราเสริฐ ปราสาททองโอสถ ผู้ก่อตั้งสายการบิน Bangkok Airways
เบื้องต้นได้ให้ความช่วยเหลือแก่แพทยสภา และสาธารณสุขในการอำนวยความสะดวกในการเดินทางของบุลคลาการทางการแพทย์ในการไปรักษาผู้ติดเชื้อในหลาย ๆ จังหวัด / มีแผนที่จะช่วยในเรื่องปัญหาขาดแคลนน้ำ โดยวางเงินลงทุนถึง 100 ล้านบาท
6. ประจักษ์ ตั้งคารวคุณ ประธานกรรมการ TOA
ริเริ่มโครงการ “TOA ไม่ทิ้งกัน” โดยมีวงเงินมากถึง 100 ล้านบาท เพื่อช่วยเหลือประชาชน ภาครัฐและโรงพยาบาลที่ได้รับผลกระทบ / โครงการ "พลิกวิกฤติ สร้างโอกาส สร้างอาชีพ กับ TOA" จัดอบรมหลักสูตรวิชาชีพช่างทาสี เป็นตัวช่วยในการสร้างงานให้กับผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการเลิกจ้างหรือว่างงาน ในการหาช่องทางรายได้ใหม่ ๆ
7. อัยยวัฒน์ ศรีวัฒนประภา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัท King Power
เตรียมตั้งงบกว่า 1,500 ล้านบาท ผ่าน 4 โครงการหลัก คือ โครงการสนับสนุนทางการแพทย์, โครงการพัฒนาสังคม, โครงการพัฒนาเยาวชน และโครงการพัฒนาการท่องเที่ยว
8. ประยุทธ มหากิจศิริ ประธานกรรมการกลุ่มบริษัท พีเอ็มส์ กรุ๊ป
เตรียมวงเงิน 150 ล้านบาท / รับซื้อผลผลิตทางการเกษตรจากเกษตรกรในจังหวัดลำพูนเป็นระยะเวลา 6 เดือน / รับซื้อสินค้าจากวิสาหกิจชุมชนในจังหวัดลำพูนเป็นระยะเวลา 6 เดือน / ส่งผู้เชี่ยวชาญไปร่วมทำงานวิจัย เพื่อการพัฒนาพร้อมเพิ่มผลผลิตให้เกษตรกร
9. เพชร โอสถานุเคราะห์ ประธานคณะกรรมการ บริษัท โอสถสภา
จัดเตรียมงบกว่า 100 ล้านบาทช่วยเหลือประชาชน / โครงการอื่น ๆ ยังอยู่ในขั้นตอนการหารือ
10. ฉัตรชัย แก้วบุตตา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มศรีสวัสดิ์
เสนอแผนช่วยเหลือแก้หนี้นอกระบบ เพื่อแบ่งเบาภาระของรัฐในระยะยาว
11. ทศ จิราธิวัฒน์ ประธานกรรมการบริหาร กลุ่มเซ็นทรัล
จัดเตรียมงบกว่า 2,200 พันล้านบาท / มาตรการสร้างอาชีพ เสริมรายได้ เข้าช่วยเหลือชุมชน เกษตรกร ธุกิจขนาดเล็ก และผู้พิการ รวมถึงการทำ Crowd funding ระดมทุนเงินช่วยเหลือให้กับธุรกิจรายย่อย / มาตรการลดค่าครองชีพ ซึ่งจะลดและตรึงราคาสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็นกว่า 3,000 รายการ และลดราคาอาหาร 20% ในศูนย์อาหาร 87 แห่ง ใน 43 จังหวัด / มาตรการส่งเสริมสุขภาพ โดยได้สร้างมาตรฐานใหม่ในการทำธุรกิจให้ปลอดภัยเพื่อป้องกันการระบาดโดยใช้มาตรการ ‘สะอาดปลอดภัย’ ในศูนย์การค้า และสำหรับผู้เช่าทุกราย รวมถึงลงทุนกว่า 40 ล้านบาท ในการสนับสนุนเงินและอุปกรณ์ทางการแพทย์ มอบให้กับ 30 โรงพยาบาลทั่วประเทศ
ที่มา : Techsauce
ตราบจนถึงวันนี้ เอกชนต่างๆ ได้ทำหน้าที่ของตัวเองอย่างเต็มกำลังในการช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็น การสร้างโรงงานหน้ากากอนามัย สนับสนุนอาหาร และสิทธิต่างๆ ให้กับบุคลากรทางการแพทย์ การลดราคาสินค้าเพื่อช่วยลดค่าครองชีพให้ประชาชน และอื่นๆ อีกมากมายหลายโครงการ
แต่วันนี้ รัฐบาลไทยกลับไม่ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเลย ที่จะสามารถสร้างความน่าเชื่อถือ เพื่อการฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศได้เลย มัวแต่เล่นเกมส์การเมืองกันไปมา มัวแต่สนใจแต่พวกพ้อง น้องพี่ สนใจแต่พรรคพวกตัวเอง มากกว่าที่จะให้ความช่วยเหลือประชาชนตาดำๆ อย่างจริงจัง และจริงใจ
ไม่ใช่มัวแต่สร้างภาพไปวันๆ "ตีขิมเมืองร้าง" แต่ข้างในกลวงโบ๋ ไม่มีอะไรเลย
ไม่รู้ว่าที่มีจดหมายจากมหาเศรษฐีไทยส่งไปถึงยังท่านนายกรัฐมนตรีนั้น ท่านได้อ่านบ้างแล้วหรือยัง กับมาตราการ หรือคำแนะนำ เพราะก็เกือบจะ 6 เดือนหลังจากที่มีการตอบจดหมายกลับไป รัฐบาลก็ยังไม่สามารถสร้างความเชื่อมั่นให้เอกชนไทย หรือประชาชนคนไทยได้เลย
จนเมื่อวันที่ 9 ต.ค. 2563 เจ้าสัวธนินท์ เจียรวนนท์ หนึ่งในมหาเศรษฐีไทยที่ตอบจดหมายนายกฯ ได้ออกมาให้สัมภาษณ์ผ่านสื่อ
"กระทุ้งรัฐบาลอีกครั้ง" ว่า รัฐบาลควรจะต้องมีมาตรการเพื่อการฟื้นฟูเศรษฐกิจไทยได้แล้ว ไม่ใช่รอให้โควิด-19 หายก่อน เพราะตอนนี้ธุรกิจหลายอย่างกำลังร่อแร่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นการท่องเที่ยว หรือธุรกิจ SME
"ส่วนโอกาสของไทยในการเดินหน้าพัฒนาเศรษฐกิจต่อนั้น มองว่าอยู่ที่รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี จะบริหารเศรษฐกิจอย่างไร หากบริหารเศรษฐกิจเหมือนบริหารสถานการณ์โควิด-19 เชื่อว่าเมืองไทยจะโตอย่างก้าวกระโดดทันที เพราะว่าการขับเคลื่อนเศรษฐกิจต้องแก้ไขอย่างรวดเร็วเช่นกัน เสนอว่าให้นำเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) มาพัฒนาออกกฎระเบียบ และกฎหมายพิเศษในกับนักลงทุน แต่ที่รัฐบาลขับเคลื่อนอยู่นี้ยังไม่เห็นความคืบหน้าทุกอย่างยังเป็นแบบเก่าๆ อาทิ ต้องยื่นขอการลงทุนผ่านคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือบีโอไอ เป็นต้น" ที่มา : มติชนออนไลน์
ดังนั้น ถ้ารัฐบาลไทยยังไม่มองภาพรวมของประเทศให้ดี และลึกกว่านี้ เศรษฐกิจของไทยก็ยังคงต้องรอฟื้นตัวต่อไป จนประเทศอื่นๆ สามารถฟื้นฟูสภาพเศรษฐกิจกลับมาได้ตามปกติ เมื่อถึงเวลานั้น ประเทศไทยก็อาจจะมีสภาพเหมือนเดิม ไม่สามารถก้าวข้ามกับดักรายได้ปานกลาง ติดอยู่ตรงประเทศกำลังพัฒนาไปเรื่อยๆ
ถึงเวลาแล้วหรือยัง ที่รัฐบาลควรจะต้องรับฟังข้อเสนอแนะจากบุคคลในแวดวงอื่นๆ บ้าง ไม่ใช่เพียงแต่ในแวดวงการเมือง ที่มีแต่นักคิด แต่ไม่มีนักปฏิบัติเลย หรือบางคนก็รู้จักแต่การเล่นเกมส์ทางการเมืองเพียงอย่างเดียว แต่ไม่เคยทำธุรกิจให้ประสบความสำเร็จ
วันนี้รัฐบาลพร้อมจะรับฟังเสียงของประชาชนแล้วหรือยัง ???
มหาเศรษฐีไทยพร้อมช่วยรัฐบาล แต่รัฐบาลพร้อมรับฟังแล้วหรือยัง ???
"ส่วนโอกาสของไทยในการเดินหน้าพัฒนาเศรษฐกิจต่อนั้น มองว่าอยู่ที่รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี จะบริหารเศรษฐกิจอย่างไร หากบริหารเศรษฐกิจเหมือนบริหารสถานการณ์โควิด-19 เชื่อว่าเมืองไทยจะโตอย่างก้าวกระโดดทันที เพราะว่าการขับเคลื่อนเศรษฐกิจต้องแก้ไขอย่างรวดเร็วเช่นกัน เสนอว่าให้นำเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) มาพัฒนาออกกฎระเบียบ และกฎหมายพิเศษในกับนักลงทุน แต่ที่รัฐบาลขับเคลื่อนอยู่นี้ยังไม่เห็นความคืบหน้าทุกอย่างยังเป็นแบบเก่าๆ อาทิ ต้องยื่นขอการลงทุนผ่านคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือบีโอไอ เป็นต้น" ที่มา : มติชนออนไลน์