จากกรณีการกระทำรุนแรงกับเด็กระดับอนุบาลในโรงเรียนเครือดังแห่งหนึ่งที่กลายเป็นข่าวดังไปทั่วประเทศ ทำให้ผู้เขียนได้มีโอกาสได้หยิบยกประเด็นนี้ขึ้นมาเป็นหัวข้อสนทนากับมิตรสหายผู้ไม่ขอเปิดเผยนามท่านหนึ่ง โดยเค้าถือโอกาศนี้เล่าถึงประสบการณ์กระทำรุนแรงในสมัยที่คนเองยังเป็นนักเรียนมัธยมต้น
เนื้อหาที่เขียนนี้มาจากการสัมภาษณ์หรือบทสนทนาจริง แต่ได้นำมาเขียนจัดเรียงใหม่ให้อยู่ในรูปแบบที่ได้อัครสในการอ่านจึงมีแต่งเติมคำพูดและใช้คำหยาบในบางช่วงประกอบการเขียน
พอจบชั้นประถมก็ต้องไปสอบเข้า ม.ต้นใช่มะ แล้วก็ตามค่านิยมสามัญคือต้องสอบเข้าโรงเรียนดังมีชื่อเสียงให้ได้ เพื่อที่จะได้เรียนกับอาจารย์ดี ๆ สอนเก่ง ๆ จะได้สอบเอ็นเข้ามหาลัยดัง ๆ ได้ต่อไป สมัยนี้ไม่มีเอ็นทรานแล้วใช่มะ เด็กสมัยนี้

โคตรซวยอะ
ทีนี้ตูก็ไปสอบกับเค้าเหมือนกัน ได้เข้า ม.ต้น ได้ที่โรงเรียนดังแห่งหนึ่ง ส่วนตัวแล้วตูคิดตัวเองไม่ได้สอบติดหรอก คือตอนนั้นโรงเรียนนั้นกำลังเปิดสาขาใหม่ไงเค้าก็ต้องการนักเรียนไปเข้าที่นั้นใช่มะ ตูคิดว่าทางโรงเรียนเอาพวกนักเรียนที่สอบได้ไม่ถึงเกณฑ์ไปลงในประกาศสอบติดที่โรงเรียนสาขาใหม่มากกว่า
แต่โรงเรียนดังก็คือโรงเรียนดัง ต่อให้เป็นสาขาใหม่เอี่ยมหรืออะไรก็ตามก็โอเคสำหรับเหล่าผู้ปกครองทั้งนั้นล่ะ ตูนี่รุ่นแรกเลยน่ะโว๊ย อย่างเท่ ในตอนนั้นก็คิดไปง่าย ๆ ว่าได้เรียนโรงเรียนดังสาขาย่อยเป็นรุ่นแรกนี่มันต้องเป็นอะไรที่เจ็งเป๋งสุด ๆ
แล้วความจริงคืออะไรรู้ไหม โรงเรียน

ตั้งอยู่ไกล

ตรงที่โรงเรียนตั้งอยู่มันมีสะพานข้ามคลองอยู่ใกล้ ๆ คือแค่ข้ามสะพานไปก็ออกนอกปริมณฑลเข้าเขตต่างจังหวัดแล้ว แล้วอาคารเรียนในตอนนั้นก็ยังแค่อาคารชั่วคราวชั้นเดียวมีห้องประมาณ 6-8 ห้อง ห้องน้ำแยกต่างหากอยู่นอกอาคารเรียน แล้วก็มีอาคารเอนกประสงค์อีกหลังที่สร้างด้วยโครงเหล็ก อาคารนี้ถูกใช้เป็นทั้งโรงอาหาร อาคารเรียนและอาคารกิจกรรม
โดยรวมแล้ว อารมรณ์

ภูธร

ๆ การเดินทาง

ก็โคตรลำบาก ไม่มีรถเมล์ไหนวิ่งผ่านโรงเรียนเลย ต้องเดินทางด้วยรถ บขส ที่ให้บริการวิ่งข้ามจังหวัดเท่านั้น แล้วรถพวกนี้

โคตรนานมาที แถมคนยังแน่นอีก ลองนึกภาพดู เด็ก ม.ต้นสะพานเป้หลังที่ยัดหนังสือเรียนเต็มเอียดยืนเกาะราวชั่วโมงกว่า ๆ เพื่อไปโรงเรียน ครั้งหนึ่งนั้นคือตู
แล้วสมัยนั้นไม่มีหรอกการใช้มือถือเข้า net หาอะไรอ่านฆ่าเวลาตอนเดินทาง
ไอ้พวกที่บ่น ๆ ว่าคนสมัยนี้

ขึ้นรถแล้วเอาแต่ก้มหน้ามองจออย่างเดียวน่ะ ตูอยากจะถามว่าพวกได้ขึ้นรถขนส่งสาธารณะในช่วงเร่งด่วนครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ ไอ้การที่ได้แต่ยืนนิ่ง ๆ อัดเป็นปลากระป๋องในระบบขนส่งอันอบอวนไปด้วยกลิ่นเหงื่อ กลิ่นผมเปียกฝนหรือกลิ่นต่าง ๆ นี่มันน่ารื่นรมย์ชวนชมบรรยากาศนักรึไง
ระหว่างที่ยืนขาแข็งอัดเป็นปลากระป๋องอยู่นั้น มือถือที่ต่อกับ internet นั้นช่วยให้ลืมเรื่องแย่ ๆ พวกนี้ได้บ้าง
ถ้าสมัยนั้นมีมือถือและ internet บ้าง ชีวิตการไปโรงเรียนของตูคงโสภากว่านี้
ในปีแรกของการเรียนถึงอะไรหลาย ๆ อย่างจะไม่พร้อมแต่โดยรวมก็ถือว่าผ่านมาได้ด้วยดี ถึงจะเป็นโรงเรียนสาขาใหม่แต่บุคลากรครูถือว่าโอเคทีเดียว การตียังมีอยู่บ้างตามค่านิยมในสมัยนั้นแต่ต้องบอกเลยว่าน้อยครั้งมากและแต่ละครั้งเป็นการตีเพื่อให้รู้ว่าเป็นการทำโทษ ไม่ใช่เพื่อแสดงอำนาจ ระบายอารมณ์หรือความสะใจ อะไรทำนองนั้น
จนกระทั้งปีที่ 2 ของโรงเรียนก็มีอาจารย์คนใหม่บรรจุเข้ามา
อาจารย์คนนี้รูปร่างอ้วน มักใส่ชุดผ้าไหม ผมน้อยมากจนเกือบล้าน
นายเล่น Witcher 3 อยู่ใช่ไหม จำตัวละคร Dijkstra(ดิจทรา) ได้ไหม รูปร่างแบบนั้นเลยแต่เอาหัวแบบขุนช้างไปใส่แทน
การมาของอาจารย์คนนี้ทำให้ไม่นานโรงเรียนก็อยู่ในบรรยากาศอึมครึม
สาเหตุคืออาจารย์คนนี้มีแนวคิดอำนาจนิยมต่อเด็กอย่างสูง เคยจำได้ไหมที่เค้าเคยสอนมารยาทนักเรียนพวก เดินผ่านต้องย่อเดินผ่าน เจอหน้าต้องสวัสดี กิริยามารยาทอันดีงาม อะไรทำนองนี้ เด็กคนคนไหนที่เข้าใกล้หรือผ่านหน้าแกแล้วไม่ทำตาม “มารยาทอันดีงาม” ละก็แกจะโกรธหัวฟัดหัวเหวียงเลยและนั้นจะนำมาสู่การลงโทษ และแกมีวิธีลงโทษวิธีเดียวคือตี
การตีของอาจารย์คนนี้ไม่เหมือนกับสิ่งที่เหล่าอาจารย์เคยทำมา ใช้คำว่าอะไรดี "เต็มวงสวิง" น่าจะเหมาะ มันไม่ใช่การตีเพื่อตักเตือนหรือเพื่อให้รู้ว่าผิด การตีทุกครั้งของอาจารย์คนนี้คือตีเต็มแรงเสมอ ทำให้ทุกครั้งที่แกตีจะมีเสียงหวดไม้เรียวดังลั่นเสมอและเสียงเด็ก ๆ ก็จะเงียบหายไปในเวลาเดียวกัน
เหมือนกับว่าสำหรับแก การตีมีเพื่อแสดงอำนาจ ระบายอารมณ์หรือความสะใจ โดยมีเด็กเป็นที่รองรับ
ต่อมาการตีก็เริ่มเกิดบ่อยขึ้นเรื่อย ๆ ด้วยความผิดต่าง ๆ นานา เช่น ไม่ส่งการบ้าน, ไม่ได้เอาการบ้านหรือหนังสือมา, ตอบคำถามหน้าชั้นไม่ถูก บรา ๆ แล้วทุกครั้งที่มีการตีเสียงก็จะดังไปถึงห้องอื่น ๆ ด้วย
“เรียนไปกลัวไป” น่าจะเป็นการอธิบายสถานการณ์ตอนนั้นได้ดีที่สุด
ทีนี้ทุกโรงเรียนย่อมมีเด็กตัวแสบหรือพวกหัวโจกเสมอ ที่นี่ก็เช่นกันและนี่ทำให้เด็กตัวแสบหรือพวกหัวโจกเหล่านี้ต้องโดยไม้เรียวจากอาจารย์คนนี้บ่อย ๆ รวมถึงการโดนเพ่งเล็งเป็นพิเศษ
จำได้ว่าตอนเช้าวันหนึ่งเด็กหัวโจกคนหนึ่งลงจากรถเดินมาที่โรงอาหาร อาจารย์นั่งอยู่ในโรงอาหารเช่นกันเรียกเด็กคนนี้ให้เข้าไปหาเพื่อค้นกระเป๋า แล้วไม่รู้ว่าเพราะอะไรอาจารย์แกก็ให้เด็กกอดอกแล้วใช้ไม้เรียวหวดเต็มวงสวิงแบบไม่ยั้งมือ เสียงตีทำให้โรงอาหารที่คึกคักเงียบไปถนัด
อีกครั้งที่จำได้คือตอนกำลังเรียนอยู่ในอาคารเอนกประสงค์ โรงอาหารนั้นล่ะ ถ้าจำไม่ผิดคือเด็กคนเดิมกับที่เล่าไปก่อนหน้า
รู้สึกว่าจะเพราะไม่ได้ทำการบ้านส่งหรือลืมเอาการบ้านมานี่ละ เสียงตีนี่ดังก้องอาคารเลย แต่ครั้งนี้พิเศษเพราะจำได้ว่าสีหน้าเด็กที่ถูกตีนั้น ไม่มีความกลัว ไม่มีความเจ็บปวด แต่เป็นสีหน้าที่เรียบเฉยแต่รู้ได้ว่ากำลังแค้นสุด ๆ
หลังจากนั้นไม่นานจู่ ๆ อาจารย์แกก็หายไป ไม่มีการประกาศหน้าเสาธงถึงเรื่องของอาจารย์อะไรทั้งนั้น
ต่อมาได้ข่าวว่าแกออกไปเอง ไม่รู้ว่าลาออกหรือแค่ย้ายโรงเรียนหรืออะไร
แต่ก็ได้ยินมาว่าแก “โดนเล่น”
จำได้ไหมว่าห้องน้ำนั้นตั้งอยู่นอกอาคารเรียน
เรื่องที่ได้ยินคือ ตอนที่อาจารย์คนนี้แกเข้าห้องน้ำมีใครไม่รู้ไปขัดประตูจากด้านนอกไว้ทำให้ออกไม่ได้ เห็นว่าแกตะโกนร้อง “ช่วยกูด้วย” ดังลั่นเลย
ไม่รู้เหมือนกันว่าเรื่องนั้นจริงรึเปล่าแต่การที่อาจารย์แกหายไปเฉย ๆ นั้นคือความจริง แถมยังน่าสังเกตว่าทำไหมตอนนั้นอาจารย์ใหญ่และกลุ่มอาจารย์ผู้ก่อตั้งโรงเรียนสาขานี้จู่ ๆ ก็กลับมาสอนอยู่พักใหญ่ ๆ
ส่วนตัวแล้วคิดว่าคงมาเพื่อระงับสถานะการณ์ไม่ให้บานปลาย
หลังจากจบมาก็ย้ายไปเรียนโรงเรียนอื่นที่ใกล้และเดินทางสะดวกขึ้น โรงเรียนนี้ก็ค่อย ๆ กลายเป็นเพียงความทรงจำไป
ที่น่าขันคือความทรงจำที่ชัดเจนที่สุด ไม่ใช่ชีวิตการเรียน ไม่ใช่เพื่อน ๆ ไม่ใช่เหล่าอาจารย์ ไม่ใช่การที่เพื่อนโดดเตะโอเวอร์เฮดคิกทำประตูสุดสวยในการแข่งกีฬาสี
แต่เป็นเสียงไม้เรียวที่หวดสุดแรงในโรงอาหารวันนั้น
ปล.ตอนนี้ผมได้เปิด Facebook Page “บทความตามใจฉัน”
โดยบทความจะหลายหลากคละประเภทกันไปความตามความสนใจนั้นขณะนั้น ถ้าสนใจก็กดติดตามได้ครับ
https://www.facebook.com/uptomejournal/
บทความตามใจฉัน “เรื่องเล่าความรุนแรงในโรงเรียน”
เนื้อหาที่เขียนนี้มาจากการสัมภาษณ์หรือบทสนทนาจริง แต่ได้นำมาเขียนจัดเรียงใหม่ให้อยู่ในรูปแบบที่ได้อัครสในการอ่านจึงมีแต่งเติมคำพูดและใช้คำหยาบในบางช่วงประกอบการเขียน
พอจบชั้นประถมก็ต้องไปสอบเข้า ม.ต้นใช่มะ แล้วก็ตามค่านิยมสามัญคือต้องสอบเข้าโรงเรียนดังมีชื่อเสียงให้ได้ เพื่อที่จะได้เรียนกับอาจารย์ดี ๆ สอนเก่ง ๆ จะได้สอบเอ็นเข้ามหาลัยดัง ๆ ได้ต่อไป สมัยนี้ไม่มีเอ็นทรานแล้วใช่มะ เด็กสมัยนี้
ทีนี้ตูก็ไปสอบกับเค้าเหมือนกัน ได้เข้า ม.ต้น ได้ที่โรงเรียนดังแห่งหนึ่ง ส่วนตัวแล้วตูคิดตัวเองไม่ได้สอบติดหรอก คือตอนนั้นโรงเรียนนั้นกำลังเปิดสาขาใหม่ไงเค้าก็ต้องการนักเรียนไปเข้าที่นั้นใช่มะ ตูคิดว่าทางโรงเรียนเอาพวกนักเรียนที่สอบได้ไม่ถึงเกณฑ์ไปลงในประกาศสอบติดที่โรงเรียนสาขาใหม่มากกว่า
แต่โรงเรียนดังก็คือโรงเรียนดัง ต่อให้เป็นสาขาใหม่เอี่ยมหรืออะไรก็ตามก็โอเคสำหรับเหล่าผู้ปกครองทั้งนั้นล่ะ ตูนี่รุ่นแรกเลยน่ะโว๊ย อย่างเท่ ในตอนนั้นก็คิดไปง่าย ๆ ว่าได้เรียนโรงเรียนดังสาขาย่อยเป็นรุ่นแรกนี่มันต้องเป็นอะไรที่เจ็งเป๋งสุด ๆ
แล้วความจริงคืออะไรรู้ไหม โรงเรียน
โดยรวมแล้ว อารมรณ์
แล้วสมัยนั้นไม่มีหรอกการใช้มือถือเข้า net หาอะไรอ่านฆ่าเวลาตอนเดินทาง
ไอ้พวกที่บ่น ๆ ว่าคนสมัยนี้
ระหว่างที่ยืนขาแข็งอัดเป็นปลากระป๋องอยู่นั้น มือถือที่ต่อกับ internet นั้นช่วยให้ลืมเรื่องแย่ ๆ พวกนี้ได้บ้าง
ถ้าสมัยนั้นมีมือถือและ internet บ้าง ชีวิตการไปโรงเรียนของตูคงโสภากว่านี้
ในปีแรกของการเรียนถึงอะไรหลาย ๆ อย่างจะไม่พร้อมแต่โดยรวมก็ถือว่าผ่านมาได้ด้วยดี ถึงจะเป็นโรงเรียนสาขาใหม่แต่บุคลากรครูถือว่าโอเคทีเดียว การตียังมีอยู่บ้างตามค่านิยมในสมัยนั้นแต่ต้องบอกเลยว่าน้อยครั้งมากและแต่ละครั้งเป็นการตีเพื่อให้รู้ว่าเป็นการทำโทษ ไม่ใช่เพื่อแสดงอำนาจ ระบายอารมณ์หรือความสะใจ อะไรทำนองนั้น
จนกระทั้งปีที่ 2 ของโรงเรียนก็มีอาจารย์คนใหม่บรรจุเข้ามา
อาจารย์คนนี้รูปร่างอ้วน มักใส่ชุดผ้าไหม ผมน้อยมากจนเกือบล้าน
นายเล่น Witcher 3 อยู่ใช่ไหม จำตัวละคร Dijkstra(ดิจทรา) ได้ไหม รูปร่างแบบนั้นเลยแต่เอาหัวแบบขุนช้างไปใส่แทน
การมาของอาจารย์คนนี้ทำให้ไม่นานโรงเรียนก็อยู่ในบรรยากาศอึมครึม
สาเหตุคืออาจารย์คนนี้มีแนวคิดอำนาจนิยมต่อเด็กอย่างสูง เคยจำได้ไหมที่เค้าเคยสอนมารยาทนักเรียนพวก เดินผ่านต้องย่อเดินผ่าน เจอหน้าต้องสวัสดี กิริยามารยาทอันดีงาม อะไรทำนองนี้ เด็กคนคนไหนที่เข้าใกล้หรือผ่านหน้าแกแล้วไม่ทำตาม “มารยาทอันดีงาม” ละก็แกจะโกรธหัวฟัดหัวเหวียงเลยและนั้นจะนำมาสู่การลงโทษ และแกมีวิธีลงโทษวิธีเดียวคือตี
การตีของอาจารย์คนนี้ไม่เหมือนกับสิ่งที่เหล่าอาจารย์เคยทำมา ใช้คำว่าอะไรดี "เต็มวงสวิง" น่าจะเหมาะ มันไม่ใช่การตีเพื่อตักเตือนหรือเพื่อให้รู้ว่าผิด การตีทุกครั้งของอาจารย์คนนี้คือตีเต็มแรงเสมอ ทำให้ทุกครั้งที่แกตีจะมีเสียงหวดไม้เรียวดังลั่นเสมอและเสียงเด็ก ๆ ก็จะเงียบหายไปในเวลาเดียวกัน
เหมือนกับว่าสำหรับแก การตีมีเพื่อแสดงอำนาจ ระบายอารมณ์หรือความสะใจ โดยมีเด็กเป็นที่รองรับ
ต่อมาการตีก็เริ่มเกิดบ่อยขึ้นเรื่อย ๆ ด้วยความผิดต่าง ๆ นานา เช่น ไม่ส่งการบ้าน, ไม่ได้เอาการบ้านหรือหนังสือมา, ตอบคำถามหน้าชั้นไม่ถูก บรา ๆ แล้วทุกครั้งที่มีการตีเสียงก็จะดังไปถึงห้องอื่น ๆ ด้วย
“เรียนไปกลัวไป” น่าจะเป็นการอธิบายสถานการณ์ตอนนั้นได้ดีที่สุด
ทีนี้ทุกโรงเรียนย่อมมีเด็กตัวแสบหรือพวกหัวโจกเสมอ ที่นี่ก็เช่นกันและนี่ทำให้เด็กตัวแสบหรือพวกหัวโจกเหล่านี้ต้องโดยไม้เรียวจากอาจารย์คนนี้บ่อย ๆ รวมถึงการโดนเพ่งเล็งเป็นพิเศษ
จำได้ว่าตอนเช้าวันหนึ่งเด็กหัวโจกคนหนึ่งลงจากรถเดินมาที่โรงอาหาร อาจารย์นั่งอยู่ในโรงอาหารเช่นกันเรียกเด็กคนนี้ให้เข้าไปหาเพื่อค้นกระเป๋า แล้วไม่รู้ว่าเพราะอะไรอาจารย์แกก็ให้เด็กกอดอกแล้วใช้ไม้เรียวหวดเต็มวงสวิงแบบไม่ยั้งมือ เสียงตีทำให้โรงอาหารที่คึกคักเงียบไปถนัด
อีกครั้งที่จำได้คือตอนกำลังเรียนอยู่ในอาคารเอนกประสงค์ โรงอาหารนั้นล่ะ ถ้าจำไม่ผิดคือเด็กคนเดิมกับที่เล่าไปก่อนหน้า
รู้สึกว่าจะเพราะไม่ได้ทำการบ้านส่งหรือลืมเอาการบ้านมานี่ละ เสียงตีนี่ดังก้องอาคารเลย แต่ครั้งนี้พิเศษเพราะจำได้ว่าสีหน้าเด็กที่ถูกตีนั้น ไม่มีความกลัว ไม่มีความเจ็บปวด แต่เป็นสีหน้าที่เรียบเฉยแต่รู้ได้ว่ากำลังแค้นสุด ๆ
หลังจากนั้นไม่นานจู่ ๆ อาจารย์แกก็หายไป ไม่มีการประกาศหน้าเสาธงถึงเรื่องของอาจารย์อะไรทั้งนั้น
ต่อมาได้ข่าวว่าแกออกไปเอง ไม่รู้ว่าลาออกหรือแค่ย้ายโรงเรียนหรืออะไร
แต่ก็ได้ยินมาว่าแก “โดนเล่น”
จำได้ไหมว่าห้องน้ำนั้นตั้งอยู่นอกอาคารเรียน
เรื่องที่ได้ยินคือ ตอนที่อาจารย์คนนี้แกเข้าห้องน้ำมีใครไม่รู้ไปขัดประตูจากด้านนอกไว้ทำให้ออกไม่ได้ เห็นว่าแกตะโกนร้อง “ช่วยกูด้วย” ดังลั่นเลย
ไม่รู้เหมือนกันว่าเรื่องนั้นจริงรึเปล่าแต่การที่อาจารย์แกหายไปเฉย ๆ นั้นคือความจริง แถมยังน่าสังเกตว่าทำไหมตอนนั้นอาจารย์ใหญ่และกลุ่มอาจารย์ผู้ก่อตั้งโรงเรียนสาขานี้จู่ ๆ ก็กลับมาสอนอยู่พักใหญ่ ๆ
ส่วนตัวแล้วคิดว่าคงมาเพื่อระงับสถานะการณ์ไม่ให้บานปลาย
หลังจากจบมาก็ย้ายไปเรียนโรงเรียนอื่นที่ใกล้และเดินทางสะดวกขึ้น โรงเรียนนี้ก็ค่อย ๆ กลายเป็นเพียงความทรงจำไป
ที่น่าขันคือความทรงจำที่ชัดเจนที่สุด ไม่ใช่ชีวิตการเรียน ไม่ใช่เพื่อน ๆ ไม่ใช่เหล่าอาจารย์ ไม่ใช่การที่เพื่อนโดดเตะโอเวอร์เฮดคิกทำประตูสุดสวยในการแข่งกีฬาสี
แต่เป็นเสียงไม้เรียวที่หวดสุดแรงในโรงอาหารวันนั้น
ปล.ตอนนี้ผมได้เปิด Facebook Page “บทความตามใจฉัน”
โดยบทความจะหลายหลากคละประเภทกันไปความตามความสนใจนั้นขณะนั้น ถ้าสนใจก็กดติดตามได้ครับ
https://www.facebook.com/uptomejournal/