อยากเรียน ป.โท แค่เพราะอยากเรียน ไม่ได้คิดว่าจะเอาไปใช้ประโยชน์อะไร ควรเรียนไหม?

ความคิดอยากเรียน ป.โท ของเรามันมีมาหลายปีแล้ว แต่ตอนนี้ก็ยังไม่ได้เรียน ปัจจุบันเราทำงานเกี่ยวกับการเงินในหน่วยงานรัฐ แต่ก็เพิ่งได้แตะงานการเงิน ก่อนหน้านี้ทำงานเกี่ยวกับการจัดการบุคคลมาตลอด (แต่ไม่ชอบ) เราคิดจะเรียน MBA (ไม่ได้อยากสักเท่าไหร่หรอก แต่คิดว่ามันเกี่ยวข้องกับงานที่ทำอยู่ในปัจจุบันที่สุดแล้ว ถ้าเลือกคณะได้ตามใจชอบ เราคงเลือกเรียนพวกศิลปะหรือคอมพิวเตอร์) เหตุผลที่อยากเรียนก็มีหลายอย่าง (แต่อาจไม่ดีสักอย่าง) เช่น

1. อยากเรียนให้สูงเข้าไว้ เพื่อเป็นความภูมิใจของตัวเองและครอบครัว พ่อแม่เราเรียนจบแค่ประถม-มัธยม มีลูก 3 คน แต่ลูกไม่ค่อยเอาไหนสักคน อาจเพราะถูกเลี้ยงแบบประคบประหงมและไม่ค่อยได้เผชิญความลำบาก ก็เลยเป็นพวกโลกแคบ (ไม่ได้โทษพ่อแม่ แค่คิดว่ามันมีผลต่อชีวิต) อย่างเราสมัยเรียนก็เรียนเก่งพอที่จะได้เกียรตินิยม ก็เลยคิดอยากเรียนให้สูงขึ้นอีก ในเมื่อเพื่อนๆเราหลายคนเรียนไม่เก่งเท่าเรา เขายังสามารถเรียน ป.โทได้เลย จบไปหลายคนแล้วด้วย บางคนกำลังต่อ ป.เอก ในขณะที่เรายังไม่เริ่มเรียน

2. เราใฝ่ฝันอยากเรียนที่จุฬา สมัย ป.ตรี ไม่มีโอกาสได้เรียน เพราะพ่อไม่ยอมให้ไปเรียน ม. ที่อยู่นอกจังหวัดตัวเอง แต่ตอนนี้เราทำงานที่ กทม. มีโอกาสจะสมัครเรียนจุฬาได้ ก็เลยคิดจะเข้าที่นี่ตอนเรียน ป.โท

3. เพราะที่บ้านบอกว่าจะช่วยออกค่าเรียนให้ ซึ่งก่อนหน้านี้เราติดปัญหาเรื่องค่าเรียน เราทำงานได้เงินเดือนไม่ถึง 30K เงินเก็บปีนึงรวมกันยังไม่ถึง 100K เลย ในขณะที่ค่าเรียน ป.โท จุฬามันตั้ง 300K - 400K เราไม่ได้เก่งพอที่จะสอบชิงทุน ถึงจะเรียนได้เกียรตินิยมตอน ป.ตรี ก็เถอะ แต่พอไปสอบ Toeic , Cu-tep , Cu-best ปรากฎว่าได้คะแนนต่ำมาก รู้สึกโง่เลย ส่วนพ่อแม่เราพอมีฐานะ มีธุรกิจส่วนตัว แต่ก็ไม่สนับสนุนให้เราเรียน เพราะพวกเขาคิดว่ามันไม่มีประโยชน์ สู้ทำงานหาเงินไม่ได้ แต่ตอนนี้พวกเขาบอกว่าถ้าเราอยากเรียน ก็จะช่วยออกเงินให้ แต่ต้องเรียนคณะที่เรียนแล้วใช้ประโยชน์ได้นะ (เราจึงคิดจะเรียน MBA)

4. เพราะเราหาคนที่จะมาช่วยเขียนหนังสือรับรองให้เราได้แล้ว การสมัคร ป.โท ใน ม.ดังๆ แทบทุกที่ต้องใช้หนังสือ recommendation จากผู้รับรอง อาจเป็นเจ้านายหรือ อ.ที่ปรึกษา สำหรับเราที่เรียนจบ ป.ตรี มาเกือบ 10 ปีแล้ว คิดว่าให้เจ้านายรับรองจะเหมาะสมกว่า (อ.ที่ปรึกษาคงจำเราไม่ได้แล้ว เราไม่สนิทกับ อ.สักคน) แต่ก่อนหน้านี้เรามีปัญหากับเจ้านายหนักมาก ถึงขั้นไม่คุยกัน เราจึงไม่มีหน้าจะไปขอให้เขาช่วยเขียนรับรองให้เรา ปัจจุบันเราเปลี่ยนเจ้านายใหม่แล้ว และเจ้านายคนนี้ก็รู้จักเรามาเป็นปีๆ เพราะเราก็ยังทำอยู่หน่วยงานเดิม แค่เปลี่ยนแผนก ตอนยังไม่เปลี่ยนแผนกเราก็เคยประสานงานกับเขาหลายครั้ง และเขาก็ชื่นชมเราอยู่ จึงคิดว่าเป็นโอกาสดีที่จะให้เขาช่วยรับรองเรา รีบให้เขาช่วยตั้งแต่เนิ่นๆดีกว่า เพราะไม่รู้ว่าในอนาคตเรากับเขาจะมีปัญหาต่อกันเหมือนกับเจ้านายคนก่อนอีกไหม

5. เรารู้สึกว่าชีวิตเราล้มเหลว อยากยกระดับขึ้นมาบ้าง ตอนนี้ก็ทำงานไปวันๆ เลิกงานก็กลับมาเล่นเกม/ดูทีวี วันหยุดก็ไม่ออกไปไหน เพราะขี้เกียจ ไม่อยากเสียค่าเดินทาง อย่าถามว่า passion ของเราคืออะไร เพราะเราตอบไม่ได้ เราไม่ได้อยากก้าวขึ้นเป็นหัวหน้าหรือผู้บริหาร เพราะเราไม่ชอบคุมคน นิสัยปกติก็ไม่ชอบสุงสิงกับใครอยู่แล้ว พอมาทำงานด้านจัดการคนจึงยิ่งรู้ว่าไม่ชอบคน อย่างมากเราก็แค่อยากเป็นผู้เชี่ยวชาญในงานด้านใดด้านหนึ่ง หรือเปิดธุรกิจเล็กๆ ที่สามารถลุยคนเดียวหรือใช้คนแค่ไม่กี่คน หรือคิดว่าสักวันหนึ่งจะได้กลับไปทำงานใกล้บ้าน เพราะอยากอยู่ใกล้ครอบครัว อยากมีความสุขในการทำงาน ประมาณนี้ (แต่ตอนนี้สิ่งที่ฝันมันยังเป็นได้แค่ความฝัน) ชีวิตเราดูเรียบมาก และก็ดูกลวงเหมือนไม่มีอะไร ไม่เคยได้ไปเที่ยวต่างประเทศด้วยซ้ำ (ในขณะที่เพื่อนๆได้ไปกัน) ถ้าเราจะสามารถทำอะไรเพื่อให้ชีวิตดีขึ้นได้ ก็คงจะเป็นการเรียนต่อ

ตอนนี้เราคิดออกแค่นี้ ตอนนี้เราไม่รู้หรอกว่าถ้าเรียน ป.โท แล้วจะเอาไปใช้ประโยชน์อะไร เพราะงานที่ทำอยู่ตอนนี้ไม่ต้องใช้ความรู้ระดับ ป.โท เลย แถมไม่ต้องใช้ภาษาอังกฤษ (เราเป็นคนไม่เก่งภาษาอังกฤษ เรียนพอได้ แต่ใช้จริงไม่ค่อยได้) แต่คิดว่าบางทีเราอาจรู้หลังจากเข้าเรียนแล้วก็ได้ว่าจะเอาไปใช้ประโยชน์อะไร และเราก็คิดด้วยว่าเราต้องเจอปัญหาอะไรบ้างหากคิดเรียน ป.โท ซึ่งก็หลายปัญหาอยู่ เช่น

1. ต้องใช้ชีวิตเหนื่อยมากขึ้นตั้งแต่ก่อนได้เรียน เพราะเวลาหนึ่งวันจะไม่ได้แค่หมดไปกับการทำงาน แต่ต้องอ่านหนังสือมากมายเพื่อเตรียมสอบเข้า เราอยากเข้าจุฬา ต้องสอบ Cu-tep , Cu-best ก่อนหน้านี้เคยสอบแล้วคะแนนไม่ดีเลย แถมยังเคยไปติวกับพวกติวเตอร์จุฬาด้วย แต่คะแนนก็ยังแย่อยู่ ถ้าอยากเรียนที่นี่จริงๆคงต้องทำการบ้านหนักสุดๆ (ไม่คิดจะไปติวแล้ว เปลืองเงิน แถมตอนติวก็ไม่ได้รู้เรื่องสักเท่าไหร่ด้วย) เราเลิกงานกลับถึงห้องประมาณ 18.30-20.00 น. กว่าจะกินข้าว อาบน้ำ ดูทีวีผ่อนคลายตัวเองเสร็จ เหลือเวลาอีกนิดเดียวก็ต้องนอนแล้ว เพราะเราเป็นพวกอดนอนไม่ได้ ต้องตื่น 6.00 น.(ก็ไม่เช้าเกิน) ถ้านอนน้อยหรืออดนอนมักจะไปน็อคในที่ทำงาน ทำให้เสียงานเสียการ ดังนั้นเวลาที่จะอ่านหนังสือเตรียมสอบได้จึงมีน้อย (ยังไม่นับในกรณีที่วันไหนรู้สึกขี้เกียจหรือมีธุระ ที่ทำให้ไม่ได้อ่าน)

2. สอบสัมภาษณ์ มันคงลำบากสำหรับเรา เพราะว่าเราคงตอบไม่ได้ว่าเรียนแล้วจะเอาไปใช้ประโยชน์อะไร ตอบไม่ได้ว่า passion ของตัวเองคืออะไร ตอบไม่ได้ว่าจะทำวิจัยเรื่องอะไร (การเรียน ป.โท ต้องทำวิจัยด้วย อย่างตอน ป.ตรี ก็ต้องทำโปรเจคก่อนจบ เราจำไม่ได้แล้วว่าเราผ่านมันมาได้ยังไง) ตอบไม่ได้ว่าทำไมมหาลัยถึงควรรับเราเข้าเรียน คิดว่าต้องเจอคำถามพวกนี้แน่

3. ถ้าได้เรียน ก็คงต้องใช้ชีวิตเหนื่อยกว่า ข้อ 1. อีก  เพราะปกติแค่ทำงานอย่างเดียวเราก็เหนื่อยแล้ว นี่ต้องทำงานและเรียนไปด้วย เรายังคิดไม่ออกเลยว่าจะไปรอดไหม จะเอาเวลาไหนไปผ่อนคลายตัวเอง (ไม่นับเวลานอน)

เหมือนมาตั้งกระทู้ระบาย (เรามีความสามารถในการโพสต์ยาวๆ) แต่อยากรู้ว่าเราเป็นแบบนี้แล้วจะยังมีโอกาสได้เรียน ป.โท บ้างไหม อยากเรียนจริงๆ ถึงจะยังไม่รู้ว่าเรียนไปทำไมก็เถอะ การเรียนมันยากลำบาก แต่ถ้าไม่อยากเรียน ก็คงไม่คิดหาเรื่องให้ตัวเองลำบาก
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่