👧🏻💕 THE GLOVES 2020 ถุงมือเรื่องสั้น#56 Week#15, 5 - 9 ตุลาคม "ผู้หญิงแอบเว่อร์ VS ผู้ชายเซอร์แซ่บ-ถุงมือ บุพเพ ฯ💕👦

กระทู้คำถาม
อมยิ้ม49

ถุงมือเรื่องสั้น เรื่องที่ 5 ส่งท้ายประจำสัปดาห์นี้ เป็นเรื่องความรักกุ๊กๆ กิ๊กๆ ของหนุ่มสาวครับ แถมทิ้งท้ายแหวกแนวเรื่องอื่นด้วย ^^

และเป็นเรื่องที่สมาชิกเกมถุงมือทั้งหลายควรจะต้องอ่าน! เพราะคนเขียนตั้งชื่อตัวละครละม้ายคล้ายคลึงกับชื่อพวกเราๆ ท่านๆ เป็นอันมาก หลาสยชื่อทีเดียว ไม่เว้นแม้แต่กรรมการ !!

เปิดฉากมาก็เป็นเรื่องสองหนุ่มสาวที่เคยเรียนมหาลัยเดียวกันมาเจอกันอีกครั้ง ประมาณว่าตอนเรียนเกือบเป็นแฟนกันแล้ว ดูท่าทางเหมือนจะมาสานฝันกันต่อหรือไม่ยังไม่ทราบได้ (กรรมการอ่านแค่หน้าเดียวอยู่เมื่อมาถึงตรงนี้)

เรื่องราวต่างๆ จะเป็นอย่างไรบ้างและที่สำคัญ เราทั้งหลาย ใครบ้างโดน จขถม. เอาชื่อมา "เล่น" ตามกรรมการมาดูกันครับ ^^หัวเราะหัวใจ

อมยิ้ม16

ป้ายกระดาษหลากหลายขนาดแสดงชื่อทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษถูกชูขึ้นเหนือศีรษะของกลุ่มคนที่มายืนออกันจนแน่น บริเวณโถงของสนามบิน อาคารผู้โดยสารขาเข้าระหว่างประเทศ พิมนภากวาดสายตามองไปตามแผ่นป้ายเหล่านั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า ก็ไม่มีชื่อของเธอปรากฏอยู่บนหน้ากระดาษแผ่นใด ครั้นมองไปยังกลุ่มคนที่มารอรับญาติ ก็พบเพียงคนแปลกหน้า หาได้มีเพื่อนสนิทของเธอดังเช่นที่นัดแนะกันไว้ หันรีหันขวางอยู่พักหนึ่งก็เลยตัดสินใจเดินไปซื้อซิมโทรศัพท์แล้วต่อสายถึงเพื่อนชาย เพราะมั่นใจว่ามองหาจนทั่วแล้ว

“เป็ดน้อย อยู่ไหน พิมถึงแล้วนะ รับกระเป๋าออกมาด้านนอกแล้วด้วย พิมหาเป็ดน้อยไม่เจอ”

“อ้าว ก็เป็ดไลน์ไปบอกพิมตั้งแต่เมื่อคืนแล้วนี่ ว่าไปรับไม่ได้ ประธานบริษัทนัดประชุมพิเศษวันนี้” ก้องฟ้าแจงเหตุผลที่เจ้าตัวไม่สามารถมารับได้

“เมื่อคืนพิมอยู่บนเครื่องไม่ได้เปิดไลน์น่ะ”

“จริงด้วย ลืมไปเลย เป็ดขอโทษนะพิม” น้ำเสียงของเพื่อนชายละห้อยอย่างคนสำนึกผิด

“ไม่เป็นไรนะตัวเอง พิมกลับเองได้ สบายมาก อย่าห่วง”  

“จ้า คุณหนูพิมไฮโซ เค้าขอโทษจริงๆนะตัวเอง” เสียงโทร.พูดโต้ตอบกัน

“งั้น พรุ่งนี้ค่อยเจอกันนะเป็ดน้อย แล้วทีนี้อย่าลืมอีกซะละ” เธอบอกให้เพื่อนสนิทสบายใจ 

“รับรองเลยจ้ะ คนสวย” ก้องฟ้าตอบกลับก่อนวางสาย

เมื่อรู้ว่าเพื่อนกระเทยที่สนิทไม่มารับ หญิงสาวก็จำต้องหาทางกลับบ้านด้วยตัวเอง นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ต้องเดินทางจากสนามบินเพื่อกลับบ้านเพียงลำพัง พ่อของเธอออกทุนส่งเธอไปศึกษาต่อปริญญาโทที่อเมริกาและได้ทำงานต่อที่นั่นอีกสองสามปีหลังจากที่เรียนจบปริญญาตรีคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาฯ เธอชินเสียแล้วกับการเดินทางไปไหนมาไหนด้วยตนเอง

ขณะที่กำลังหันกลับไปเพื่อเรียกรถแท็กซี่โดยสาร หญิงสาวชนเข้ากับร่างสูงใหญ่อย่างไม่ทันระวัง เงยหน้าขึ้นกำลังจะกล่าวคำขอโทษก็ต้องชะงักกับสายตาตื่นตะลึงของชายหนุ่มหน้าตาดีผู้เคราะห์ร้ายที่โดนเธอกระแทกเข้าอย่างจัง

“อุ๊ย พี่เอก” หญิงสาวร้องออกมา เมื่อมองเห็นหน้าชายหนุ่มชัดและจำเขาได้เพราะใบหน้าของชายหนุ่มไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปจากเมื่อหลายปีก่อนนัก

“ขอโทษครับ” ชายหนุ่มตั้งสติได้ก็เอ่ยปาก ทั้งที่อุบัติเหตุครั้งนี้ไม่ใช่ความผิดของเขา แต่เป็นเพราะการจ้องมองหญิงสาวตรงหน้าต่างหากที่ทำให้เขารู้สึกว่าต้องกล่าวคำนั้นออกไป

“พิมต้องเป็นฝ่ายขอโทษพี่เอกมากกว่า ขอโทษนะคะที่ไม่ทันระวัง พี่เอกเจ็บตรงไหนหรือเปล่า” พิมนภารีบขออภัย

“ผมไม่เป็นไรครับ ผมเองก็รีบจนไม่ทันระวังคุณเหมือนกัน ว่าแต่คุณรู้จักชื่อของผมด้วย  เอ่อ.. คุณใช่ คุณพิมนภา ที่เคยเรียนอยู่คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชีฯ จุฬา หรือเปล่าครับ?” เอกตะวันเอ่ยตอบอย่างสุภาพและถามหญิงสาวกลับอย่างไม่ค่อยแน่ใจ เพราะหญิงสาวที่เขาเคยรู้จักไว้ผมสั้นสีดำไม่ย้อมสีผมไม่สวมแว่นใส่ชุดสีหวานๆ น่ารักๆสไตล์วัยรุ่นสดใส แต่ผู้หญิงที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาขณะนี้กลับเป็น สาวผมยาวย้อมผมสีน้ำตาลแดงเล็กน้อยใส่แว่นสวมเสื้อโปโลกางเกงยีนส์และมีเสื้อสูทสีเข้มสวมทับ ดูทะมัดทะแมงคล่องแคล่ว และมีความมั่นใจในตัวเองสูง

“ใช่ค่ะ พิมเอง” พิมนภาตอบ  แล้วทั้งคู่ก็ยืนนิ่งสบตาจ้องกันเหมือนต้องมนต์สะกดของอีกฝ่ายอยู่ชั่วขณะหนึ่งโดยไม่สนใจสภาพแวดล้อมรอบตัว

สักครู่เมื่อได้สติและเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ได้รับบาดเจ็บกับไม่ติดใจใดๆ หญิงสาวก็เอ่ยปากขอตัวแยกไปเรียกแท็กซี่เพื่อกลับบ้าน หากสายตาของเอกตะวันกลับมองตามพิมนภาจนแท็กซี่คันนั้นไปไกลลับสายตา แล้วเอกตะวันซึ่งพึ่งแยกจากกลุ่มกรุ๊ปทัวร์ไหว้พระทำบุญพุทธสังเวชนียสถานทั้ง 4 ที่ประเทศอินเดีย-เนปาล กลับถึงไทยได้เพียงสักครู่ใหญ่ก่อนหน้านี้ ก็เดินไปเรียกรถแท็กซี่เพื่อไปยังสถานีหมอชิต2 แล้วจึงขึ้นรถปรับอากาศ กรุงเทพฯ-ลำปาง เพื่อกลับบ้านที่จังหวัดลำปางต่อไป

ระหว่างที่อยู่บนรถปรับอากาศ ความทรงจำเก่าๆ เกี่ยวกับหญิงสาวที่เขาได้พบโดยบังเอิญในวันนี้ก็เริ่มกลับคืนมา ...

เมื่อหลายปีก่อน พิมนภา ตอนเรียนปี1 เฟรชชี่ที่จุฬาฯ เธออยู่ในกลุ่มแม่มดน้อย Witch4 & The Duck ของคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชีฯ จุฬา มี เจ้ย-พิม-มุก-ต่าย และกระเทยเป็ดน้อย  ทั้ง 4 สาวเป็นคนสวยน่ารักชอบแต่งตัวสไตล์คุณหนูไฮโซ ทันสมัย ออกเปรี้ยว ยกเว้นพิมนภาคนเดียวที่แต่งตัวสไตล์เรียบร้อยน่ารักหวานๆ พวกเธอส่วนมากชอบใช้มารยาหญิงความน่ารักของพวกเธอ ปั่นหัวหลอกกินหลอกใช้พวกหนุ่มๆที่หลงเสน่ห์มาแอบชอบพวกเธอให้หัวหมุนอกหักช้ำใจกันไปคนแล้วคนเล่า แต่ก็ไม่มีใครเข็ดขยาดกัน กลับมีมาขายขนมจีบสมาชิกในกลุ่มเป็นรายใหม่อยู่ตลอดเสมอ จะว่าไปแล้วโทษพวกเธอทั้งหมดก็ไม่ได้ เพราะหนุ่มๆเหล่านั้นต่างเต็มใจยินยอมทำเพื่อพิชิตหัวใจของสาวๆเหล่านี้เอง มิได้กลัวว่าจะต้องอกหักเลย

ส่วนเอกตะวัน ตอนนั้นเขาเรียนอยู่ปี4 วิศวะจุฬาฯ เขาอยู่ในกลุ่ม กรวดกลิ้ง อันโด่งดังของคณะวิศวะจุฬาฯ มี โอ-นิล-กริช-เอก ทั้ง 4 หนุ่มเป็นชายหน้าตาดีแต่งตัวง่ายๆปอนๆเซอร์ๆ อารมณ์ดี ตลก ชอบแซวคนอื่นไปทั่วทั้งในคณะและต่างคณะ โดยเฉพาะรุ่นน้องผู้หญิงที่หน้าตาดีใช้ได้ กลุ่มกรวดกลิ้ง นี้ถือเป็นคู่ปรับไม้เบื่อไม้เมากับกลุ่ม 4 แม่มดน้อย คอยดักแซว ดักแกล้งและมีการเอาคืนกันตลอด แต่ก็มีหนุ่มกริชคนเดียวที่แอบแยกตัวไปชอบเด็กแพทย์ชื่อใยบัวอยู่ต่างหากบางคราว สำหรับเอกจริงๆแล้วเขาก็ไม่ได้มีท่าทางยียวนกวนประสาทใครเท่าใด ออกจะเงียบ เชยและซื่อๆ ด้วยซ้ำไป แต่เพราะหน้าตาดีและเป็นเพื่อนสนิทร่วมห้องพักในมหาลัยของโอกับนิล ทำให้เขาต้องถูกลากไปร่วมวีรกรรมสุดซ่าส์และเฮี้ยวของเพื่อนด้วยอยู่เสมอ

หลายครั้งที่เอกสังเกตเห็นว่า พิมนภาได้แสดงอาการขวยเขินหน้าแดง และแสดงความพึงพอใจในตัวเขาออกมาให้เห็นอย่างชัดเจน ซึ่งเขาก็แอบชอบเธออยู่เหมือนกัน แต่เขาก็ไม่ได้สานต่อความสัมพันธ์ใดๆ มากพอที่จะทำให้รู้สึกเป็นแฟนกัน เพราะคิดว่าต่างกำลังอยู่ในวัยเรียนและพิมยังเด็กเกินไป เรียนอยู่เพียงแค่ปี 1 เท่านั้น จนกระทั่งเขาจบปี 4 ออกจากมหาลัย แล้วได้ไปทำงานอยู่บริษัทเอกชน เรื่องราวเหล่านี้ก็ได้ค่อยๆจางหาย ลืมเลือนไปจากความทรงจำของเขา

. . . . . . . . .

รถแท็กซี่โดยสารส่วนบุคคลสีชมพูบานเย็นเลี้ยวเข้าซอยมาหยุดลงที่หน้าทาวน์เฮ้าส์ขนาดสองคูหา ซึ่งดูดีผิดไปจากบ้านหลังอื่นๆที่อยู่ในละแวกเดียวกัน พี่ชายของพิมนภาซื้อทาวน์เฮ้าส์สองหลังนี้เมื่อหลายปีก่อนในราคาไม่สูงนัก เธอจำได้ดีถึงสภาพบ้านหลังนี้ตอนที่พี่ชายเธอตกลงซื้อ    

บ้านทาวน์เฮ้าส์สามชั้นหลังแรกทรุดโทรมจากการปล่อยเช่า เจ้าของเดิมรีบขายทันทีเพราะรับไม่ได้กับสภาพบ้านที่ผู้เช่าหนีไปโดยไม่บอกกล่าว กว่าจะรู้ตัวและตามมาดูบ้านก็ผ่านไปหลายเดือน อีกหลังที่อยู่ติดกันก็มีลักษณะไม่ต่างกันเท่าไร ขณะกำลังจะลงมือทำรีโนเวทบ้านหลังแรก ลูกสาวของบ้านหลังติดกันก็พาแม่ไปอยู่ด้วยที่ต่างประเทศเป็นการถาวรและขายบ้านให้กับพี่ชายของพิมนภา

จินไตยพี่ชาย ทุบบ้านทั้งสองให้เป็นหลังเดียวกัน โดยเขาเป็นผู้ออกแบบและควบคุมการก่อสร้างเองทั้งหมด โดยมีพิมนภาเป็นผู้ช่วยออกไอเดียในการจัดตกแต่งภายใน ตามแบบที่ได้เห็นในเว็บไซต์ตกแต่งภายในบ้านจัดสรรชั้นนำมา และเมื่อสร้างเสร็จ สองพี่น้องก็ใช้เป็นที่พักอาศัยอยู่ด้วยกันช่วงที่พิมนภาเรียนมหาลัยอยู่ที่จุฬา ก่อนเธอจะเรียนจบแล้วบินไปต่อปริญญาโทที่อเมริกา

พิมนภาเกิดในครอบครัวที่มีฐานะค่อนไปทางร่ำรวย ครอบครัวทวีรัชต์โรจน์มีลูกเพียงสองคน กิมหวางพ่อของเธอเป็นประธานบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ พฤษภาเรียลเอสเตทจำกัดในจังหวัดชลบุรี ส่วนนางมลฤดีแม่ของเธอตอนสาวเคยเป็นพยาบาลของโรงพยาบาลเอกชน Care For Klear-Gua-Mol Hospital ซึ่งอยู่ในตัวจังหวัดชลบุรีเช่นกัน พอแต่งงานกันนางมลฤดีก็ลาออกจากงานมาเป็นแม่บ้านคอยดูแลเลี้ยงลูกอย่างเดียว

พิมนภาและจินไตยรู้จักคุณค่าของเงินตั้งแต่ยังเล็ก เด็กทั้งสองขยันเรียนและหัวดี มีหลายครั้งที่ได้ไปฝึกทำงานด้วยระหว่างเรียนที่บริษัทของพ่อ

จินไตยเลือกเรียนสถาปัตยกรรมศาสตร์ พระจอมเกล้า ลาดกระบัง เพราะชอบการออกแบบและมีสถาปนิกในไซต์ก่อสร้างที่เคยร่วมงานกับพ่อด้วยหลายคนเป็นแรงบันดาลใจ ด้านพิมนภา เป็นเด็กที่มีความคิดสร้างสรรค์ ชอบการค้าขาย ลงทุน ทำบัญชีรายรับ-รายจ่าย เธอจึงชอบติดตามพ่อไปทำงานในออฟฟิศเมื่อสถานที่แห่งนั้นใกล้จะเสร็จมากกว่าที่จะไปด้วยตั้งแต่ยังเป็นโครงสร้าง เธอเลยเลือกเรียนพาณิชยศาสตร์และการบัญชีฯ จุฬา

พิมนภาก้าวลงจากรถยังไม่ทันลากกระเป๋าเข้าบ้าน จินไตยพี่ชายก็เปิดประตูสำนักงานออกมาร้องทักอย่างยินดี "น้อง พิม"

“อ้าว พี่จี ไม่ได้ไปบางปูเหรอ เห็นแม่บอกว่าพี่มีงาน” พิมนภาดีใจที่เจอพี่ชายแต่ก็อดแปลกใจไม่ได้

“กำลังจะไปเนี่ยแหละ เพิ่งคุยกับลูกค้าอีกคนเสร็จ มาพี่ช่วย” อัศวินบอกน้องสาวพลางช่วยยกกระเป๋าเดินทางใบโตเข้าบ้าน

“เย็นนี้พี่จีรีบกลับบ้านนะ พิมคิดถึงหมูกระทะ อยากกินจะแย่อยู่แล้ว”

“ได้เลย เดี๋ยวพี่เป็นเจ้ามือเอง”

“แหงละ พี่จีเป็นถึงเจ้าของบริษัทรับเหมา Soul Masker & Lunar Plan แค่เลี้ยงน้องคนเดียวสบายอยู่แล้ว” พิมนภาเอ่ยยิ้มๆ

“กินได้เต็มที่เลย คนละ 399 บาท จะกินเท่าไหร่ร้านเขาก็ไม่ว่าหรอก แต่ถ้ากินเหลือแล้วถูกปรับ พี่ไม่รับผิดชอบนะโว้ย” จินไตยแกล้งพูดหยอก

“ระดับนี้แล้ว ไม่มีโดนปรับแน่นอน” พิมนภาส่ายหน้าอย่างนึกขำ แล้วอ้าปากหาวจนพี่ชายร้องทัก

“เป็นผู้หญิงหาวปากกว้างอย่างนี้ได้ไง แม่เห็นตีตายเลย” จินไตยแกล้งดุน้องสาว

“ก็มันง่วงนี่พี่จี ขนาดนอนมาเกือบจะตลอดทาง”

“เจ็ตแล็กน่ะสิ งั้นไปนอนเถอะ พี่จัดห้องและทำความสะอาดไว้รอตั้งแต่เมื่อวานนี้แล้ว ห้องนอนเดิมของพิมที่อยู่ชั้น 3 นั่นแหล่ะ”

“ค่ะ พี่จีก็ไปทำงานได้แล้ว” 

หลังยืนส่งพี่ชายจนลับสายตา พิมนภาจึงเดินหันหลังกลับเข้าไปในบ้านและขึ้นไปชั้นบนเพื่อนอนพักผ่อน

. . . . . . . . .

“สวัสดีครับ คุณพิมนภาใช่มั้ยครับ” 

ชายหนุ่มใบหน้าหล่อเหลาแต่มีลักษณะท่าทางตุ้งติ้งเหมือนผู้หญิงที่เธอคุ้นเคยทักทายด้วยถ้อยคำและท่าทีสุภาพเกินความจำเป็น จะมีก็แต่ดวงตาเป็นประกายที่บ่งบอกถึงความทะเล้นเท่านั้น จะกี่ปีผ่านไปเพื่อนเธอคนนี้ก็ยังคงสร้างเสียงหัวเราะและรอยยิ้มให้เธอไม่มีเปลี่ยน

“เป็ดน้อย มาช้าแล้วยังทำเป็นจำเพื่อนไม่ได้นะ” พิมนภาแกล้งโวย

“ขอโทษที ทำงานเพลินไปหน่อยน่ะ ปิดยอดอาทิตย์นี้ ก็จะยุ่งหน่อย” ก้องฟ้าเอ่ยถึงงาน เขาทำหน้าที่เป็นผู้จัดการบริษัทนายหน้ารับจัดหาและซื้อขายที่ดินเพื่อพัฒนาทั่วประเทศ River Cheese อยู่ในกรุงเทพฯ

(มีต่อครับ) ^^
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 1
พิมนภาและก้องฟ้าเป็นเพื่อนเรียนคณะเดียวกันสมัยปริญญาตรี รู้จักสนิทสนมกันในนามกลุ่มแม่มด Witch 4 & The Duck หญิงสาวยังคงเดินหน้าในสายงานที่ร่ำเรียนมา แต่ก้องฟ้าหรือเป็ดเพื่อนรักของเธอเบนสายงานไปทำงานบริษัทนายหน้ารับจัดการซื้อขายที่ดินแทน

“นี่ ของฝาก” พิมนภายื่นถุงกระดาษให้หลังจากทั้งสองสั่งอาหารเรียบร้อยแล้ว

“โอ้โห ถุงเบ้อเร่อเลย ขอบใจจ้า”

“จะไม่ให้ใหญ่ได้ยังไง ก็มันฝรั่งทอดตั้งหลายถุง” พิมนภาแกล้งบอกไปอย่างนั้นเพราะอยากแกล้งเพื่อน ทั้งที่จริงที่ก้นถุงกระดาษมีกล่องใส่ เข็มขัดหนัง Disor ( ดิสอร์ ) วางอยู่

“นี่แกซื้อมันฝรั่งทอดมาฝากฉัน?”

“เอาน่า ยี่ห้อนี้ยังไม่มีขายที่บ้านเรานะ เอาไว้เป็นกับแกล้มเหล้าเบียร์ไง”

“เออๆ นี่เห็นว่าที่ไทยไม่มีนะยะหล่อน ให้อภัยก็ได้”

“ตาฉันบ้าง นี่ ของขวัญให้พิมจ้า” ก้องฟ้ายื่นกล่องของขวัญขนาดไม่แพ้กันให้เพื่อน

“เดี๋ยวนี้แกซื้อของขวัญให้เพื่อนด้วยเหรอหึ นังเป็ดน้อย”

“ก็แกไม่ได้กลับมาไทยทุกวันนี่นา แล้วอีกอย่างนะ ฉันมีเรื่องจะรบกวนแกด้วย” ก้องฟ้าพูดเข้าประเด็นทันที

“เรื่องอะไร” พิมนภาถามขณะที่มือยื่นไปรับของ ในถุงกระดาษบรรจุกล่องใส่กระเป๋าถือของผู้หญิงใบขนาดพอดียี่ห้อ Ver-to-shair ( เวอตูแช่ )

“คือ พ่อของพิม ท่านประธานกิมหวางได้ติดต่อมายังบริษัทที่เป็ดทำงานอยู่ ว่าจ้างให้ช่วยหาที่ดินแปลงสวยๆทำเลดีอยู่ในตัวเมืองจังหวัดลำปางราคาไม่สูงนัก เพื่อจะพัฒนาสร้างเป็นโรงแรมระดับห้าดาว (โครงการก่อสร้างโรงแรม Lotus Gem อัญมณีดอกบัว สูง 19 ชั้น ) โดยลงทุนหุ้นกันกับเพื่อนของท่าน ประธานบริษัทของเป็ดเลยมอบให้เป็ดเป็นคนจัดการรับผิดชอบดีลนี้ ฉันก็ไปหารวบรวมข้อมูลและนำเสนอท่านไปหลายแปลงแล้วนะ แต่ท่านสนใจจริงๆอยู่แค่แปลงเดียว อยู่ตรงใกล้สี่แยกทางเลี่ยงเมือง ห่างจากตัวเมืองลำปางไม่ไกลด้วย แถมยังใกล้สนามบินอีกต่างหาก ฉันก็เลยลองไปเสนอราคาขอซื้อที่ดินกับเจ้าของที่มาสองสามรอบแล้วละ แต่เจ้าของที่เขาก็ไม่ยอมขาย บอกว่าจะเก็บไว้เป็นสมบัติมรดกให้ลูก”

“ทีนี้ยังไงต่อ แล้วมันเกี่ยวข้องกับพิมตรงไหนอะ? เป็ดน้อย”

“ก็พ่อของพิมนะสิ รู้สึกถูกใจที่ดินแปลงนี้มาก อยากซื้อให้ได้ ถึงกับต้องให้พี่ชายของพิมเป็นตัวแทนไปดูที่ดินแปลงนี้ด้วยตัวเองกับเป็ดอาทิตย์หน้า และบางทีอาจจะยอมเพิ่มราคาขอซื้อให้อีกด้วยนะ เพื่อคว้ามาครอบครองให้ได้ แล้วเป็ดก็เห็นว่าพิมเป็นน้องพี่จี เพิ่งกลับมาจากเมืองนอกคงยังว่างอยู่ เลยอยากจะชวนให้ไปด้วยกัน เผื่อเป็ดจะได้คุยแบบเป็นกันเอง ง่ายๆสบายๆ ไม่ต้องเกร็งกับพี่จีผ่านพิมไง แล้วถ้ามีอะไรก็จะได้บอกกันตรงๆเลยจ้า”

“ว่าแล้วเชียว คนอย่างแกเนี่ยนะจะซื้อของขวัญให้เพื่อน ทีกับหนุ่มๆละไม่อั้น ป๋าเป็ดจัดให้ตลอด” พิมนภาแกล้งว่า

“น่านะ เพื่อนพิมคนสวยที่สุดในโลกเลย”

“ตอนแรกฉันก็ว่าจะช่วยหรอก พอแกเรียกฉันว่าเพื่อนพิมคนสวยที่สุดในโลกนี่แหละ ดูไม่มีความจริงใจเอาซะเลย ป๋าเป็ดน้อย”

“งั้น เดี๋ยวมื้อนี้ฉันเลี้ยงแกด้วยก็ได้ โอเคป่ะ?”

พิมนภายิ้มเจ้าเล่ห์ แล้วยกมือเรียกบริกรที่ยืนอยู่ไม่ไกล หยิบเมนูอาหารมาดูแล้วสั่งเพิ่มอีกสองสามอย่าง เลือกเอาเป็นของกินเล่นที่ราคาไม่สูงนัก

“งั้นแกก็เป็นคนบอกพี่จีเองนะ ว่าอาทิตย์หน้าแกอยากจะขอให้ฉันร่วมเดินทางไปลำปางด้วย”

“เพื่อนฉันไม่ค่อยเห็นแก่ของฟรีเลย” ก้องฟ้าพูดพลางยิ้มๆ

“ฉันรู้ว่าแกจะไปเบิกกับออฟฟิศน่ะสิ” พิมนภาพูดสวนอย่างรู้ทัน

“รู้ทันฉันตลอดเลยนะยะแกเนี่ย”  

“ฉันเป็นเพื่อนแกมากี่ปีแล้ว ทำไมแค่นี้จะไม่รู้ล่ะ ฮ่าๆๆ”

ทั้งสองพูดแซวโต้ตอบกัน ก่อนลงมือรับทานอาหาร เสร็จแล้วก็ถือของฝากที่ได้รับ เอ่ยร่ำลากันแล้วจึงแยกย้ายกันกลับ

. . . . . . . . .

ณ. ชานเมืองบ้านทุ่งผ้าขาวม้าคาดพุง นุ่งกางเกงขาก๊วย มีเสียงไก่ขัน นกการ้อง เซ็งแซ่ อากาศสดชื่น พร้อมกับร่มเงาของต้นไม้ดอกไม้ผลในสวนรื่นรมย์ฤดี ซึ่งเป็นสวนผสมตามแนวทฤษฏีใหม่ อยู่ใกล้สี่แยกทางเลี่ยงเมืองแห่งหนึ่งในจังหวัดลำปาง

"เอก พรุ่งนี้ต้องตื่นเช้านะ" เสียงแม่ตะโกนบอก "พรุ่งนี้เป็นวันพระ แม่จะไปวัด จัดกับข้าวกับปลาใส่ปิ่นโต เตรียมให้แม่ด้วยนะ ส่วนแม่จะหุงข้าวเอง"

"ได้ครับ เหมือนเดิมใช่มั้ยครับ  เอ่อ.. แล้วจะให้ผมขับรถไปส่งที่วัดด้วยมั้ยครับ แม่?" เอกตะวัน เอ่ยถาม

"เหมือนเดิมจ้ะ และเอกต้องขับรถไปส่งแม่ เพราะเพื่อนแม่ช่วงนี้เขาติดธุระกัน ไม่มีใครไปวัดเลย ส่วนพี่น้องของลูก ก็ไม่ค่อยชอบไปวัดกันเลย"

"อีกแล้วเหรอครับแม่ สงสัยจะโดนถามแบบเดิมอีกแน่เลย  เฮ้อ! เซ็งจริง ๆ" เอกตะวันพูดตอบนางมณีรินทร์ผู้เป็นแม่

"อ้อ แล้วถ้าเอกรำคาญผู้เฒ่าผู้แก่ที่วัด จะมาถามเรื่องมีแฟนรึยัง? แล้วหาคู่ให้นะ ลูกก็รออยู่ที่รถ ไม่ต้องขึ้นไปบนศาลา หรือเดินผ่านโรงครัวก็ได้นะ"

"ครับแม่ แต่ไม่ว่ายังไง ก็ไม่รอดสักที ไม่เจอลุงคนนึงก็เจอตาอีกคน แล้วก็ถามแต่เรื่องนี้ จนตอนนี้ผมเริ่มจะทำใจให้ชินได้บ้างแล้วละครับ"

เอกตะวัน มีพี่น้องทั้งหมด 3 คนรวมตัวเขาเองด้วย พี่ภูวิเศษเป็นผู้ชายทำงานอยู่ที่การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคและน้องจันทร์พิมลเป็นผู้หญิงทำงานอยู่ที่การประปาส่วนภูมิภาค ส่วนเอกตะวันเป็นลูกชายคนรอง เขาเคยทำงานเป็นนายช่างวิศวกรบริษัทรับเหมาก่อสร้างเอกชนแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ ปัจจุบันเฝ้าดูแลร้านขายของชำขนาด 2 ห้องในตัวเมืองจังหวัดลำปาง พอตอนเย็นหลังเลิกงานและปิดร้าน ทั้งสามพี่น้องก็กลับไปนอนที่สวนรื่นรมย์ฤดีกับพ่อแม่ นายสวนเด็ดผู้เป็นพ่อ มีอาชีพรับราชการเป็นครูเพิ่งเกษียณได้ไม่กี่ปี นางมณีรินทร์เป็นแม่บ้านคอยดูแลเรื่องทุกอย่างภายในบ้านหรือสวนรื่นรมย์ฤดีแห่งนี้ สมัยตอนยังสาวเคยไปทำงานรับใช้เป็นแม่บ้านให้กับครอบครัวเศรษฐีตระกูลหนึ่งที่จังหวัดชลบุรี และที่สวนแห่งนี้มีสัตว์เลี้ยงอยู่ด้วย 2 ตัวคือหมาชื่อทิฟฟี่และแมวชื่อกัมมี่

วันรุ่งขึ้น แม่มณีรินทร์ก็รีบหุงข้าว ส่วนหนุ่มเอกพอตื่นแล้วก็รีบเขาห้องน้ำทำธุระส่วนตัว เสร็จแล้วก็รีบไปตลาดเพื่อหาซื้อกับข้าวสำเร็จและผลไม้สิ่งของต่างๆให้แม่เพื่อไปทำบุญที่วัด พอกลับมาถึงบ้านสักพัก ทั้งสองคนแม่ลูกก็เตรียมของเสร็จเรียบร้อยและออกรถเดินทางไปวัดโพธิ์ศรีทันที

พอถึงวัดแล้วลงจากรถ เอกก็ช่วยแม่ยกของไปไว้ที่ศาลา และนำข้าวปลาอาหารสำเร็จกับผลไม้ที่ซื้อมาจากตลาดไปไว้ที่โรงครัวช่วยแม่ พลันก็ได้ยินเสียงคนแก่ที่มาทำบุญส่งเสียงทักทาย "เอ้ยย.. แม่มณี ลูกชายหล่อจัง ท่าดีซะด้วย"

"หวัดดีจ้ะ ยายจุ่น ยังแข็งแรงสบายดีอยู่เนาะ ยาย?"

"อือ.. ยายอยากจะขอลูกชายแม่มณีให้หลานสาวยายนะ ชื่อน้ำปลา สนใจหลานสาวยายมั้ยละหลานชาย?"

" ...... "

ทั้งสองแม่ลูกหันมามองหน้ากันแล้วยิ้มๆ แต่ไม่ได้ตอบอะไรไป

"แม่ครับ ผมปวดเบา เดี๋ยวผมขอตัวไปเข้าห้องน้ำทางโน้นก่อนนะครับ" เอกตะวันเอ่ยขึ้นมา

"จ้ะ ส่วนแม่ก็จะเอาของที่เหลือขึ้นไปบนศาลาเองแล้วกัน ไปเถอะลูก" นางมณีรินทร์พูดตอบ

แล้วทั้งสองก็ยิ้มให้ยายจุ่น พร้อมกับเดินแยกทางกันไปคนละทิศทันที ปล่อยให้ยายจุ่นยืนงง เก้ออยู่โดยลำพัง

หลังจากเสร็จธุระในห้องน้ำ เอกตะวันก็ออกมาแล้วค่อยๆเดินให้ห่างจากกลุ่มคนที่มาวัด ตรงไปยังรถของเขาทันที เขาเปิดประตูเข้าไปในรถแล้วสตาร์ทเครื่องยนต์ พอเครื่องติดก็ปิดประตูรถเปิดแอร์เปิดเพลงบรรเลงฟังเบาๆ เขาคิดว่าจะรอแม่อยู่ในรถนี้น่าจะปลอดภัยกว่า จากการถูกเป็นเป้าหมายของใครบางคนในเรื่องที่ทำให้เขาอึดอัดใจ สักครู่เขาจึงปรับเอนเบาะนั่งเป็นนอนแล้วคิดทบทวนรายชื่อของผู้หญิงหลายคน ที่มีผู้ใหญ่ที่รู้จักเขาและหวังดีอยากได้เขาไปเป็นทองแผ่นเดียวกัน พวกเธอเหล่านั้นก็มีแต่คนที่สวยน่ารักและนิสัยดีอยู่หรอก แต่เหมือนว่ามันจะไม่ใช่หญิงสาวที่ตรงใจเขาเท่าใดนัก

น้องดาวลูกป้าเล็กร้านขายอะไหล่รถยนต์ น้องเต้าส่วนหลานลุงชิทำงานอยู่แบงก์กสิกร คุณออมน้องเฮียสิงหลร้านวัสดุก่อสร้าง น้องน้ำหวานหลานปู่เสาร์เจ้าของร้านขายหนังสือและเครื่องเขียน ลูกสาวของหมอลูชื่อหลิวทำงานอยู่ที่เทศบาล น้องเฮียแจ็คเป็นพยาบาลชื่อนลิน ...

ตึก ตึก

เสียงเคาะกระจกรถดังขึ้น ทำลายความคิดทบทวนฟุ้งซ่านของเอกตะวัน

ชายหนุ่มรีบปรับเอนเบาะเป็นนั่ง แล้วกดปุ่มกระจกไฟฟ้าเปิด เพื่อพูดคุยกับผู้มาเคาะเรียก

"มีอะไรเหรอครับ ลุงไร้หนาม?" เอกตะวันเอ่ยถามลุงแผนมัคคทายกของวัด ซึ่งชอบปลูกต้นกระบองเพชร แต่แกเป็นคนใจดี ชอบยิ้ม ไม่มีพิษมีภัยกับใคร ชาววัดเลยชอบเรียกชื่อแกเป็น คุณลุงไร้หนาม แทน

"เอ่อ คืองี้นะ หลานชาย เห็นคุณผู้หญิงที่ใส่ชุดสีชมพูนั่งอยู่หน้าโรงครัวนั่นรึเปล่า? เขาวานลุงให้มาบอกหลานชายว่า เขาอยากจะคุยด้วยกับหนุ่ม หลังพระสวดให้พรเสร็จซะหน่อยน่ะ  เท่านี้แหละ ลุงไปก่อนนะ" ลุงแผนพูดบอก

"อ่าา... ขอบคุณครับลุง" เอกตะวันชำเลืองมองตามที่ลุงแผนบอกพร้อมกับกล่าวขอบคุณ พอมองดูอยู่แค่ครู่เดียว เขาก็นึกในใจขึ้นมาได้ทันทีว่าเห้ย! นี่มันไอ้เทืองนี่หว่า ซวยแล้วละกรู! แล้วเขาก็รีบเบือนหน้าหลบทันที เขานั่งลุ้น ขออย่าให้มีอะไรเซอร์ไพร้ซ์เกิดขึ้นอีกเลย รอจนกระทั่งแม่เสร็จธุระบนศาลาเดินกลับมาที่รถ ขึ้นรถเรียบร้อย เขาก็รีบบึ่งรถออกจากวัดกลับบ้านทันทีโดยไม่พูดอะไรออกมาให้แม่รู้ เพราะกลัวแม่รู้แล้วจะขำและแซวเขา

. . . . . . . . .

"ว่าไง? คุณเอก เจ๊ว่าที่ดินแปลงนี้ ขายให้เจ๊เถอะนะ เราคุยกันดีๆ" เจ๊น้ำเมียรองผู้กำกับ สภอ.เมืองลำปางเอ่ยขึ้น

"สวัสดีครับเจ๊น้ำ ผมเคยบอกเจ๊ไปสองสามครั้งแล้วนะครับ ว่าพ่อแม่ผมไม่ให้ขายที่แปลงนี้ จะเก็บไว้ให้ผมกับพี่น้อง ถึงเจ๊จะเป็นนายหน้าซื้อขายที่ดินผู้กว้างขวางมีบารมีมากในจังหวัด ผมก็ไม่สนครับ" เอกตะวันตอบ

"เจ๊ว่า ที่เจ๊เสนอให้ราคาไร่ละ 4 ล้านนี่ มันก็ไม่น้อยนะคะ พอคูณกับเนื้อที่ 15 ไร่ เป็นเงินตั้ง 60 ล้านเชียว ถ้าขายนิ สบายไปทั้งชาติเลยนะ ขอบอก"
เจ๊น้ำมีสีหน้าไม่ค่อยพอใจ แต่แกล้งพูดแย็บยั่วความอยากของชายหนุ่มลองดู

"ยังไงผมก็ไม่ขายครับ แล้วก็ราคาที่เจ๊เสนอมาก็น้อยกว่าที่พวกคนกรุงเทพฯเสนอผมครั้งล่าสุดเมื่อเดือนที่แล้วด้วย เขาให้ไร่ละ 4 ล้าน 5 แสน ครับ"

"ถ้าไม่ขายให้เขา งั้นขายให้เจ๊แทนแล้วกัน เจ๊ให้ราคาเท่ากันกับเขาเลยเอ้า คำสุดท้าย ขาดตัว นี่เจ๊ใจดีสุดๆ แล้วนะเนี่ย ไม่เคยยอมให้ใครขนาดนี้มาก่อนเลยนะ" เจ๊น้ำยังพูดตื้ออยู่

"คำสุดท้ายเหมือนกันครับ ไม่ขายก็คือไม่ขาย" เอกตะวันตอบย้ำ

"เธอกล้ามากนะ รู้ตัวไหมว่ากำลังพูดอยู่กับใคร ฉันเป็นเมียรองผู้กำกับนะจะบอกให้ เธอกับครอบครัวเป็นแค่คนธรรมดา มีศักยภาพพอรึที่จะมาต่อกรกับเจ๊"

เอกพูดสวนขึ้นทันใด "ไม่ทราบครับ ผมทำตามกฎหมาย ไม่สนใจใครหน้าไหนทั้งนั้น ถึงแม้จะใหญ่ล้นฟ้าผมก็ไม่สน เข้าใจไว้ด้วย!"

เจ๊น้ำโกรธมาก พอดีมีเสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น ... ( ริงโทนสายเรียกเข้า ) เจ๊น้ำรับสาย แล้วสงบสติอารมณ์ลง หันมามองเอกตะวันแล้วบอกว่า

"โอเค วันนี้เจ๊ยอมเธอ พอดีมีเรื่องด่วนที่สำคัญ เอาเป็นว่าถ้าเกิดเปลี่ยนใจอยากจะขาย โทรหาเจ๊ได้เลยนะ เจ๊จะรอ"  พูดจบเจ๊น้ำก็รีบออกไปพร้อมกับคนขับรถชายฉกรรจ์ที่มาด้วย

"เฮ้อ.. เป็นอย่างนี้ทุกรายมีหวัง ปวดหัว! ดีนะที่วันนี้เป็นวันเสาร์พ่อกับแม่ไม่อยู่บ้าน ไปธุระคงจะกลับค่ำ ไม่งั้นเจอแบบนี้คงกลุ้มใจอีกแน่เลย" เอกพึมพำอยู่คนเดียว ส่วนพี่ชายและน้องสาวพอถึงวันหยุดก็ไปหาเดินเล่นซื้อของตามห้างกัน และไม่ค่อยอยากยุ่งเรื่องนี้



แสดงความคิดเห็น
อ่านกระทู้อื่นที่พูดคุยเกี่ยวกับ  แต่งเรื่องสั้น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่