เลขาครป. จี้รัฐ เลิกไอโอล้าสมัย เพิ่มความเกลียดชัง แนะนิยามความมั่นคงใหม่ ให้ทันโลก
https://www.matichon.co.th/politics/news_2390398
เมื่อวันที่ 12 ตุลาคม นาย
เมธา มาสขาว เลขาธิการคณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย (ครป.) กล่าวถึงกรณีทวิตเตอร์รายงานสถานะของปฏิบัติการข่าวสารและการโฆษณาชวนเชื่อเชื่อมโยงเกี่ยวข้องกับรัฐบาลและกองทัพไทยจำนวนมาก ว่า รัฐบาลและกองทัพไทย ควรยกเลิกปฏิบัติการข่าวสารหรือไอโอแบบเก่าได้แล้ว เพราะเป็นภารกิจการโฆษณาชวนเชื่อตั้งแต่ยุคสงครามเย็น รัฐใดที่ใช้นโยบายความมั่นคงทางทหารนำการเมืองเกิดการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างต่อเนื่อง รัฐบาลควรเปลี่ยนนโยบายดังกล่าวแทนการปฏิบัติการข่าวสารแบบเก่า โดยนิยามความมั่นคงสมัยใหม่ให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงในโลกยุคใหม่ เพราะบัญชีต่างๆ ในการโฆษณาชวนเชื่อเหล่านั้น มักไม่ได้ผล และสิ้นเปลืองภาษีประชาชน และมักทิ้งร่องรอยหลักฐานเหลือไว้ให้ตรวจสอบได้ ต้องตระหนักว่า การโฆษณาชวนเชื่อ โดยเห็นประชาชนในประเทศเป็นศัตรูตรงข้ามเป็นสิ่งที่ล้าสมัยไปแล้ว ไม่เกิดประโยชน์ที่ดีและสร้างสรรค์ทางการเมือง ทั้งยังจะสร้างความขัดแย้งของคนในชาติต่อไปไม่สิ้นสุด แทนที่จะปรองดองสมานฉันท์เพื่อสร้างสันติสุขในบ้านเมือง เพื่อต่อกรกับภัยคุกคามภายนอก
“ผลพวงของการโฆษณาชวนเชื่อแบบเก่าเป็นอันตรายกับสังคมไทยมาก ในช่วงสิบกว่าปีที่ผ่านมาบ้านเมืองจึงเต็มไปด้วยความขัดแย้ง ความเกลียดชัง ความเข้าใจผิดๆ ถูกๆ สีดำสีขาวกลายเป็นสีเทา เกิดขั้วข้างทางการเมือง
การที่รัฐบาลมีการโฆษณาชวนเชื่อและปฏิบัติการข่าวสารด้านเดียวไม่ได้ทำให้รัฐบาลแบ่งแยกแล้วปกครองได้ง่ายขึ้น เพราะยิ่งจะซ้ำเติมปัญหาและสร้างความขัดแย้งจากความเห็นต่างไม่สิ้นสุดจนเกิดความเกลียดชังซึ่งกันและกันอย่างถาวร และถึงวันหนึ่งจะรับมือไม่ไหว หากผู้คนหนีไปจากข้อเท็จจริงไปสู่มายาคติที่สร้างความเกลียดชังและแปลกแยกจนนำไปสู่ความรุนแรงทางสังคม จากการยุยงส่งเสริมและปั่นหัวโฆษณาชวนเชื่อของรัฐ” นาย
เมธา กล่าว
แนวโน้มไม่สดใสนัก! อินเดียลดนำเข้ายางพาราไทย 3 ปี หันซื้อเวียดนาม-มาเลเซีย ซ้ำลุยปลูกใช้เอง
https://www.khaosod.co.th/economics/news_5095757
แนวโน้มไม่สดใสนัก! อินเดียลดนำเข้ายางพาราไทย 3 ปี หันซื้อเวียดนาม-มาเลเซีย ซ้ำลุยปลูกใช้เอง
วันที่ 11 ต.ค.2563 น.ส.
สุพัตรา แสวงศรี ผอ.สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ นครมุมไบ อินเดีย เปิดเผยว่า รมว.พาณิชย์และอุตสาหกรรมของอินเดีย กล่าวในงานสัมมนาของคณะกรรมการยางของอินเดีย (Rubber Board) ว่าอินเดียกำลังประสบปัญหา การผลิต
ยางธรรมชาติ (Natural Rubber: NR) ไม่เพียงพอต่อความต้องการ ของภาคอุตสาหกรรม ประกอบกับการแข่งขันด้านราคากับผู้ผลิตยางในตลาดโลกด้วย โดยรัฐบาลได้ขอให้สมาคมผู้ปลูกยาง พยายามส่งเสริมการลดต้นทุนและเพิ่มผลผลิตต่อไร่โดยใช้เทคโนโลยี
" พื้นที่เพาะปลูกในอินเดียมีศักยภาพในการผลิตยางธรรมชาติได้มากกว่า 1 ล้านตันต่อปี แต่ในช่วงปี 2562-63 ผลิตยางได้เพียง 7.12 แสนตันเท่านั้น ไม่เพียงพอต่อความต้องการใช้ที่ประมาณ 1.2 ล้านตัน ส่งผลให้เกิดช่องว่างที่ต้องนำเข้ายางจาก ต่างประเทศโดยไม่จำเป็นปีละประมาณปีละ 4-5 แสนตัน ทั้งนี้ผลิตภาพและต้นทุนการผลิตยางของอินเดียยังมีข้อจำกัดด้าน ทักษะของชาวสวนยางที่ทำให้เกิดการสูญเสียหลังการเก็บเกี่ยวสูง และมีพื้นที่เพาะปลูกกว่า 24% ที่ยังไม่ได้รับการพัฒนาเท่าที่ควร ซึ่งอินเดียจะยกระดับการเกษตรให้สามารถผลิตได้เต็มศักยภาพ รองรับการผลิตยางล้อที่กาลังเติบโต "
น.ส.
สุพัตรา กล่าวต่อว่า ดังนั้นหากอินเดียสามารถยกระดับผลิตภาพการปลูกยางพาราได้ การส่งออกยางธรรมชาติจากไทยไปอินเดียอาจมีแนวโน้มไม่สดใสนัก โดยปัจจุบัน ยางพาราจากไทยมีสัดส่วนประมาณ 7.57% ในการนำเข้าของอินเดียและลดลงต่อเนื่อง 3 ปี ในขณะที่คู่แข่งสำคัญอย่างเวียดนาม และ มาเลเซีย มีการขยายตัวต่อเนื่อง เนื่องจากความได้เปรียบด้านราคาและปริมาณที่สามารถส่งมอบได้ ในขณะที่รัฐบาลไทยได้พยายามเจรจาขอลดอากรนำเข้าแล้ว แต่เป็นไปได้ยากเนื่องจากยางเป็นสินค้าที่อ่อนไหวทางการเมืองสำหรับอินเดียด้วย
" อย่างไรก็ตามสินค้าที่ไทยพอมีโอกาสในการขยายตลาดในอินเดียคือ ยางสังเคราะห์จากปิโตรเคมีหรือโพลิบิวทาไดอีน (Butadiene Rubber: BR) ซึ่งไทยเป็นแหล่งนำเข้าในอันดับที่ 15 ของอินเดีย แต่ก็มีสัดส่วนการนำเข้าจากไทยเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง 3 ปี แม้ว่าอินเดียจะพยายามผลิตยางสังเคราะห์เองและขึ้นภาษีนำเข้ายางประเภทนี้เป็น 10% แต่อินเดียก็น่าจะยังต้องนำเข้ายางสังเคราะห์ไปใช้ในการผลิตยางล้อในช่วง 1-2 ปีที่อินเดียกำลังยกระดับการผลิต
โดยเฉพาะล้อรถที่ใช้งานหนัก อาทิ รถกระบะ รถบรรทุก รถบัส และ รถแทรกเตอร์ในระยะยาว คาดว่าตลาดมีแนวโน้มจะเปลี่ยนจากการใช้ยางที่ทำจากปิโตรเคมีเป็นยางที่สังเคราะห์จากสารชีวภาพ หรือบิวทาไดอีนชีวภาพ เพื่อให้ยางล้อที่หมดอายุการใช้งานแล้วสามารถนำมาหมุนเวียนกลับมาใช้ใหม่ได้ ซึ่งจะเป็นโอกาสของผู้ผลิตที่มีการ เรียนรู้เทคโนโลยีเพื่อสิ่งแวดล้อม รวมถึงเกษตรกรไทยในเครือข่ายการผลิต "
JJNY : เลขาครป.จี้รัฐเลิกไอโอล้าสมัย/อินเดียลดนำเข้ายางไทย3ปี ซื้อเวียดนามมาเลเซีย/ทั่วโลกติดโควิด37.7ล./ติดเชื้อเพิ่ม5
https://www.matichon.co.th/politics/news_2390398
“ผลพวงของการโฆษณาชวนเชื่อแบบเก่าเป็นอันตรายกับสังคมไทยมาก ในช่วงสิบกว่าปีที่ผ่านมาบ้านเมืองจึงเต็มไปด้วยความขัดแย้ง ความเกลียดชัง ความเข้าใจผิดๆ ถูกๆ สีดำสีขาวกลายเป็นสีเทา เกิดขั้วข้างทางการเมือง
การที่รัฐบาลมีการโฆษณาชวนเชื่อและปฏิบัติการข่าวสารด้านเดียวไม่ได้ทำให้รัฐบาลแบ่งแยกแล้วปกครองได้ง่ายขึ้น เพราะยิ่งจะซ้ำเติมปัญหาและสร้างความขัดแย้งจากความเห็นต่างไม่สิ้นสุดจนเกิดความเกลียดชังซึ่งกันและกันอย่างถาวร และถึงวันหนึ่งจะรับมือไม่ไหว หากผู้คนหนีไปจากข้อเท็จจริงไปสู่มายาคติที่สร้างความเกลียดชังและแปลกแยกจนนำไปสู่ความรุนแรงทางสังคม จากการยุยงส่งเสริมและปั่นหัวโฆษณาชวนเชื่อของรัฐ” นายเมธา กล่าว
แนวโน้มไม่สดใสนัก! อินเดียลดนำเข้ายางพาราไทย 3 ปี หันซื้อเวียดนาม-มาเลเซีย ซ้ำลุยปลูกใช้เอง
https://www.khaosod.co.th/economics/news_5095757
แนวโน้มไม่สดใสนัก! อินเดียลดนำเข้ายางพาราไทย 3 ปี หันซื้อเวียดนาม-มาเลเซีย ซ้ำลุยปลูกใช้เอง
วันที่ 11 ต.ค.2563 น.ส.สุพัตรา แสวงศรี ผอ.สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ นครมุมไบ อินเดีย เปิดเผยว่า รมว.พาณิชย์และอุตสาหกรรมของอินเดีย กล่าวในงานสัมมนาของคณะกรรมการยางของอินเดีย (Rubber Board) ว่าอินเดียกำลังประสบปัญหา การผลิตยางธรรมชาติ (Natural Rubber: NR) ไม่เพียงพอต่อความต้องการ ของภาคอุตสาหกรรม ประกอบกับการแข่งขันด้านราคากับผู้ผลิตยางในตลาดโลกด้วย โดยรัฐบาลได้ขอให้สมาคมผู้ปลูกยาง พยายามส่งเสริมการลดต้นทุนและเพิ่มผลผลิตต่อไร่โดยใช้เทคโนโลยี
" พื้นที่เพาะปลูกในอินเดียมีศักยภาพในการผลิตยางธรรมชาติได้มากกว่า 1 ล้านตันต่อปี แต่ในช่วงปี 2562-63 ผลิตยางได้เพียง 7.12 แสนตันเท่านั้น ไม่เพียงพอต่อความต้องการใช้ที่ประมาณ 1.2 ล้านตัน ส่งผลให้เกิดช่องว่างที่ต้องนำเข้ายางจาก ต่างประเทศโดยไม่จำเป็นปีละประมาณปีละ 4-5 แสนตัน ทั้งนี้ผลิตภาพและต้นทุนการผลิตยางของอินเดียยังมีข้อจำกัดด้าน ทักษะของชาวสวนยางที่ทำให้เกิดการสูญเสียหลังการเก็บเกี่ยวสูง และมีพื้นที่เพาะปลูกกว่า 24% ที่ยังไม่ได้รับการพัฒนาเท่าที่ควร ซึ่งอินเดียจะยกระดับการเกษตรให้สามารถผลิตได้เต็มศักยภาพ รองรับการผลิตยางล้อที่กาลังเติบโต "
น.ส.สุพัตรา กล่าวต่อว่า ดังนั้นหากอินเดียสามารถยกระดับผลิตภาพการปลูกยางพาราได้ การส่งออกยางธรรมชาติจากไทยไปอินเดียอาจมีแนวโน้มไม่สดใสนัก โดยปัจจุบัน ยางพาราจากไทยมีสัดส่วนประมาณ 7.57% ในการนำเข้าของอินเดียและลดลงต่อเนื่อง 3 ปี ในขณะที่คู่แข่งสำคัญอย่างเวียดนาม และ มาเลเซีย มีการขยายตัวต่อเนื่อง เนื่องจากความได้เปรียบด้านราคาและปริมาณที่สามารถส่งมอบได้ ในขณะที่รัฐบาลไทยได้พยายามเจรจาขอลดอากรนำเข้าแล้ว แต่เป็นไปได้ยากเนื่องจากยางเป็นสินค้าที่อ่อนไหวทางการเมืองสำหรับอินเดียด้วย
" อย่างไรก็ตามสินค้าที่ไทยพอมีโอกาสในการขยายตลาดในอินเดียคือ ยางสังเคราะห์จากปิโตรเคมีหรือโพลิบิวทาไดอีน (Butadiene Rubber: BR) ซึ่งไทยเป็นแหล่งนำเข้าในอันดับที่ 15 ของอินเดีย แต่ก็มีสัดส่วนการนำเข้าจากไทยเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง 3 ปี แม้ว่าอินเดียจะพยายามผลิตยางสังเคราะห์เองและขึ้นภาษีนำเข้ายางประเภทนี้เป็น 10% แต่อินเดียก็น่าจะยังต้องนำเข้ายางสังเคราะห์ไปใช้ในการผลิตยางล้อในช่วง 1-2 ปีที่อินเดียกำลังยกระดับการผลิต
โดยเฉพาะล้อรถที่ใช้งานหนัก อาทิ รถกระบะ รถบรรทุก รถบัส และ รถแทรกเตอร์ในระยะยาว คาดว่าตลาดมีแนวโน้มจะเปลี่ยนจากการใช้ยางที่ทำจากปิโตรเคมีเป็นยางที่สังเคราะห์จากสารชีวภาพ หรือบิวทาไดอีนชีวภาพ เพื่อให้ยางล้อที่หมดอายุการใช้งานแล้วสามารถนำมาหมุนเวียนกลับมาใช้ใหม่ได้ ซึ่งจะเป็นโอกาสของผู้ผลิตที่มีการ เรียนรู้เทคโนโลยีเพื่อสิ่งแวดล้อม รวมถึงเกษตรกรไทยในเครือข่ายการผลิต "